หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 135 ธุรกิจใหญ่
อวี๋หวั่นเปิดถุงผ้าไหมดูก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเธอได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
“ช่างเป็นลูกปัดเหล็กที่ใหญ่จังเลย” ไป๋ถังโน้มตัวเข้ามาและหยิบลูกปัดเหล็กในมือของอวี๋หวั่น ลูกปัดนั้นมีน้ำหนักมาก มีขนาดประมาณกำปั้นทารกน้อยและมีลายที่ไม่ปกติ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ “มันใช้ทำอะไรรึ? ซื้อให้น้องชายเจ้าเล่นหรือ?”
จะว่าเป็นเครื่องมือก็ไม่เหมือน เป็นอาวุธก็ยิ่งไม่ใช่ ของเล่นกระมัง… อวี๋หวั่นถูคางไปมา เด็กที่ไหนจะมีมือที่แข็งแรงเช่นนี้?
เชียนจีเก๋อไล่ฆ่าเธอ อวี้จื่อกุยก็บีบให้เธอตกหน้าผา ก็แค่เพื่อของเล่นพังๆ นี่หรือ?
อวี๋หวั่นไม่อาจบอกความจริงกับไป๋ถังได้ เธอจึงได้แต่พูดตามน้ำไปว่าเอามาให้เถี่ยตั้นน้อย ไป๋ถังพูดอ้อเสียงดังและคืนลูกปัดเหล็กให้กับอวี๋หวั่นโดยมิได้สนใจ
อวี๋หวั่นเก็บลูกปัดไว้ เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อย่างไรก็น่าจะมีคนรู้จักสิ่งนี้ อย่าง…เยี่ยนจิ่วเฉา?
อวี๋หวั่นตัดสินใจว่าหลังจากไปส่งคุณหนูไป๋ เธอจะนำลูกปัดเหล็กไปให้เยี่ยนจิ่วเฉาดู หากเขาต้องการเธอก็จะให้เขาไปเสีย ด้วยอำนาจของจวนเยี่ยนอ๋อง คงไม่มีผู้ใดกล้ารนหาที่ตายกระมัง
อวี๋หวั่นที่กำลังหาทางหนีทีไล่ของเรื่องยากๆ รู้สึกสว่างไสวสดใสไปทั้งหัวใจ เธองเก็บลูกปัดเหล็กกลับเข้าไปในถุงผ้าไหม ทันใดนั้นปลายนิ้วของเธอก็ชา
“ฟืด…” อวี๋หวั่นสูดลมหายใจ
“มีอะไรหรือ?” ไป๋ถังถาม
อวี๋หวั่นมองไปที่ปลายนิ้วจากนั้นก็มองไปที่ลูกปัดเหล็กในมือและส่ายหัว “ไม่มีอะไร แค่บาดนิดหน่อย”
ไป๋ถังจับมือของเธอมาดูใกล้ๆ อย่างละเอียด ดูจนแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลนางก็โล่งใจ “อืม ข้าให้ของเจ้าแล้ว ข้าคงต้องกล่าวลาแล้ว”
“คุณหนูไป๋! คุณหนูไป๋! ” ป้าสะใภ้ใหญ่เดินมาพร้อมตะกร้าใบใหญ่ “วันนี้ต้องขอบคุณท่านมากเลย ที่บ้านไม่มีของอะไรดีๆ ในนี้มีผักดองที่บ้านข้าทำและขนมที่เสี่ยวเฟิงกับพ่อของเขาทำ อย่ารังเกียจเลยนะ”
“ข้าจะรับมันไว้ได้อย่างไร?” ไป๋ถังปฏิเสธ
ป้าสะใภ้ใหญ่ยัดตะกร้าใส่มือของนาง “ข้ารู้ว่าสกุลใหญ่โตอย่างพวกท่านมิได้ขาดแคลนอาหารพวกนี้หรอก แต่พ่อของเสี่ยวเฟิงทำอาหารเก่งมาก เขาเคยเป็นพ่อครัวที่เมืองหลวง เจ้านายของเขาเองก็ชอบกินสิ่งที่เขาทำมากเลย!”
ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่แต่งงานกันมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่เคยได้รับคำชมเชยเช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกมีความสุขมาก มิรู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่กังวลเพียงใดว่าไป๋ถังจะปฏิเสธของขวัญขอบคุณของพวกเขา
ไป๋ถังปฏิเสธได้ยาก นางได้แต่รับไว้ด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หวั่นส่งไป๋ถังที่ทางเข้าหมู่บ้าน ตอนที่ออกไปอวี๋เฟิงก็นั่งยองๆ อยู่ที่ประตูเพื่อสอนน้องสาวคนเล็กอย่างปากเปียกปากแฉะ
“ไม่ใช่พี่สะใภ้” อวี๋เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเป็นครั้งแรก
“พี่สะใภ้” เจินเจินน้อยพูดไปพลางกินขนมไปพลาง
“…”
อวี๋เฟิงแทบคลั่ง สอนมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงเปลี่ยนคำพูดนางไม่ได้สักที?
อวี๋เฟิงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีพูด “ไม่ใช่พี่สะใภ้ แต่เป็นคุณหนูไป๋”
เจินเจินน้อย “คุณหนูไป๋”
เด็กหญิงเป็นเหมือนนกแก้วตัวน้อยๆ นางเรียนรู้ได้เพียงสองสามคำสุดท้าย
อวี๋เฟิงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ตอนนี้อวี๋หวั่นกับไป๋ถังออกมาแล้ว
อวี๋หวั่นมองไปที่อวี๋เฟิงและพูดว่า “พี่ใหญ่ คุณหนูไป๋จะไปแล้วนะ”
อวี๋เฟิงจับมือของเจินเจินน้อยและหันตัวไปหา โดยหวังจะให้เจินเจินเรียกว่าคุณหนูไป๋ แต่หารู้ไม่ด้วยความประหม่า เขากลับพูดตรงกันข้าม “เจินเจิน พี่สะใภ้จะไปแล้วนะ”
เจินเจินน้อยมีสีหน้างุนงง “…”
คุณหนูไป๋ที่สับสนเสียยิ่งกว่าเจินเจิน “…”
อวี๋หวั่นเกือบจะหัวเราะ พี่ใหญ่ เราไม่ต้องกังวลขนาดนั้นได้ไหม?
อวี๋เฟิงไม่มีหน้าไปพบเจอใคร น้องสาวของเขาเองก็ไม่อยากแล้ว เขารีบมุดหัววิ่งเข้าไปในห้องแต่กลับกระแทกเข้ากับกรอบประตูดังโครมจนหัวปูดโน
“ประตูบานใหญ่ขนาดนี้เปิดอยู่เจ้าก็ยังไปชนกำแพงได้ ตาเขแล้วรึ?”
“โอ๊ย ถั่วข้า!”
“อาหารข้า!”
“ไข่!”
“เจ้าลิงจ๋อนี่!”
ภายในบ้าน ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ถูกอวี๋เฟิงผู้ตื่นตระหนกชนเข้าจนเละเทะวุ่นวายก็หยิบไม้กวาดขึ้นมา
อวี๋เฟิงไม่คาดคิดว่าตนที่ใช้ชีวิตมายี่สิบปี การถูกตีครั้งแรกของเขาจะเป็นวันนี้
มีเพียงอวี๋ซงที่ถูกตีมาตลอด ส่วนอวี๋เฟิงก็เฝ้าดูอย่างว่านอนสอนง่าย วันนี้ฮวงจุ้ยได้สลับสับเปลี่ยน อวี๋ซงอารมณ์ดี เขากินหัวไชเท้าและย่ำเท้าก้าวอย่างสบายใจ ไปเฝ้าดูอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่สุดท้ายกลับถูกตีอย่างน่าเวทนา
อวี๋ซงที่ถูกตีอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ “…”
นี่ข้าทำอะไรผิดเนี่ย!
…
กระทั่งขึ้นไปนั่งในรถม้า ไป๋ถังก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้
อวี๋หวั่นนึกถึงความโชคร้ายของพี่ชายทั้งสอง ก็อดก่ายหน้าผากมิได้ “ทำให้คุณหนูไป๋เห็นเรื่องตลกเสียแล้ว”
ไป๋ถังหยุดหัวเราะและแสดงท่าทางโหยหา “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้ายังอิจฉาเลยนะ”
อวี๋หวั่นรู้เรื่องของไป๋ถัง บุตรชายของบิดานางมีร่างกายอ่อนแอ เขามีบุตรชายคนหญิงคนและไม่ได้เกิดจากท้องเดียวกัน แม่เลี้ยงของนางเจ้าเล่ห์จ้องจะทำลายไป๋ถัง นางและน้องชายต่างแม่จะดีต่อกันได้สักแค่ไหน?
เมื่อคิดเช่นนี้ อวี๋หวั่นรู้สึกว่านางช่างน่าสงสาร แม้ว่านางจะมีเงินมากเพียงใดก็ยังเหน็บหนาว มีบ้านใหญ่เพียงไหนก็ยังว่างเปล่า นายท่านไป๋ให้ความรักและความสนใจไม่เท่ากัน และอวี๋หวั่นไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงและน้องชายโกรธแค้นไป๋ถังมากแค่ไหน
เสียงดุด่าของป้าสะใภ้ใหญ่และเสียงร้องโวยวายของสองพี่น้องที่ดังมาจากบ้านหลังเก่าเป็นครั้งคราว ทำให้ร่องรอยของความอิจฉาและความเหงาปรากฏขึ้นในดวงตาของไป๋ถัง
ท่าทีของไป๋ถังเช่นนี้ทำให้อวี๋หวั่นแทบอยากจะห่อนางกลับไปที่บ้านด้วยกัน
อวี๋หวั่นมองไป๋ถังและยิ้มเล็กน้อย “ครอบครัวของข้าชอบคุณหนูไป๋มาก ถ้าคุณหนูไม่รังเกียจก็มานั่งเล่นบ่อยๆ นะ”
“อื้ม” ไป๋ถังพยักหน้ากล่าวอำลาอวี๋หวั่น จากนั้นนางก็ลดม่านลงและจากไป
…
ไป๋ถังเพิ่งไป ด้านหลังก็ปรากฏรถม้าอีกคัน เป็นรถม้าที่มีม้าลากสองตัว!
“ไอ้หยา ใครล่ะนั่น?”
“มาที่หมู่บ้านเราหรือไม่นะ?”
“มาดูนี่เร็ว มาดูนี่เร็ว มากันแล้ว!”
เหล่าแม่บ้านน้อยใหญ่ที่นั่งยองๆ ซักผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำต่างมองไปที่รถม้าด้วยความใคร่รู้ คนขับรถม้าขับไปเรื่อยๆ จนถึงประตูบ้านหลังเก่าของสกุลอวี๋โดยไม่แยแสสิ่งใด
“แม่นางอวี๋! อยู่หรือไม่?”
กลับเป็นคุณชายห้าแห่งสกุลเซียวที่ไม่ได้พบกันมานาน เขาเปิดม่านและกระโดดลงมาอย่างห้าวหาญ
เสียงกรีดร้องและก่นด่าในบ้านหยุดลงทันที
อวี๋หวั่นเดินมาด้วยท่าทางตลก “คุณชายห้า ข้าอยู่นี่”
ขณะที่เธอมองรถม้าเข้าไปยังบ้านหลังเก่า อวี๋หวั่นก็เดาได้ว่าคงมาหาเธอ แต่เธอกลับเดาไม่ออกว่านั่นคือคุณชายห้า
ตั้งแต่ยอมจำนนต่อเต้าหู้เหม็น ท่าทีของคุณชายห้าที่มีต่ออวี๋หวั่นก็แตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นคนละคน
“แม่นางอวี๋ เจ้าสบายดีนะ” คุณชายห้าทักทายอย่างสุภาพ
ใบหน้าของเขาแดงขึ้น อวี๋หวั่นเดาว่าเขามาหาเธอคงมิใช่เรื่องร้ายเป็นแน่
เป็นอย่างที่คิด คุณชายห้าพูดอย่างจริงใจ “ที่ข้ามาในวันนี้ เพื่อแนะนำธุรกิจใหญ่ให้กับเจ้า!”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังรถม้า “พี่ใหญ่ฉิน ลงมาสิ ถึงบ้านแม่นางอวี๋แล้ว!”
………………………………