หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 110 เผชิญหน้า
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าพ่อครัวใหญ่หยางจะมีอดีตที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ ยากที่จะคิดว่าพ่อครัวซึ่งถูกเรียกใช้ผู้นั้น และพ่อครัวใหญ่ระดับสูงผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของหอเทียนเซียงจะเป็นคนเดียวกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นข้อยืนยันสิ่งที่อวี๋หวั่นคาดเดาไว้
หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็ถามต่อถึงเรื่องที่พ่อครัวใหญ่หยางรู้เรื่องที่ลุงใหญ่บาดเจ็บ
แต่ไหนเลยจะรู้ว่า เป็นพ่อครัวใหญ่หยางที่มาถึงบ้านด้วยตนเอง
ว่ากันว่า ในตอนที่ลุงใหญ่เข้าเมืองหลวงไปหาหมอ บังเอิญไปพบกับเสมียนของหอเทียนเซียงพอดี เสมียนของร้านไม่คุ้นเคยกับลุงใหญ่ จึงมิได้เข้าไปทักทาย แต่เมื่อกลับมาจึงนำเรื่องนี้ไปบอกพ่อครัวใหญ่หยาง
ครั้นอยู่ที่หอเทียนเซียง ลุงใหญ่สนิทสนมกับพ่อครัวใหญ่หยาง ดังนั้นเสมียนจึงนำเรื่องราวไปบอกเล่าแก่พ่อครัวใหญ่หยางทั้งหมด
เมื่อพ่อครัวใหญ่หยางมาที่บ้าน เขาก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวด หลังจากนั้นก็บริภาษลุงใหญ่อีกหนึ่งยก “เหตุใดเจ้าไม่มาหาข้า ต่อให้ข้ายากจน ต้องไปยืมเงินคน ข้าก็จะส่งเจ้าไปรักษา!”
ลุงใหญ่ถอนหายใจช้าๆ “ฐานะทางบ้านของเขาก็ไม่ค่อยสู้ดี มีแม่ที่ป่วยหนัก”
ฉะนั้นลุงใหญ่จึงไม่มีทางเลือกอื่น เขาเองไม่อยากรบกวนพ่อครัวใหญ่หยาง แต่พ่อครัวใหญ่หยางก็เป็นคนยึดถือความถูกต้อง เมื่อรู้ว่าลุงใหญ่บาดเจ็บ ก็จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมากเพื่อเชิญหมอจากเมืองหลวงมารักษาให้
อวี๋หวั่นคิดในใจ อย่างนี้เรียกว่ายึดถือความถูกต้องที่ไหนกัน? เห็นชัดๆ ว่ามีนัยยะซ่อนเร้น แค่ไม่รู้ว่าเขาไปเอาสูตรอาหารของลุงใหญ่มาได้อย่างไร
อวี๋หวั่นคิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูด เพื่อไม่ให้ลุงใหญ่วิตกกังวล รอจนถึงคราวลุงใหญ่ต้องออกโรงค่อยบอกเขาก็ยังไม่สาย
ลุงใหญ่มิได้นึกสงสัยในความสนใจใครรู้ของอวี๋หวั่นแม้แต่น้อย ในความคิดของเขา การที่อวี๋หวั่นใส่ใจคนรอบข้างเช่นนี้ เป็นการแสดงว่าเธอสนิทสนมกับเขา ลุงใหญ่จึงเข้าไปทำกับข้าวอย่างร่าเริง
เจินเจินตัวน้อยนั่งยองอยู่คนเดียวอยู่หน้าเตา สองมือเท้าคาง มองไปยังมันเทศที่เผาอยู่ในเตา
อวี๋หวั่นกระซิบ “ทีนี้พี่ใหญ่เชื่อแล้วหรือไม่เล่า?”
เมื่อเจินเจินได้ยินเสียงกระซิบของอวี๋หวั่น ก็กะพริบตาปริบๆ มองมายังเธอ
อวี๋หวั่นลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง
อวี๋เฟิงนั่งเงียบ ผ่านไปพักหนึ่ง เขาบีบเสียงเล็กลงเล็กน้อย “ข้า…”
เขาอยากพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ดูเหมือนจะกล่าวออกมาอย่างลำบาก
เจินเจินกะพริบตามองไปยังพี่ชายของนาง
ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้อยู่ในความคาดหมายของอวี๋หวั่น ถ้ามีใครสักคนวิ่งมาบอกว่าลุงใหญ่จะทำร้ายเธอ เธอก็คงไม่อาจเชื่อง่ายๆ ถึงแม้หลักฐานจะใหญ่ดุจภูเขาก็ตาม
ความเชื่อใจที่คนสกุลอวี๋มีต่อคนผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าความเชื่อใจที่อวี๋หวั่นมีให้ลุงใหญ่เลย
อวี๋หวั่นใช้คีมคีบถ่านคีบมันเทศที่สุกแล้วออกมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงบว่า “เช่นนั้นก็คงเหลือวิธีสุดท้าย เผชิญหน้ากับเขา ท่านยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยมาบอกข้า”
อวี๋หวั่นคิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากอวี๋เฟิงปฏิเสธแม้แต่ข้อเสนอนี้ เธอก็จะไปทวงคืนความยุติธรรมให้ลุงใหญ่ด้วยตัวเอง
……
ณ หลังบ้าน ชาวบ้านกำลังช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็ง หากคำนวณจากความเร็วในระดับนี้ ก็สามารถทำอาหารตามจำนวนรายการที่พวกเขาได้รับมาจากจวนสกุลเว่ยได้สำเร็จ
เธอจะต้องรีบนำเต้าหู้เหม็นไปขายให้หอเทียนเซียง แต่หากยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เธอก็จะไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะเข้าไปในหอเทียนเซียง ดังนั้นจึงไม่ใช่เพื่อลุงใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ก็เพื่อกิจการในวันข้างหน้าด้วย เธอจำต้องไปเปิดโปงคนผู้นั้น
เมื่อกลับไปถึงบ้าน นางเจียงกำลังสระผมให้เถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยถูกจับเอาไว้ ร้องงอแงเสียงดัง!
อวี๋หวั่นอยากบอกว่า เป็นอะไร ก็แค่สระผม แต่เมื่อเห็นว่าบนพื้นมีแต่ผมของเถี่ยตั้นน้อย เธอก็เดินออกไปโดยไร้สุ้มเสียง…
……
ยามฟ้าสาง อวี๋หวั่นนึ่งซาลาเปาเสร็จ แล้วอุ่นเอาไว้ในหม้อ จากนั้นก็เตรียมออกจากบ้าน
ทันทีที่เปิดประตูหน้าบ้าน ก็พบว่าอวี๋เฟิงยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าทุกข์ใจ ผมบนศีรษะของเขาโดนความเย็นเกาะ ไม่รู้ว่ารออยู่นานเท่าไรแล้ว
“มาแล้ว” อวี๋หวั่นไม่ได้ถามมาก เพียงแต่กล่าวทักทาย แล้วเดินออกไปพร้อมกับอวี๋เฟิง
วันนี้เป็นวันซั่งหยวน ตลาดในตำบลจะปิดเป็นวันสุดท้าย ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็จะเปิดพร้อมต้อนรับความรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง ทว่าวันนี้ ร้านรวงที่เปิดนั้นดูบางตาเหลือเกิน
ทั้งสองคนเดินไปยังสถานีส่งสาร เช่ารถม้าเข้าเมืองหลวง
อวี๋เฟิงเงียบไปตลอดทาง
หลังจากเข้าเมืองหลวง อวี๋หวั่นก็พลันเอ่ยปากขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าจะรับมือเขาอย่างไร ที่จริงข้าก็คิดเอาไว้บ้างแล้วแหละ”
“รับมือไม่ไหว…” อวี๋เฟิงชะงัก “อย่างไรเสียเขาก็เคยช่วยเหลือท่านพ่อข้า ขอเพียงเขาสำนึกผิด ข้าคิดว่า…จากนิสัยใจคอของท่านพ่อข้าแล้ว ก็คงไม่เอาความเขา”
“แล้วนิสัยใจคอของท่านเล่า? ” อวี๋หวั่นถาม “ความสำเร็จที่ท่านพ่อของท่านได้มาอย่างยากลำบาก ลูกชายคนนี้จะไม่ทำอะไรเลยหรือ?”
อวี๋เฟิงกำมือแน่น “เจ้าไม่เข้าใจว่าในตอนนั้นบ้านข้าเป็นอย่างไร หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ขาของท่านพ่อก็คง…”
อวี๋หวั่นพยักหน้าน้อยๆ “ข้าเข้าใจว่าท่านหมายความว่าอย่างไร”
ความคิดของท่านก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่เกรงว่าต้องทำให้ผิดหวังเสียแล้ว
แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทั้งสองเข้าไปในหอเทียนเซียง พร้อมซักถามพ่อครัวใหญ่หยาง เขาชักสีหน้า แล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดอะไร? ข้าขโมยสูตรอาหารของพ่อเจ้ารึ?”
อวี๋เฟิงถึงกับตระหนกกับความโกรธของพ่อครัวใหญ่หยาง เท่าที่เขาจำได้ ท่านลุงผู้นี้เป็นคนอารมณ์ดี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพูดจาเช่นนี้
เมื่ออีกฝ่ายมีโทสะ อวี๋เฟิงก็เริ่มสงสัยว่าเขาระแวงไปเองหรือไม่?
พ่อครัวใหญ่หยางสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา “หึ! หลานชาย ข้าปฏิบัติต่อสกุลอวี๋เป็นอย่างดี ไม่เคยให้พวกเจ้าต้องตอบแทน แต่เจ้ากลับใส่ความข้า!”
อวี๋เฟิงพูดอะไรไม่ออกเสียแล้ว
อวี๋หวั่นซึ่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “แต่ว่าพวกเราได้ยินมา ว่าพ่อครัวทังไม่ได้ทำอาหารทั้งห้าชนิด แต่เป็นพ่อครัวใหญ่หยางทำด้วยตนเอง หากท่านมั่นใจเต็มเปี่ยม ไยต้องโกหกพวกเราด้วยเล่า?”
นี่มิใช่สิ่งที่อวี๋หวั่นจัดฉากขึ้นเอง แต่ระหว่างทาง เธอไปสืบความจากหอเทียนเซียงสาขาอื่นมาแล้ว ไม่เพียงรู้ว่า ‘พ่อครัวใหญ่หยาง’ เป็นผู้คิดค้นอาหารเหล่านี้ขึ้น ยังรู้ว่าคนที่เดิมทีไม่โดดเด่นเช่นเขา กลับมาได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมากเพราะอาหารเหล่านี้ และได้เป็นพ่อครัวใหญ่ของสาขานี้
นัยน์ตาของพ่อครัวใหญ่หยางกระตุกวูบหนึ่ง “ข้าได้แรงบันดาลใจมาจากพ่อครัวทัง อย่างไรเสีย ความคิดริเริ่มก็มาจากเขา ข้าก็ให้ความดีความชอบเขาแล้ว มิได้ผิดอะไรเสียหน่อย!”
เขาเริ่มจะพูดจาไร้เหตุผลแล้ว
ไม่ยอมรับว่าขโมยมาจากลุงใหญ่ แต่ยอมรับว่านำมาจากพ่อครัวทัง
“พี่ใหญ่ ท่านยอมแพ้หรือยัง?” อวี๋หวั่นมองไปยังอวี๋เฟิง
ดวงตาของอวี๋เฟิงเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ท่านลุงหยาง เดิมทีข้าคิดว่า ขอเพียงท่านยอมรับ ข้ากับท่านพ่อข้าจะไม่เอาเรื่องท่าน และก็จะไม่แพร่งพราย…”
พ่อครัวใหญ่พยางพลันกล่าวตัดบทเขาทันที “ยอมรับอะไร? ข้าไม่ได้ทำอะไร จะให้ข้ายอมรับได้อย่างไร! หากเจ้าลำบากกันมาก ก็แค่บอกข้า อยากได้เงินเท่าไรข้าก็จะให้! ขอแค่เจ้าเอ่ยปากเรียกท่านลุงหยาง ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนอื่น แต่เจ้ากลับใช้วิธีสกปรกมาขู่กรรโชกเงินข้าเช่นนี้รึ!”
……………………………………