หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 127 การเผชิญหน้าในป่า
หวางหมาจื่อมีชื่อจริงว่าหวางเอ้อโก่ว เขาเกิดและเติบโตในหมู่บ้านเหลียนฮวา ตอนอายุประมาณแปดเก้าขวบ เขามีสิวเห่อขึ้นที่ใบหน้า แต่ตัวเขาเองกับครอบครัวก็ไม่ได้ให้ความสนใจ บีบแคะแกะเกาจนทำให้เกิดแผลเป็นที่ใบหน้า และได้ฉายาว่าหวางหมาจื่อ[1]
หวางหมาจื่ออายุใกล้จะสามสิบแล้ว ถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นชายโสด หนึ่งคือครอบครัวของเขายากจน กระทั่งไม่รู้ว่าอาหารมื้อถัดไป จะมีอะไรให้พอประทังชีวิต ตอนที่บิดามารดาของเขายังอยู่ชีวิตก็ไม่ง่ายนัก หลังจากพวกเขาลาโลกไปยิ่งยากกว่า สองคือสมองของเขาไม่เหมือนคนปกติ บอกไม่ได้ว่าบกพร่องทางสติปัญญา แต่ก็โง่เขลาและถูกหลอกได้ง่าย เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีคนต่างหมู่บ้านบอกว่าจะแต่งงานกับเขา ของขวัญทุกชิ้นเขามอบให้นาง แล้วนางก็หนีหายไป
นับแต่นั้นมา เขาไม่กล้าจะมีภรรยาอีกเลย อยู่ตัวคนเดียวอย่างโง่เขลาเบาปัญญา บางครั้งคนในหมู่บ้านก็สงสารเขา แต่ก็ช่วยเหลือได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพราะทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ยากจนเหมือนกัน ทำให้หลายครั้งไม่ได้สนใจเขา
ทว่าสกุลอวี๋กำลังหาคนงาน จึงเรียกเขาไปทำงานบดโม่หิน และในที่สุดเขาก็มีอาหารทานครบสามมื้อต่อวัน
แม้ว่าหวางหมาจื่อจะมีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็มีพละกำลังมาก ไม่ต้องใช้ไม้ไผ่ของหลี่เจิ้ง แค่ตัวเขาคนเดียวก็ พากัวเซี่ยนเยว่ขึ้นฝั่งได้
เมื่อตู้จินฮวาเห็นว่าลูกสาวนางถูกชายผู้มีแผลเป็นสิวเต็มใบหน้าช่วยขึ้นจากน้ำ ดวงตาของนางก็มืดลงฉับพลัน อยากจะเป็นลมไปตรงนั้นเลย!
เดิมทีก็คิดว่าจ้าวเหิงเป็นคนเก่งผู้ยากไร้ ลูกสาวโชคไม่ดีที่ตกอยู่ในมือเขา แต่เมื่อเห็นหวางหมาจื่อในตอนนี้ กลับรู้สึกตกใจที่รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่ได้แต่งงานกับจ้าวเหิง!
น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายเกินไป
ตู้จินฮวานึกเสียใจอย่างมาก
ต่างก็รู้ว่าหวางหมาจื่อเป็นคนที่ช่วยขึ้นมา ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ไม่อาจเรียกคนในหมู่บ้านกลับมาได้ ที่แย่ที่สุดคือหวางหมาจื่อและนางต่างโต้เถียงกันไปมา นางปฏิเสธที่จะยอมรับหากไม่มีพยานเรื่องนี้ก็ไม่นับ!
แต่อย่างไรก็ตาม… ทั้งหมู่บ้านทำให้นางแผดเสียงดังออกมา!
“เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?” กัวต้าโย่วเดินฝ่าฝูงชนเข้าไป
หวางหมาจื่อกำลังวางตัวกัวเซี่ยนเยว่ลงบนพื้นหญ้าพอดี
เมื่อกัวต้าโย่วเห็นลูกสาวถูกปล่อยให้ขาเปื้อนโคลนแปดเปื้อนร่างกาย ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดโทสะ เมื่อจับหวางหมาจื่อได้ก็ต่อยเข้าอย่างจัง!
“หยุด!” หลี่เจิ้งตะโกน
อวี๋ซงที่อยู่ข้างๆ รีบคว้าแขนของกัวต้าโย่วไว้
กัวต้าโย่วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เสี่ยวซงปล่อยข้า! เจ้าสัตว์ร้ายนี่มันกล้าแตะต้องลูกสาวข้า ข้าจะฆ่ามัน!”
ถึงอวี๋ซงจะไม่ได้เกลียดเขา แต่ก็รำคาญชายชราคนนี้ที่สุด ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านมิได้แยกแยะสิ่งใดถูกผิด น้องเยว่ตกลงไปในน้ำ เขาผู้นี้เป็นคนช่วยนางขึ้นมา”
กัวต้าโย่วสะอึก เขากวาดสายตามองชาวบ้านที่อยู่ที่นั่น ทุกคนล้วนมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริง กัวต้าโย่วรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางหัว เขาคว้าคอเสื้อของอวี๋ซงแล้วเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ลูกพี่ลูกน้องเจ้าตกน้ำ เจ้าทำเพียงมองดูอยู่ข้างๆ แล้วปล่อยให้คนนอกมาช่วยงั้นรึ?!”
“ข้าก็เพิ่งมาถึง!” อวี๋ซงตอบอย่างผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด
“ตอนที่พวกเรามา ลูกสาวของเจ้าก็จมลงไปในน้ำแล้ว หากมิใช่เพราะหวางหมาจื่อ นางก็คงจมน้ำตายไปนานแล้ว!” ป้าจางกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี
“ใช่ๆ” ทุกคนพยักหน้า เมื่อมาถึงที่นี่สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือสองพี่น้องจ้าวเหิง และไม่รู้เลยว่ากัวเซี่ยนเยว่ก็ตกลงไปในน้ำ หากไม่ใช่หวางหมาจื่อลงไปในน้ำพานางขึ้นมา พวกเขาคงหันหัวกลับไปแล้ว และในวันถัดไปก็จะพบร่างของกัวเซี่ยนเยว่ที่ลอยอยู่ในน้ำ
กัวต้าโย่วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “มันอาจจะผลักลูกสาวข้าตกน้ำก็เป็นได้!”
หวางหมาจื่อยืดอกและตอบว่า “ข้า ข้าไม่ได้ทำ!”
ป้าไป๋กดหน้าอกของกัวเซี่ยนเยว่สองสามครั้ง ไม่นานนางก็สำลักน้ำออกมา
“น่าแปลกจริง ชุดที่นางใส่เป็นเสื้อผ้าของอาหวั่น” ชุ่ยฮวากระซิบ
“มิน่าล่ะข้าดูนางคุ้นๆ” นางเฉินกล่าว
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว
ตอนนี้ กัวเซี่ยนเยว่ก็สำลักน้ำออกมาอีกครั้ง สุดท้ายนางก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาเล็กน้อย
กัวต้าโย่วมิได้ใส่ใจกับเสื้อผ้าของลูกสาว แต่ประคองนางไว้ในอ้อมแขนและถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น
กัวเซี่ยนเยว่อ้าปากของนางอย่างมึนงง
เมื่อตู้จินฮวาเห็นท่าไม่ดี นางก็ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และกำลังจะเขย่งเท้าออกไป เดินไปได้เพียงสองก้าว กัวต้าโย่วก็คว้าผมของนาง!
“นางตัวดี!”
เพียะ!
กัวต้าโย่วตบหน้าของตู้จินฮวา จนนางเซล้มลงกับพื้น!
ทุกคนต่างตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
กัวต้าโย่วทั้งเตะทั้งต่อยตู้จินฮวา “นางตัวดี! ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ป้าสะใภ้ใหญ่ตกใจและพูดว่า “กัวต้าโย่ว เจ้าเป็นบ้าอะไร! ถึงเจ้าจะมีความทุกข์หนักหนาเพียงใด เจ้าก็ทำร้ายร่ายกายเมียเจ้าไม่ได้”
อวี๋เฟิงกับอวี๋ซงรีบก้าวไปข้างหน้าและจับตัวกัวต้าโย่วเอาไว้
ไม่มีใครรู้ว่ากัวต้าโย่วได้รับรู้ความจริงอันเลวร้ายที่ตู้จินฮวาทำ ต่างก็คิดเช่นเดียวกับป้าสะใภ้ใหญ่ว่าเขาไม่พอใจที่หวางหมาจื่อแตะต้องตัวลูกสาวเขาแล้วก็ไประบายอารมณ์กับตู้จินฮวา
กัวต้าโย่วโกรธจัด จนพี่น้องอวี๋เฟิงก็ไม่อาจดึงรั้งเขาไว้ได้ เขาถีบตู้จินฮวาอย่างโหดเหี้ยมไปสองสามครา จนนางเจ็บปวดเจียนตาย
สุดท้ายซวนจื่อและนายพรานก็ได้ลงมือรวมพลังทั้งสี่เข้าด้วยกัน จึงสามารถรวบกัวต้าโย่วที่เดือดดาลไว้ได้
มีคนสี่คน ‘ตกน้ำ’ ติดๆ กัน หลี่เจิ้งเองก็รู้สึกประหลาดใจ กัวเซี่ยนเยว่สลบไปอีกครั้งจึงไม่สะดวกที่จะถามคำถาม หลี่เจิ้งจึงเรียกจ้าวเหิง จ้าวเป่าเม่ย และหวางหมาจื่อ ไปที่บ้านและถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดต่อหน้าชาวบ้านอื่นๆ
ปรากฏว่าจ้าวเหิงเป็นคนแรกที่พบว่ามีคนตกลงไปในน้ำ
เมื่อตู้จินฮวาตะโกนว่า ‘อาหวั่นตกน้ำ’ เขาบังเอิญอยู่ใกล้ๆ พอดี เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร แต่หัวของเขาว่างเปล่า พอได้สติกลับมาเขาก็ยืนอยู่ข้างบ่อปลาแล้ว
แน่นอน เขาไม่ได้บอกว่าตนเองวิ่งไปหาอาหวั่น เพียงแต่ได้ยินเสียงคนตกน้ำ เขาจึงรีบไปช่วย
จ้าวเป่าเม่ยไม่ได้ยินเสียงร้องของตู้จินฮวา แต่นางวิ่งตามพี่ชายของนางไป
แต่ถึงอย่างนั้นนางเองก็ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ นางก็ลื่นตกลงไปในบ่อปลาได้อย่างไร
จ้าวเหิงที่ว่ายน้ำได้ครึ่งทางแล้วจึงต้องหันหลังกลับมาช่วยนาง
ด้านของหวางหมาจื่อก็แปลกประหลาดมาก
“ข้า ข้า ข้ากำลังง่วงนอน และเมื่อตื่นขึ้น ข้าก็อยู่ในน้ำแล้ว”
เมื่อเขารู้สึกประหม่าจนพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย
ตามสิ่งที่เขาพูด หนึ่งเขาไม่เห็นใครตกน้ำ สองไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ เขาเดินละเมอไปที่บ่อปลาด้วยตัวเอง
เป็นคนอื่นชาวบ้านคงจะไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่หวางหมาจื่อเป็นคนหัวช้า คิดได้ทีละเรื่องและไม่มีทางโกหก
นอกจากนี้ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นใด เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยใครสักคนลงในบ่อปลา นั่นต้องเป็นผู้มีฝีมือแบบไหนกัน? ในหมู่บ้านของพวกเขาไม่มีผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้หรอก!
ผู้คนอดที่จะถอนใจไม่ได้ว่าหวางหมาจื่อช่างมีโชคด้านความรักนัก เพียงแค่เดินละเมอไปเรื่อยแล้วก็คว้าหญิงสาวที่งามดั่งดอกไม้คล้ายหยกมาได้
…
เหตุการณ์ระหว่างกัวเซี่ยนเยว่และหวางหมาจื่อทำให้ทั่วทั้งหมู่บ้านโกลาหล อย่างไรก็ตามอวี๋หวั่นกลับไม่รู้อะไรเลย เธอกำลังนั่งยองๆ อยู่ในทุ่งผักโขมใกล้กับป่าไผ่ และเก็บผักโขมมาไว้ในกำมือ
ลำต้นของผักโขมจะมีสีเขียวหลังจากการหมัก สามารถใช้เป็นหัวเชื้อของเต้าหู้เหม็นได้
เพียงแต่ว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่ฤดูที่ผักโขมอุดมสมบูรณ์ที่สุด จึงต้องเลือกต้นใหญ่ๆ
อวี๋หวั่นเลือกมาครึ่งชั่วยามแล้ว หลังของเธอเริ่มเจ็บและขาก็เริ่มชา
เธอลุกขึ้นยืนและขยับเขยื้อนร่างกาย
ตอนนี้ได้มากกว่าครึ่งกล่องแล้ว แค่หัวเชื้อเต้าหู้เหม็นอีกสักชุดก็น่าจะเพียงพอ
ยังมีเวลาอยู่ เหตุใดไม่ไปขุดหน่อไม้อีกสักหน่อยล่ะ?
อวี๋หวั่นเก็บเครื่องมือใส่ตะกร้าบนหลัง แล้วเดินไปยังป่าไผ่
เมื่ออวี๋หวั่นเดินผ่านพุ่มดอกไม้สองสามพุ่ม ก็เห็นผลไม้สีแดงที่เธอเคยกินตอนที่ยังเป็นเด็ก ต้นซานเยว่เพ่า ที่ก้านมีหนามเล็กๆ หากไม่ระวังก็จะถูกมันทิ่มได้อย่างง่ายดาย จึงเรียกอีกอย่างว่าชื่อเพ่าร์ ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือราสเบอร์รี่
เมื่อราสเบอร์รี่เปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีม่วงก็จะสามารถทานได้ มีรสหวานอร่อยและเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นสิ่งที่อวี๋หวั่นชอบมาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ราสเบอร์รี่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสีเหลือง หลังจากที่อวี๋หวั่นค้นหาอยู่นานก็พบเพียงครึ่งเหลืองครึ่งแดงที่ยังไม่ได้ที่
อวี๋หวั่นเริ่มขุดหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิในป่า
ซึ่งขุดพบได้ง่ายกว่าหน่อไม้ฤดูหนาว ยิ่งไปกว่านั้นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ขุดพบก่อนเดือนเมษายนล้วนเป็นหน่อไม้ต้นฤดูใบไม้ผลิ มีโอกาสน้อยที่จะกลายเป็นไผ่และสามารถขุดได้ทั้งหมด ดังนั้นอีกไม่นาน ตะกร้าบนหลังของอวี๋หวั่นก็หนักขึ้น
อวี๋หวั่นเดินไปล้างมือที่ลำธารเล็ก และได้พบกับท่อนไม้ที่หักลงมาซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน เดาว่าการเคลื่อนตัวของพื้นสั่นสะเทือนให้มันหักลงมาจากยอดเขา
บนท่อนไม้นั้นมีเห็ดหูหนูและเห็ดหอมขนาดใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด ตะกร้าของอวี๋หวั่นเต็มแล้ว เธอจึงเก็บเห็ดหูหนูและเห็ดหอมใส่ลงในกระเป๋าผ้าที่ห้อยอยู่ที่เอว
“ถ้ามีไก่ฟ้าสักตัวก็คงดี”
ไก่ตุ๋นเห็ดหูหนูและเห็ดหอมมีรสชาติล้ำเลิศและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับเด็กๆ
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากทิศตะวันออก
อวี๋หวั่นจับหูกระเป๋าและหยุดชะงัก “รึว่าจะเป็นไก่ฟ้าจริงๆ”
อวี๋หวั่นไม่เคยเจอกับอันตรายใดๆ ในป่า เจอก็แต่จิ้งจอกหิมะ ไก่ฟ้าและกระต่ายเท่านั้น แน่นอนว่าเธอไม่มีทางคิดว่าครานี้จะมีอันตรายใดได้ แต่เมื่อเธอพบกับที่มาของเสียงนั้น กลับพบว่ามันคือหมีดำ
หนังศีรษะของอวี๋หวั่นชา
เธอเคยมาที่นี่หลายครั้งและเดินแถวนี้จนทั่วแล้ว จากการสังเกตภูมิประเทศและมูลสัตว์ระหว่างทาง เธอคิดว่าไม่น่าจะมีสัตว์ร้ายใดๆ ได้เลย เป็นไปได้ไหมว่าการเคลื่อนตัวของพื้นดินทำลายถิ่นที่อยู่เดิมของสัตว์? แล้วตอนนี้พวกมันก็กำลังค้นหารังใหม่อีกครั้ง?
แม้ว่าหมีดำจะมีสายตาที่ไม่ดี แต่หูและจมูกของมันกลับไวมากและตอนนี้มันก็รับรู้ถึงตัวอวี๋หวั่นแล้ว
หมีดำมักไม่ใช่ฝ่ายเริ่มโจมตีมนุษย์ก่อน แต่สัตว์ร้ายที่อยู่บนพื้นนั้นหวาดกลัวอวี๋หวั่นเป็นอย่างมาก ความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนไหว การปรากฏตัวของอวี๋หวั่นทำให้มันรู้สึกอันตราย
มันวิ่งเข้าโจมตีอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นไม่คิดว่าตนจะเอาชนะหมีดำตัวใหญ่นี้ได้ และไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้เช่นกัน เธอกำลังคิดว่าจะหนีอย่างไรดี และทันใดนั้นร่างสีฟ้าก็บินมาและเตะไปที่หัวของหมีดำ
หมีดำถูกเตะเข้าไปในพุ่มไม้ มันจึงหันหลังและวิ่งหนีไป
อวี๋หวั่นแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่เธอจะปล่อยลมหายใจออกหมด มันก็ต้องติดอยู่ในลำคอ “นี่เจ้าเองรึ?”
อวี้จื่อกุยเดินมาพร้อมดาบบนหลังและมองเธอด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ทำไม? เจ้าแปลกใจที่เห็นข้ารึ? เจ้าคิดว่าองครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาข้าฆ่าตายแล้วใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “นักดาบมือหนึ่งแห่งยุทธภพ จะถูกฆ่าตายง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร? แต่เจ้าก็คงได้รับบาดเจ็บมาใช่ไหมล่ะ?”
“ก็เพียงพอที่จะจัดการกับเจ้าแล้วกัน”
นับเป็นการยอมรับแบบกลายๆ
อวี๋หวั่นพูดในใจ ทำให้เจ้าถึงกับออกมาไม่ได้เสียหลายวัน เกรงว่าคงเจ็บหนักมิใช่เล่น คิดสิ มิใช่ว่าไร้ซึ่งโอกาสที่จะเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะเสียทีเดียว
กริชของอวี้จื่อกุยพาดบนคอของอวี๋หวั่น “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อดีกว่า เจ้าก็เหมือนคนที่เหลือเพียงนิ้วเดียวที่สามารถขยับได้ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ท่าทางของอวี๋หวั่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“ถุงผ้าไหม” อวี้จื่อกุยตอบ
อวี๋หวั่นยิ้มด้วยความโกรธ “ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเชื่อว่าถุงผ้าไหมมิได้อยู่ในมือของข้าจริงๆ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเช่นไร เป็นสีดำหรือสีขาว จะเล็กหรือใหญ่ก็ยังไม่รู้เลย ทำไมเจ้าเอาแต่ตามจับข้าไม่ปล่อยเสียที?! เจ้าไม่กลัวว่าจะเอาเวลามาเสียกับข้า แล้วพลาดโอกาสตามหาที่ที่มันอยู่จริงๆ รึ?”
อวี้จื่อกุยตอบอย่างไร้สีหน้า “ถุงผ้าไหมก็อยู่ในมือของเจ้าไง”
เจ้านี่!
อวี้จื่อกุยกล่าวอีกครั้ง “เจ้าอย่าคิดนะว่าเชียนจีเก๋อถูกทำลายไปแล้ว เจ้าจะอยู่อย่างสบายใจได้ ในตอนที่ยังไม่มีใครมาตามหาเจ้า เจ้าควรเอาถุงนั่นออกมาแต่โดยดี มิฉะนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาเองก็คงจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่สามารถช่วยข้าได้” อวี๋หวั่นตอบกลับอย่างประชดประชัน
อวี้จื่อกุยมองอวี๋หวั่นอย่างจดจ้อง คล้ายกับถากถาง “ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็จะยังไม่รู้เลยนะ…”
อวี๋หวั่นนิ่งงัน คำพูดที่เขายังกล่าวไม่จบในวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของเธอ
เสียงถัดมาของอวี้จื่อกุยค่อยๆ ซ้อนทับกับคืนนั้น ที่แตกต่างกันก็คือ เขาพูดคำที่ถูกขัดโดยเยี่ยนจิ่วเฉาออกมา
จู่ๆ มือของอวี๋หวั่นก็กำแน่น
“ดังนั้นเขาไว้ใจไม่ได้ เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวเองอีกเลย”
ทันทีที่อวี้จื่อกุยพูดจบ พลั่วในมือของอวี๋หวั่นก็พุ่งลงมาหาเขา
อวี้จื่อกุยไม่คาดคิดว่าอวี๋หวั่นจะมีท่าทีโต้ตอบเช่นนี้ เขาแทบไม่ทันตั้งตัวและถูกพลั่วของอวี๋หวั่นบาดแขน
อวี๋หวั่นวิ่งหนีสุดชีวิต!
อวี้จื่อกุยใช้วิชาตัวเบาไปหยุดลงตรงหน้าอวี๋หวั่น ขวางมิให้อวี๋หวั่นไป
อวี๋หวั่นหันกลับและวิ่งไปยังทิศเหนือของป่า
อวี้จื่อกุยใช้วิชาตัวเบาอีกครั้งเพื่อหยุดเธอ
อวี๋หวั่นก็เปลี่ยนเส้นทางไปยังทิศใต้อีกครั้ง
อวี้จื่อกุยกำลังจะใช้วิชาตัวเบาอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ ดวงตาของเขาสั่นระริก “เจ้าไปตรงนั้นไม่ได้!”
น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว อวี๋หวั่นได้ก้าวเท้าย่ำลงไปสู่ความว่างเปล่า
การเคลื่อนตัวของพื้นทำให้สภาพบนพื้นดินเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีใครคาดคิดว่าภายใต้วัชพืชที่แซมสลับกันนั้น กลับเป็นหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง
อวี้จื่อกุยเพิ่งจะเดินผ่านมาทางนี้และเห็นอ้น[2]ตัวหนึ่งตกลงไปกับตา
อวี้จื่อกุยเอื้อมมือไปคว้าอวี๋หวั่นไว้ แต่กระทั่งแขนเสื้อก็จับไว้ไม่ได้
……………………………
[1] หม่าจื่อ 麻子 คือ แผลเป็นจากสิว
[2] อ้น竹鼠 คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์ฟันแทะ มีรูปร่างอ้วนป้อมคล้ายหนูตะเภา