หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 137 การแข่งขันทำอาหารขั้นเทพ
“ข้าขอพูดตรงๆ นะ” นายท่านฉินมีความรู้มากและเข้าประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว “แม้เจ้าจะทำรสชาติได้ดี แต่เจ้ารับประกันได้รึไม่ว่าของที่เจ้าส่งมาจะมีรสชาติเหมือนกัน?”
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “นายท่านฉินสบายใจได้ หากลูกค้าไม่พอใจ ท่านสามารถคืนสินค้าทั้งหมดให้ข้าได้”
อวี๋เฟิงมองไปที่อวี๋หวั่น สตรีผู้นี้พูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร? ของที่ขายไปแล้วจะมีเหตุผลในการคืนสินค้าที่ไหน? ต้องมีคนที่ไม่พอใจอยู่แล้ว หรือว่านายท่านฉินเองก็อาจไม่ต้องการมันแล้ว จึงหาข้ออ้างเพื่อกำจัดเต้าหู้ที่พวกเขาทุ่มเททำอย่างสุดกำลัง?
“คุณชายอวี๋มีอะไรจะพูดหรือไม่?” นายท่านฉินสมกับเป็นคนในกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ ความสามารถในการอ่านคนของเขาไม่เป็นรองใคร
อวี๋เฟิงอ้าปากและมองไปยังน้องสาวของเขา
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ ใส่อวี๋เฟิง ทำให้อวี๋เฟิงต้องกลืนคำพูดที่ขึ้นมาถึงริมฝีปากของตัวเองลงไป “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่อยากจะถามพวกท่านว่าหิวกันหรือไม่? อยากกินอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”
“ข้าอยากได้อีกจาน!” ฉินจื่อซวี่ยกมือที่ถือตะเกียบขึ้น
อวี๋เฟิง “… “
เจ้า เจ้าช่างไม่เกรงใจจริงๆ
ในครัวมีอีกเยอะ อวี๋เฟิงกำลังไปเอามา แต่ฉินจื่อซวี่ทนรอไม่ไหวและเดินตามเข้าไปด้วย
คุณชายห้ากระแอมในลำคออย่างเคร่งขรึม สุดท้ายเขาก็ไม่อาจทนต่อความยั่วยวนของเต้าหู้เหม็นได้ เขาทิ้งมาดความเป็นผู้ใหญ่และตามไปที่ห้องครัวเพื่อแย่งเต้าหู้เหม็นกับฉินจื่อซวี่
ทันใดนั้น ในห้องโถงก็เหลือเพียงอวี๋หวั่นและนายท่านฉิน
แม้จะเผชิญหน้ากับชายอื่นเพียงลำพัง อวี๋หวั่นก็มิได้แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ
นายท่านฉินอดไม่ได้ที่จะมองสตรีชาวบ้านตัวเล็กๆ ผู้นี้ด้วยความชื่นชมอีกครั้ง “ข้าขอพูดตรงๆ นะ”
ความประทับใจสองที่อวี๋หวั่นมีต่อนายท่านฉินคือคำพูดติดปากนี้
“นายท่านฉินโปรดพูดเถิด” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างสง่างาม
นายท่านฉินมองไปยังอวี๋หวั่นอย่างลึกซึ้งและกล่าวว่า “แม่นางอวี๋กับคนสกุลอวี๋ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไร”
อวี๋หวั่นเอ่ย “ท่านพ่อของข้ามิได้เป็นลูกแท้ๆ ของท่านปู่ท่านย่า”
คำตอบของอวี๋หวั่นดูจะเกินความคาดหมายของนายท่านฉิน แน่นอนว่านายท่านฉินมิได้แปลกใจที่เธอไม่ใช่คนสกุลอวี๋ แต่แปลกใจที่เธอบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ดรุณีผู้นี้แตกต่างในทุกด้านจริงๆ…
“นายท่านฉิน” คราวนี้อวี๋หวั่นหันมาพูด “ในหนึ่งวันเราจะส่งหนึ่งพันชั่ง หนึ่งชั่งสิบอีแปะ นายท่านฉินคิดว่าอย่างไร?”
“สิบอีแปะรึ?” นายท่านฉินขมวดคิ้ว “เต้าหู้เก่าที่แพงที่สุดในตลาดขายเพียงสี่ห้าอีแปะ จะไม่เรียกราคาแพงไปหน่อยรึ?”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างมั่นใจว่า “เต้าหู้ในตลาดจะเทียบกับเต้าหู้ที่ข้าขายได้อย่างไร เพราะของข้าเป็นธุรกิจเพียงหนึ่งเดียว มันก็เหมาะสมกับราคานี้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีลักษณะอย่างนายท่านฉิน หอจุ้ยเซียนต้องทำธุรกิจใหญ่อยู่แล้ว หากท่านซื้อเต้าหู้เหม็นในราคาสิบอีแปะ ท่านขายต่อได้ในราคาหนึ่งตำลึงเงิน เหตุใดยังต้องกังวลเกี่ยวกับราคาซื้อเล่า?”
“เด็กคนนี้นี่!” นายท่านฉินยิ้มอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาเป็นนักธุรกิจมิใช่นักปล้น จะขายของราคาสิบอีแปะในราคาที่มากกว่าร้อยเท่าได้อย่างไร?
เขามองออกแล้ว ดรุณีผู้นี้แข็งกร้าวกว่าเขา นางยอมไม่ขาย หากแต่ต้องจ่ายตามราคาที่นางเรียกมา
นายท่านฉินชั่งข้อดีข้อเสีย ไม่ตอบปฏิเสธหรือตกลงอย่างรีบร้อน
อวี๋หวั่นมองไปที่เขาและพูดว่า “นายท่านฉินมีเรื่องใดที่ยังกังวลหรือไม่?”
นายท่านฉินแตะคางของเขา
อวี๋หวั่นหยุดชั่วคราวและถาม “เกี่ยวกับการให้ลุงใหญ่ของข้าได้เจิ้งหมิงเล่า? นายท่านฉินคิดจะใช้วิธีใด?”
นายท่านฉินกล่าวว่า “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขันทำอาหารขั้นเทพที่สามปีจัดขึ้นครั้งหนึ่งรึไม่?”
อวี๋หวั่นส่ายหัว เธอมาอยู่ที่นี่เพียงไม่นาน หลังจากได้ฟังข้อมูลส่วนใหญ่มาจากหอหยกขาว แต่ทั้งผู้จัดการชุยและคุณหนูไป๋ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่นี้เลย
อันที่จริงก็ไม่แปลกที่ทั้งสองจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ หอหยกขาวก็ยังไม่มีคุณสมบัติรับชมการประลอง นับประสาอะไรกับการเข้าร่วมแข่งขัน
นายท่านฉินยิ้มพลางมองไปที่อวี๋หวั่นและพูดว่า “ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนการแข่งขันใหญ่จะมาถึง เท่าที่ข้ารู้มา ผู้ชนะในปีก่อนๆ มาจากหอเทียนเซียง ถ้าครั้งนี้เปลี่ยนเป็นลุงใหญ่ของเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
คำพูดง่ายๆ ที่ราวกับว่าลุงใหญ่จะชนะได้แค่ไปที่นั่น อวี๋หวั่นรู้ดีว่านายท่านฉินกำลังหลอกล่อพวกเธอให้เข้าร่วมการแข่งขัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง นายท่านฉินก็เป็นแค่จิ้งจอกชรานี่เอง ลุงใหญ่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันซึ่งแปดในสิบส่วนก็คงใช้ชื่อของหอจุ้ยเซียน หากเอาชนะหอเทียนเซียงได้ หอจุ้ยเซียนก็จะดังเป็นพลุแตกซึ่งนับเป็นการประชาสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ
อวี๋หวั่นเอ่ยเบาๆ “นายท่านฉิน นี่ท่านทำเพื่อหอจุ้ยเซียนของท่านสินะ?”
นายท่านฉินยอมรับอย่างจริงใจ “ผู้คนทั่วใต้หล้าล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ ข้าทำเพื่อหอจุ้ยเซียน เจ้าทำเพื่อลุงของเจ้า เราต่างได้รับสิ่งที่เราต้องการ หาได้ขัดแย้งกัน”
อวี๋หวั่นเอ่ย “ก็เช่นนั้นจริง แต่ท่านไม่ได้พูดแต่แรก ใช้เวลาเสียนานกว่าจะพูดสิ่งที่ท่านต้องการออกมา ข้าไม่สบายใจเลย มีแต่ความรู้สึกถูกหลอกอยู่ตลอด”
“ฮ่าๆ!” นายท่านฉินอดขำออกมาไม่ได้ “มันเป็นความผิดของตัวฉินเอง! ข้าไม่ควรใช้วิธีเดียวกับที่ใช้ในเขตการค้ากับแม่นางอวี๋เลย นิสัยที่ผ่านมาหลายปีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาสั้นๆ ข้าหวังว่าแม่นางอวี๋จะให้อภัยในความบกพร่องของข้า”
หลังจากนั้น เขาก็โค้งคารวะไปทางอวี๋หวั่น
เขาสามารถเรียกตัวเองว่าฉินและยอมรับความผิดได้อย่างใจกว้าง ดีกว่าคนที่กระทำผิดแล้วไม่ยอมรับเป็นไหนๆ
อวี๋หวั่นหยุดและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ชอบให้ใครมาลองเชิง เรื่องธุรกิจยังคงเดิม แต่เรื่องการแข่งขันเราค่อยเจรจากันอีกที”
นายท่านฉินผงะไปชั่วครู่ “แม่นางอวี๋ … “
อวี๋หวั่นยืนขึ้น “ข้ามีเรื่องต้องทำ ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“นี่!” นายท่านฉินไม่คิดว่าสตรีตัวเล็กๆ คิดจะไปก็ไปอย่างไม่แยแส เขากำลังจะบอกให้นางอยู่ต่อ แต่ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ก็เข้ามาพอดี
ป้าสะใภ้ใหญ่ “ท่านนั้นคือนายท่านฉิน”
นายท่านฉินหันไป เห็นไม้เท้าค้ำยันเดินขากะเผลก ก็คิดในใจว่า หรือนั่นจะเป็นพ่อครัวอวี๋?
นายท่านฉินก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทาย จากนั้นนายท่านฉินก็พูดถึงการแข่งขันครั้งใหญ่ “…หวังว่าพ่อครัวอวี๋…”
ลุงใหญ่เงยคางขึ้นแล้วพูดว่า “อาหวั่นของเรามิได้บอกรึว่าค่อยคุยกัน? เช่นนั้นก็ค่อยคุยกันเถอะ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไปอย่างไม่ไว้หน้า!
ใบหน้าของนายท่านฉินปรากฏเส้นขีดสีดำ “…”
…
ภายในบ้าน อวี๋เฟิงดึงอวี๋หวั่นและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่เห็นด้วยรึ? ข้าคิดว่านายท่านฉินพูดถูก นี่เป็นโอกาสที่ดีที่พ่อข้าจะได้เจิ้งหมิง และเป็นโอกาสเดียวด้วย”
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างมีเลศนัย “แล้วมิใช่โอกาสเดียวของหอจุ้ยเซียนรึ?”
นายท่านฉินไม่ได้พูดเช่นนั้นหรือ? การแข่งขันทำอาหารระดับเทพจัดขึ้นหนึ่งครั้งในทุกๆ สามปี หากพลาดโอกาสที่จะทำชื่อเสียงในครั้งนี้ ก็ต้องรอไปอีกสามปี แม้วิธีการอื่นจะสามารถทำให้ชื่อเสียงของร้านดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่มันจะเร็วอย่างการแข่งขันใหญ่นี่ได้อย่างไรเล่า?
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้พวกเขาร้อนใจเสียยิ่งกว่าเรา” อวี๋หวั่นกล่าว
“เจ้าจะทำอะไร?” อวี๋เฟิงถาม
อวี๋หวั่นยิ้มพลางพูดว่า “ใครให้เขาใช้วิธีของพ่อค้าหน้าเลือดกับข้าล่ะ เขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ข้าก็จะทำให้กระเป๋าเงินของเขาไม่สบายใจด้วยเช่นกัน”
อวี๋เฟิงปากกลายเป็นเส้นตรง ใครกันแน่ที่เป็นพ่อค้าหน้าเลือด…
…
นายท่านฉินเห็นแล้วว่าคนที่ตัดสินใจในเรื่องธุรกิจของสกุลอวี๋ก็คือสตรีตัวเล็กๆ ผู้นั้น
ครอบครัวอวี๋ให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้น่าดู
แต่…ตัวเองก็ให้ความสำคัญกับเด็กน้อยนั่นมิใช่รึ?
นายท่านฉินคิดว่าเขาจะไว้หน้าดรุณีผู้นั้นมากเกินไปไม่ได้แล้ว ต้องสั่งสอนนางให้รู้เสียหน่อย แน่นอนว่าเขาจะไม่ใช้ธุรกิจเต้าหู้เหม็นมาจัดการกับนาง วิธีการแบบนั้นมันชั้นต่ำเกินไปและจะทำให้สูญเสียตัวตนในฐานะนายท่านฉินอย่างเขา
นายท่านฉินตัดสินใจจะปล่อยให้นางรอ เขาไม่เชื่อว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ นั้นจะใจเย็นพอ
นางจะต้องมาขอร้องเขาเป็นแน่!
นายท่านฉินคิดว่าจะกลับบ้านเมื่อคุณชายห้าและหลานชายของเขาออกมา
หารู้ไม่ว่ารอแล้วรอเล่า ทั้งสองก็ยังไม่ออกมาเสียที
เขาจึงเข้าไปในครัวเพื่อไปตามทั้งสอง แต่กลับพบว่าทั้งสองดูเหมือนคนไม่ได้กินอะไรมามาแปดร้อยปี พวกเขาปัดกวาดเช็ดถูห้องครัวสะอาดจนแทบจำไม่ได้!
“พวกข้าขอลาล่ะ” นายท่านฉินกล่าวอย่างกลั้นโทสะ
“โอ้” คุณชายห้าเข้าไปในรถม้าอย่างรู้ดี
ฉินจื่อซวี่ไม่ไป
“เต้าหู้ของพวกเขาอร่อยมากเลย!”
“หมูตุ๋นก็อร่อยเหมือนกัน!”
“ขนมปังไข่ปูก็เลิศรสสุดๆ!”
เจ้าเป็นผีหิวตายกลับชาติมาเกิดรึ? กินๆๆ! วันธรรมดาข้าเลี้ยงเจ้าไม่อิ่มรึไง!?
นายท่านฉินมีสีหน้ามืดมน ฝืนลากเจ้าเด็กที่สร้างความอับอายขายขี้หน้าขึ้นไปในรถม้า
เด็กน้อยขึ้นไปแล้ว คุณชายห้าก็ลงมาอีก
เขาก็ลากคุณชายห้าอีกคน แล้วฉินจื่อซวี่ก็แอบลงมาอีกครั้งอย่างเงียบๆ
นายท่านฉินโกรธเจ้าสองคนนี้ที่โดนชักใยจนแทบคลั่ง
…
ตอนที่นายท่านฉินจากไป ได้ทิ้งที่อยู่ไว้ โดยจุดประสงค์ของเขาก็คือหวังให้อวี๋หวั่นมาขอร้องเขาถึงประตูด้วยตนเอง แต่นายท่านฉินก็ต้องผิดหวัง เมื่อเขารอมาห้าวันแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววของนางเลย
ได้ข่าวจากหอเทียนเซียงอีกด้านหนึ่งว่า พ่อครัวเทพเป้าซึ่งเคยได้รับเลือกเป็นผู้นำของสามอาณาจักรและเกษียณอายุไปนานแล้ว ก็ยังทำให้หอเทียนเซียงต้องเชิญเขากลับไปอีกครั้ง!
ดูเหมือนว่าหอเทียนเซียงต้องจ่ายเงินอย่างมากเพื่อที่จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
นายท่านฉินมีพ่อครัวฝีมือดีที่ฝีมือไม่เลวไปกว่าลุงใหญ่อยู่ในมือมากมาย แต่ทันทีที่พ่อครัวเทพเป้าปรากฏตัว ทุกคนก็หายไปกันหมด
…………………………………………………