หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 134 ที่อยู่ของถุงผ้าไหม
คุณหนูไป๋ยากแค้นจนเหลือเพียงแค่เงิน เงินแข็งๆ นั้นสามารถทับบุรุษในตำบลเหลียนฮวาจนหายไปเกลี้ยงได้
ด้วยเหตุนี้เมื่อนางตะโกนออกมาว่าหนึ่งพันตำลึง นางก็หยิบตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งร้อยตำลึงสิบใบออกมาจากกระเป๋าของนางจริงๆ
เมื่อกัวต้าโย่วกับภรรยาเห็นกองตั๋วเงินสีขาวกองนี้ก็กลัวจนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น
พวกเขามีชีวิตมาถึงป่านนี้ เคยเห็นตั๋วเงินจำนวนมากขนาดนี้เมื่อไหร่กัน?
ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดที่พวกเขารู้จักก็คือสกุลหลัว ไม่ต้องพูดถึงบุตรสาวของสกุลหลัวเลย แม้แต่หัวหน้าครอบครัวสกุลหลัว พี่เขยที่ร่ำรวยและขี้อวดของพวกเขา ก็มิเคยโอ้อวดความร่ำรวยมากมายเช่นนี้
กัวต้าโย่วกับภรรยากลัวมากจนขาอ่อนแรง แต่ไม่สังเกตเห็นว่าใบหน้าของคนสกุลอวี๋ถูกสะกดเสียยิ่งกว่าพวกเขา
ทั้งคู่อยากจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง แต่ตั๋วเงินและผู้คนที่อยู่ตรงหน้าทำให้พวกเขาอดเชื่อไม่ได้
ไม่น่าเป็นไปได้ที่สกุลอวี๋จะจงใจหาคนมาแสดงเพื่อปฏิเสธการแต่งงานในครานี้ จริงๆ แล้วกัวต้าโย่วและตู้จินฮวามีความตั้งใจที่กะทันหันและสกุลอวี๋ก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อน พวกเขาจะไปหาสตรีที่สวยดั่งดอกไม้งดงามดั่งหยกเช่นนี้จากที่ใด? แล้วจะไปยืมเงินหนึ่งพันตำลึงมาจากที่ไหน?
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ…อวี๋เฟิงเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้ถูกบุตรสาวของสกุลใหญ่ชอบพอ!
ตู้จินฮวาเหมือนถูกฟ้าผ่า สตรีผู้นี้ชอบอะไรอวี๋เฟิง? หน้าตารึ?!
รูปลักษณ์ของอวี๋เฟิงก็ยังนับว่าโดดเด่นมากในพื้นที่แถบนี้ ทั้งขยันและอดทนต่อความยากลำบาก ตู้จินฮวาดูถูกเขา ไม่ใช่เพราะมีสภาพที่ย่ำแย่ แต่สกุลอวี๋ยากจนก็พาให้ดูถูกดูแคลนบุตรชายสกุลอวี๋ไปด้วย
แต่ทันใดนั้นอวี๋เฟิงก็กลายเป็นที่ชื่นชอบ ตู้จินฮวามองไปที่เขาอีกครั้งและรู้สึกว่ายิ่งมองยิ่งน่าดึงดูด
ที่บอกว่าเนื้อติดมันไม่แย่งไม่หอมนี่เป็นเรื่องจริง
แต่ก็ไร้ประโยชน์แล้วที่ตู้จินฮวาจะพึงใจเขาตอนนี้ ไม่ต้องพูดว่ากัวเซี่ยนเยว่มีเรื่องอื้อฉาวกับหวางหมาจื่อ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มี นางก็ไม่ดีไปกว่าสตรีที่มีทั้งความร่ำรวยและงดงามผู้นี้เลย
ผู้คนทุ่มเงินมากมายเพื่อสาวงาม แต่กับอวี๋เฟิง มันคือการทุ่มเงินหลายพันให้กับชายงาม…
ตู้จินฮวาคลานเข้าไปใต้โต๊ะด้วยท่าทางเศร้าสลดและพูดกับกัวต้าโย่วที่ยังคงแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นและยังไม่ได้สติดี “ลูก…ลูกสาวของเราได้แต่ต้องแต่งงานกับหวางหมาจื่อแล้วหรือ?”
เมื่อสิ้นสุดเสียงนั้น หวางหมาจื่อก็เข้ามาที่ประตู
หวางหมาจื่อเดินไปมารอบๆ บ้านสกุลอวี๋เป็นเวลานานแล้ว เขาต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการทำสิ่งนี้
เขากำหมัดแน่น หลับตาและพูดเสียงดังไปทางห้องโถง “สกุล สกุล สกุล…กัว! พะ พะ พะ…พวกท่านฟัง… ดีๆ นะ! ข้า…ข้าไม่แต่งงาน…กับบุตรสาวบ้านท่าน! ข้ามีคนรักแล้ว! ไม่…ไม่แต่งกับคนอื่น!”
เมื่อพูดจบ เขาก็วิ่งออกจากบ้านสกุลอวี๋โดยไม่หันกลับมาอีก เหลือไว้เพียงกัวต้าโย่วและภรรยาที่งงเป็นไก่ตาแตก
คางของตู้จินฮวาแทบจะหลุด แม้แต่หวางหมาจื่อก็ยังไม่ต้องการบุตรสาวของนางงั้นหรือ?
ไม่มีอะไรที่จะทำร้ายกันไปมากกว่านี้แล้ว ชายโสดอย่างหวางหมาจื่อที่ทั้งอายุมากและยากจน เอาอะไรมาดูถูกบุตรสาวนาง? อะไรกัน?!
ตู้จินฮวาความดันพุ่งสูง หายใจไม่ออก เพียงไม่นานก็เป็นลมไป!
เมียเป็นลมไปแล้ว กัวต้าโย่วไม่อาจทำให้สำเร็จได้เพียงคนเดียว ตอนนี้ไม่มีความเย่อหยิ่งแล้ว
ในช่วงบ่าย กัวต้าโย่วเก็บข้าวของพาภรรยาและลูกๆ ไปนั่งเกวียนวัวจากไปด้วยความเศร้าสลด
ตอนมาช่างหยิ่งผยองจองหอง ตอนไปช่างสกปรกมอมแมม
ในที่สุดบ้านก็สะอาดแล้ว อวี๋หวั่นจึงได้จัดการโต๊ะและเชิญให้ไป๋ถังนั่งลง “ทำไมท่านถึงมาที่นี่เล่า?”
“หากข้าไม่มา พี่ชายเจ้าก็ต้องแต่งงานมิใช่รึ?” ไป๋ถังจ้องมองนางก่อนจะกลับไปที่ประเด็นหลัก “ข้ามาหาเจ้า”
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้จะยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก? ดรุณีผู้นี้แสดงได้ดี ครู่หนึ่งพวกเขาคิดว่าบุตรชายกับนางตกลงปลงใจอยู่ด้วยกันไปตลอดแล้วจริงๆ
สตรีผู้นี้กล้าหาญเกินไปแล้ว พูดจา ‘เพ้อเจ้อ’ เช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะมีใครรู้และถูกทำลายชื่อเสียงเลยรึ? แต่เมื่อคิดอีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบนางก็มิได้แนะนำตัวเองเลย สกุลกัวจะเอาไปสร้างข่าวลือใส่ร้ายก็ทำไม่ได้
ลุงใหญ่ อวี๋เฟิงและอวี๋ซงเคยไปทำอาหารที่คฤหาสน์ไป๋และเคยพบกับไป๋ถังแล้ว แต่ป้าสะใภ้ใหญ่กลับไม่รู้ว่านางเป็นสตรีจากสกุลไหน
อวี๋หวั่นแนะนำ “ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านนี้คือบุตรสาวของหอหยกขาว คุณหนูไป๋ท่านนี้คือป้าสะใหญ่ของข้า”
“สวัสดีค่ะป้าอวี๋” ไป๋ถังกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“เห!” ป้าสะใภ้ใหญ่ผู้จริงจังไม่ล้อเล่น ไม่ว่ามีความสุขหรือไม่มีป้าสะใภ้ใหญ่ก็มีเพียงใบหน้าที่เรียบเฉย แต่มุมปากของนางกลับยกขึ้นเมื่อไป๋ถังเรียก ‘ป้า’ นางมองไป๋ถังขึ้นลง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ หากผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสะใภ้ของนางจริงๆ ก็ดี…
ป้าสะใภ้ใหญ่หยิกตัวเองไปหนหนึ่ง คิดอะไรอยู่? นางเป็นถึงบุตรสาวของหอหยกขาวผู้งดงาม พวกเขาเป็นแค่ชาวนาในชนบท จะคบหากับคนสูงศักดิ์เช่นนั้นได้อย่างไร?
แต่ดรุณีผู้นี้ช่วยบุตรชายของนางไว้มาก คราหน้ามีโอกาสต้องตอบแทนนางดีๆ ถึงจะถูก
ไป๋ถังมาที่นี่เพื่อตามหาอวี๋หวั่น หลังจากที่สกุลอวี๋ได้กล่าวทักทายนาง พวกเขาก็ไปทำงานของตัวเองและปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ในห้องโถง
อวี๋เฟิงพาเจินเจินน้อยออกไปด้านนอก
เจินเจินน้อยจ้องไปที่ไป๋ถังไม่ขยับ
ไป๋ถังกวักมือเรียกนาง เจินเจินน้อยจึงพาพี่ชายเดินไป ไป๋ถังหยิบขนมกรุบกรอบออกมาจากกระเป๋าและเอากระดาษสีน้ำตาลออก “เอ้า ข้าให้”
เจินเจินน้อยเงยหน้าขึ้นและมองไปที่พี่ชาย
อวี๋เฟิงพยักหน้า
เจินเจินน้อยก็รับมันมา
“กล่าวขอบคุณสิ” อวี๋หวั่นเอ่ย
เจินเจินน้อยมองไปที่ไป๋ถัง “ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณใครล่ะ?” ไป๋ถังถามด้วยรอยยิ้ม
เจินเจินน้อยมองไปที่พี่ชาย จากนั้นก็มองไปที่ไป๋ถัง “พี่สะใภ้”
หน้าของไป๋ถังมีเส้นสีดำที่ดูมืดมนปรากฏ “…”
ข้า ข้า ข้าไม่ได้สอนแบบนั้น!
อวี๋เฟิงหน้าแดงก่ำรีบอุ้มน้องสาวแล้วเดินหนีจากไป เจินเจินน้อยกินขนมในอ้อมแขนอย่างใจเย็น “หวานจัง”
…
เด็กน้อยไร้เดียงสา โดยปกติแล้วไป๋ถังจะไม่จริงจังกับเด็กน้อยอายุสามขวบ เพียงแต่พอนึกถึงท่าทีที่ผลุนผลันหนีไปของอวี๋เฟิงก็ได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ คนที่ควรจะเหนียมอายมิใช่นางหรอกรึ?
แน่นอนอวี๋หวั่นเข้าใจว่าพี่ชายของเธอหนีอะไร แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกให้คุณหนูไป๋รู้ต่อหน้า
“โอ้ ข้าเกือบลืมเรื่องธุระไปแล้ว” ไป๋ถังตบศีรษะตนเองและหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อกว้างๆ “ข้าพบมันบนเตียงตรงปีกอาคารของหอหยกขาว ใช่ของเจ้าไหม?”
อวี๋หวั่นหยิบขึ้นมาดูและได้เห็นว่ามันเป็นถุงผ้าไหมสีม่วงอ่อน
อวี๋หวั่นจำไม่ได้ว่าเธอมีของเช่นนี้ เธอกำลังจะส่ายศีรษะแต่ก็ได้ยินไป๋ถังเอ่ยว่า “ยายเจิ้งทำความสะอาดห้องให้ข้าและเขย่ามันออกมาจากใต้ฟูก พบมันเมื่อปีกลาย ข้าเพิ่งไปหอหยกขาวมาวันนี้ ในห้องนั้นนอกจากข้าแล้วก็มีเจ้า คนรับใช้หลักของเหยียนหรูอวี้ และคุณชายเยี่ยนเท่านั้นที่เคยเข้าไป เจ้ารีบๆ ดูสิว่าเป็นของเจ้ารึไม่ หากไม่ใช่ของเจ้า ก็ควรเป็นของใครสักคนหนึ่งในนั้น”
เมื่อพูดเช่นนั้น อวี๋หวั่นก็จำได้ หลังออกจากวัด เธอไปที่หอหยกขาวแล้วพาเด็กน้อยสามคนออกจากตะกร้าไปวางไว้ให้พักผ่อนบนเตียงของไป๋ถัง
“พวกเจ้าทำของตกไว้เหตุใดไม่ตามหากันนะ?” ไป๋ถังพึมพำ
อวี๋หวั่นพูดในใจว่าที่เธอมิได้ตามหาเพราะไม่รู้ว่าตนนั้นทำของหล่นไว้ แต่ที่เหยียนหรูอวี้และเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้หาเพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรหล่นไว้เลย
ดูเหมือนว่าถุงผ้าไหมนี้จะเป็นของเธอ ถ้าพูดให้ถูกก็คืออวี้จื่อกุยเป็นคน ‘มอบให้’ เธอ!
อวี้จื่อกุยแม้ใกล้ตายก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาตามหาอยู่จะไปตกอยู่บนเตียงของไป๋ถังได้อย่างน่าประหลาด
ดีเลย เธออยากรู้นักว่าด้านในถุงผ้าไหมนำโชคร้ายที่ทำให้เธอเกือบตามมาหลายครานี่จะใส่อะไรไว้กันแน่
………………………………………………..