หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 117 คืนตำแหน่ง
หลังจากที่อูเหิงอ๋องถูกสังหาร ทัพใหญ่ซยงหนูก็แตกกระเจิง อวี๋เซ่าชิงใช้ร่างไร้วิญญาณของอูเหิงอ๋อง หลอกล่อให้พวกเขาร่นถอยไปหลายร้อยหลี่
ทว่าจะหาประมาทได้ไม่ อย่างไรเสียค่ายใหญ่ของซีเป่ยก็ถูกทหารของซยงหนูนับแสนคนปิดล้อมไว้ หากพวกเขาจะโจมตีกลับก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก
แม้ว่าการตายของอูเหิงอ๋องจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ก็นำมาซึ่งวิกฤตเช่นกัน ชาวซยงหนูจักต้องใช้โอกาสนี้แก้แค้นให้กับอูเหิงอ๋องเป็นแน่
ไม่อาจเผชิญหน้ากับซยงหนูได้อีกแล้ว…
“ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนจึงจะขุดช่องเขาเสร็จ?” อวี๋เซ่าชิงถามด้วยสีหน้าขึงขัง
“ใกล้แล้วขอรับ หัวหน้ากองพัน!” ทหารนายหนึ่งชื่อว่ากุ้ยเอ่อร์ตอบ
หลังจากที่เหยียนฉงหมิงมา เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในที่นี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกคนล้วนแต่ฟังคำสั่งของอวี๋เซ่าชิง
เหยียนฉงหมิงเบะปาก ขณะที่เขากำลังจะกล่าวทัดทานเพื่อทวงคืนอำนาจของตน อวี๋เซ่าชิงก็ส่งสายตาเย็นเยียบมองไปที่เขา “หุบปาก!”
เหยียนฉงหมิงหุบปากอย่างรู้สึกผิด
อวี๋เซ่าชิงจะต้องทำภารกิจที่แม่ทัพเซียวสั่งเอาไว้ก่อนสิ้นลมให้สำเร็จ ไม่อาจบกพร่องแม้แต่น้อย แม้จะไม่มีผู้ใดรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด ทว่าพวกเขาล้วนทำตามอวี๋เซ่าชิงโดยปราศจากข้อกังขา
เหยียนฉงหมิงเหลือเพียงตัวคนเดียว หากเขาต้องการอยู่ในกลุ่มนี้ต่อไป ก็จำเป็นต้องเกาะหางเสือของพวกเขาให้แน่น
ต้าหนิวตายแล้ว และยังมีทหารใหม่อีกสองคนซึ่งเข้ากองทัพก่อนหน้าเขาสองวันเสียชีวิตใต้คมมีดของทหารซยงหนู พลทหารใหม่มักไม่มีประสบการณ์ในสนามรบ จึงเป็นกลุ่มที่ถูกข้าศึกสังหารได้ง่ายที่สุด
“ต้าหนิวตายเพราะช่วยข้า…” เสี่ยวอวี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าก็เป็นแค่กากเดน…เขาจะมาช่วยข้าทำไม…”
อู๋ซันไม่ได้กล่าวอะไร ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วช่วยเหล่าพี่น้องทหารฝังร่างทั้งสามคน
ต้าหนิวเป็นทหารใหม่ที่มีความสามารถโดดเด่น เขาก้าวข้ามทหารเก่าบางคนซึ่งผ่านการฝึกลับได้ เขาไม่ควรมาตายที่นี่ หากต้าหนิวได้รับการฝึกฝนอีก วันข้างหน้าย่อมต้องมีบทบาทสำคัญในสนามรบเป็นแน่
อู๋ซันถอนหายใจ หยิบป้ายโลหะส่งให้อวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงนำป้ายโลหะใส่ลงในกล่องไม้ซึ่งห่อไว้ด้วยผ้าสีขาว ในกล่องนั้นบรรจุป้ายโลหะของเหล่าทหารซึ่งสละชีพในสนามรบ ด้านบนสุดก็คือป้ายของแม่ทัพเจียง
ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง ป้ายโลหะของพวกเขาก็อาจลงไปอยู่ในกล่องนี้ เพื่อรอให้ทหารที่รอดชีวิตนำกลับไปส่งคืนยังบ้านเกิด
“หัวหน้ากองพัน ขุดเสร็จแล้ว!” กุ้ยเอ่อร์พูด
“ไปกันเถอะ” อวี๋เซ่าชิงปิดฝากล่องไม้
ต้าหนิวตายแล้ว ทหารคนหนึ่งซึ่งฟื้นตัวจากอาการน้ำแข็งกัดจำต้องรับผิดชอบหน้าที่อันยิ่งใหญ่ สำรวจเส้นทางที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไป
ทุกคนต่างช่วยพยุงกันและกัน
เด็กหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่ง อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังกลุ่ม เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ฟังคำสั่งของอวี๋เซ่าชิง เป็นเพียงคนเดียวที่เข้ากับทหารคนอื่นๆ ไม่ได้ เขากอดกระบี่เล่มหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามัวหมอง ดูประหนึ่งเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง
“อวี๋เฒ่า เจ้าดูสิ” อู๋ซันกระทุ้งแขนของอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงหันไปมอง แล้วกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “แม่ทัพเซียวจากไปแล้ว เขาคงสะเทือนใจน่าดู”
“ได้ยินว่าเขาเป็นคนที่แม่ทัพเซียวเก็บมา กระบี่นั่นเจ้าเห็นหรือไม่ เป็นกระบี่คู่กายของแม่ทัพเซียว ตอนนี้มอบให้เขาแล้ว” อู๋ซันกระซิบ
“เมื่อครู่ตอนที่พวกซยงหนูบุกเข้ามา เขาสู้ไม่คิดชีวิต แต่ก็ช่วยพี่น้องเราได้หลายคน”
หากไม่เป็นเช่นนั้น เกรงว่าป่านนี้พวกเขาคงรอให้อวี๋เฒ่ากลับมาไม่ไหว คงตายด้วยคมดาบของทหารซยงหนูไปนานแล้ว
“เขาชื่ออะไรนะ?” อยู่ๆ อวี๋เซ่าชิงก็นึกชื่อเขาไม่ออกเสียอย่างนั้น
อู๋ซันจึงตอบว่า “โจวไหว”
……
ครึ่งเดือนให้หลัง ข่าวร้ายเกี่ยวกับทัพใหญ่ซีเป่ยถูกส่งไปยังเมืองหลวง เมื่อม้าเร็วนำสาส์นมายังห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ตกใจจนร่างแข็งทื่อประหนึ่งถูกคนตีหัว!
บรรดาขุนนางฝ่ายทหารต่างมองหน้ากันอย่างกระวนกระวาย สีหน้าของฮ่องเต้ดูแปลกอยู่ เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ พระองค์ควรจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมิใช่หรือ? ไฉนดูแล้ว…เหมือนคนกำลังตกใจเสียมากกว่า?
จะว่าไปเรื่องนี้ พวกเขาล้วนมีความผิด มีข่าวสารจากชายแดนส่งมาตลอด กล่าวว่าทหารซยงหนูนับแสนคนจะเร่งรุดไปยังโยวโจว เตรียมบุกโยวโจวในคืนวันสิ้นปี ผู้ใดจะคิดว่าเรื่องที่รายงานนั้นผิดพลาด แท้จริงแล้วทัพใหญ่ของซยงหนูเปลี่ยนเส้นทางไปยังค่ายใหญ่ซีเป่ย
ค่ายใหญ่ซีเป่ยถูกทำลายจนราบคาบ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ย่อมมิอาจส่งข่าวมาได้ เป็นเพราะค่ายใกล้เคียงขาดแคลนเสบียงอาหาร จึงไปยังค่ายใหญ่ซีเป่ยเพื่อยืมเสบียงอาหาร ถึงจะรู้ว่าค่ายใหญ่ซีเป่ยถูกกองทัพซยงหนูยึดเรียบร้อยแล้ว
จากคำบอกเล่าของพลทหารซึ่งไปขอยืมเสบียงผู้นั้น ชาวซยงหนูต่างเปลี่ยนไปใส่ชุดเกราะของทหารซีเป่ย บางคนยังพูดภาษาฮั่นได้อย่างคล่องแคล่ว หากชาวซยงหนูคนหนึ่งไม่ได้บังเอิญแสร้งว่าเป็นคนบ้านเดียวกับเขา เขาก็คงไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ปลอมตัวมา
เขามิได้แสดงท่าทีกระโตกกระตากอันใด เพียงแต่นำเสบียงออกมา
ก่อนหน้านี้ค่ายใหญ่มีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล หลังจากนั้นก็ถูกถล่มเสียราบคาบ ไม่มีข่าวคราวถึงราชสำนักแม้แต่น้อย หากบอกว่าไม่มีผู้ใดขัดขวาง ก็คงเป็นเรื่องแปลกแล้ว
อาจเป็นเพราะพลทหารผู้นี้ดวงแข็ง ค่ายทหารที่เขาสังกัดอยู่นั้นมิได้ขึ้นตรงต่อโยวโจว ไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังโยวโจว มิเช่นนั้นให้เขาวิ่งไปวิ่งมา โยวโจวก็จะใช้โอกาสนี้สืบราชการลับ อย่าว่าแต่เขาจะส่งข่าวเลย แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็อาจไม่รอดกลับมาก็เป็นได้
สีหน้าของฮ่องเต้ย่ำแย่เหลือเกิน
ขุนนางฝ่ายทหารเห็นท่าไม่ดี จึงคุกเข่าลงกับพื้น
ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมตัวเตรียมใจรับอาญาสวรรค์ ฮ่องเต้กลับยืนขึ้น แล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะผินหน้ากลับมามอง!
เหล่าขุนนาง “…”
ฮ่องเต้ตรงไปยังคุกหลวงเพื่อพบกับเกาหย่วนด้วยพระองค์เอง
เกาหย่วนถูกขังไว้ครึ่งเดือน เขาซูบผอมไปกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เขารู้ว่าฮ่องเต้มาด้วยเหตุใด และเป็นเพราะว่าเขารู้ เขาจึงร่ำไห้ออกมา
ฮ่องเต้กำหมัด แต่ก็ยังกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “จริงๆ แล้ว…ไม่มีใครรอดชีวิตเลยหรือ?”
“ยะ…ยังเหลือคนหนึ่งที่รอดพ่ะย่ะค่ะ” เกาหยวนกล่าวอย่างลำบากใจ
“ใคร?” ฮ่องเต้ถาม
เกาหย่วนกำลังจะเอ่ยชื่อที่อัดอั้นอยู่ในอก แต่เรี่ยวแรงไม่เอื้ออำนวย จู่ๆ เขาก็หมดสติไป
“ใต้เท้าเกา!” ขันทีวังเข้าไปกดจุดให้เกาหย่วน ทว่ากลับไร้ประโยชน์
“ยังมีคนรอดชีวิต…” ฮ่องเต้พึมพำคล้ายกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด “ใครกัน?”
ขันทีวังใคร่ครวญ พร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า “จะเป็นแม่ทัพเซียวไปได้หรือไม่? แม่ทัพเซียวกล้าหาญ หากจะมีผู้ใดฝ่าวงล้อมออกไปได้ กระหม่อมคิดว่าคงจะเป็นเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นนัยว่าเห็นด้วย
เรื่องใหญ่ระดับชาติเช่นนี้ ขันทีวังไม่กล้าพูดมาก เขาเพียงแต่มองไปยังเกาหย่วนแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าเกาหมดสติไป กระหม่อมคิดว่าเชิญหมอมารักษาดีหรือไม่?”
ฮ่องเต้โบกมือบอกปัด “ส่งหัวหน้าสำนักบัณฑิต สั่งให้หมอหลวงไปรักษา ให้เขาพักผ่อนอย่างเต็มที่”
กล่าวว่า ‘หัวหน้าสำนักบัณฑิต’ ก็หมายความว่าตำแหน่งเดิมของเขากลับคืนมาแล้ว
ขันทีวังคิดในใจว่าเกาหย่วนเก่งกาจยิ่งนัก ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ถูกปลดจากตำแหน่งแล้วทรงแต่งตั้งใหม่ เขานับว่าเป็นคนแรก
ฮ่องเต้ยังรับสั่งหัวหน้าองครักษ์วังหลวงว่า “ไปบอกเซียวเจิ้นถิง ว่าหลานชายของเขาหนีรอดจากค่ายใหญ่ซีเป่ย บัดนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปโยวโจว ให้เขาไปรับด้วยตนเอง”
“ด้วยตนเอง?” หัวหน้าองครักษ์อึ้งไปชั่วขณะ “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้หลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เรารู้ว่ากำลังทำอะไร เจ้าแค่ไปบอกก็พอ”
“…พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์รับคำสั่ง แล้วรุดหน้าไปยังจวนสกุลเซียว
…………………………………………