หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 51 เด็กน้อยทั้งสาม
เพราะไปไม่ไกลมากนัก อวี๋หวั่นกับอวี๋เฟิงจึงแจ้งสารถีว่าจะเดินไปยังร้านยาที่ชื่อว่าห้องกว่างเหริน
ตามคำกล่าวของพนักงานหอไฉ่อวิ๋น ห้องกว่างเหรินเป็นร้านค้าเก่าแก่อายุร้อยปี ค้าขายยามาหลายรุ่น จนถึงปัจจุบันก็สืบทอดมาถึงรุ่นที่หกแล้ว ร้านนั้นขนาดไม่ใหญ่นัก ที่ตั้งก็อยู่ห่างจากตัวเมือง แต่อาจเป็นเพราะชื่อเสียงไปไกล ผู้ที่มาซื้อยาปรึกษาอาการจึงมีจำนวนมาก
ผู้ที่จัดยาคือบุรุษอายุราวสามสิบปี
ด้านหน้าเขามีคนไข้ต่อแถวอยู่เจ็ดแปดคน เขาตรวจชีพจรด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ท่านหมอ แม่ข้าแค่กินยาพวกนี้ก็จะหายแล้วหรือ?” ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อป่านเอ่ยถาม เขามากับมารดาที่มาตรวจอาการด้วยโรคไขข้อเสื่อม เข่าของมารดานั้นเจ็บจนยืนไม่ไหวแล้ว
หมอหนุ่มตอบอืมเรียบๆ ไปที “คนต่อไป”
“ท่านหมอ…ท่าน…” ชายหนุ่มเสื้อป่านยังอยากจะถามอะไรอีก แต่คนไข้ด้านหลังเดินขึ้นหน้าเบียดเขาออกไปแล้ว
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว หมออะไรนี่? ชุ่ยเกินไปแล้ว!
อวี๋หวั่นไม่ได้เอ่ยอะไร กระทั่งคิ้วก็ไม่ได้ขมวดสักน้อย ราวกับเคยชินกับพฤติกรรมหมอเช่นนี้และเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างดี
ศักยภาพของหมอหนุ่มนั้นสูงมาก ไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงตาของสองพี่น้อง
“พวกเจ้าใครเป็นคนไข้หรือ?” หมอหนุ่มก้มหน้าเขียนใบสั่งยาของคนไข้รายก่อน ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
อวี๋หวั่นตอบ “มิใช่พวกเราหรอก เป็นลุงใหญ่ของข้า สองปีก่อนเขาพลัดตกลงมาขาหัก ไม่ได้รักษาในทันที จนถึงตอนนี้ก็ทรมานมาก มิทราบว่าห้องกว่างเหรินเคยรักษาอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”
ในที่สุดหมอหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา สายตาเคลื่อนไปมาระหว่างใบหน้าของทั้งสองคน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่อวี๋หวั่น “สองปีแล้วรึ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
“เช่นนั้นเกรงว่าจะรักษายากแล้ว” หมอหนุ่มก้มหน้าเขียนใบสั่งยาต่อ
เมื่อออกจากห้องกว่างเหริน สีหน้าของอวี๋เฟิงก็ย่ำแย่มาก
อวี๋หวั่นเอ่ยปลอบ “อย่าขุ่นเคืองเลย เมืองหลวงยังมีหมออีกมากนา”
อวี๋เฟิงกลับมองโลกในแง่ดีเช่นนางไม่ได้ “หมอในตำบลต่างบอกว่า…”
อวี๋หวั่นตัดบทเขาในทันที “ที่ตำบลยังไม่มีผ้าดีๆ ขายเลยนะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า หมอในตำบลรักษาไม่ได้ เราก็ไปหาในเมืองหลวง หมอในเมืองหลวงรักษาไม่ได้ เราก็ไปหาในเมืองอื่นต่อ ใต้หล้านั้นกว้างใหญ่ จักต้องมีหมอเทวดาที่รักษาลุงใหญ่ได้”
อวี๋เฟิงอยากจะเอ่ยว่า ‘เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน’ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่หนักแน่นและดื้อรั้น เขาก็พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ทั้งสองคนไปร้านขายยาอีกสองร้าน คำตอบที่ได้รับเหมือนกับร้านแรกไม่มีผิดเพี้ยน พอไปถึงร้านที่สี่ก็พบกับหมอเฒ่าที่เคยทำงานเป็นแพทย์ทหารมาก่อน หมอเฒ่าได้ฟังสองพี่น้องอธิบายก็ไม่สรุปในทันที แต่ลูบเคราสีขาวเบาๆ “อาการเจ็บเช่นนี้ข้าไม่เคยรักษามาก่อน แต่ข้าเคยเห็นคนอื่นรักษา พวกเจ้าลองพาคนไข้มาให้ข้าตรวจดูก่อนสิ”
ทั้งสองคนออกจากร้านยาด้วยอารมณ์ยินดียิ่ง
อวี๋เฟิงดีใจอย่างเห็นได้ชัด สองปีที่ผ่านมาเคยถามหมอมานับครั้งไม่ถ้วน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีหวังในการรักษา
“ท้องข้าหิวมากแล้ว พี่ใหญ่ท่านเอาของกินมาด้วยใช่ไหม” อวี๋หวั่นถาม
อวี๋เฟิงเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “แผ่นแป้งเย็นหมดแล้ว พี่ใหญ่พาเจ้าไปกินข้าวดีกว่า!”
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ทั้งสองก็ปรากฏตัวอยู่ที่หอวั่งเจียงภัตตาคารที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง…แต่ไม่ได้กินที่นี่ เป็นตรอกข้างๆ ต่างหาก
อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้ขาเป๋ ด้านหน้าคือโต๊ะที่สีลอกจนมองสีไม่ออกนานแล้ว บนโต๊ะวางชามที่ดูเหมือนล้างไม่สะอาดเอาไว้ ส่วนในชามก็คือเกี๊ยวน้ำที่ดำสนิท
ชื่อบอกว่าเป็นเกี๊ยวน้ำ แต่กลับไม่มีเกี๊ยวมีเพียงน้ำแกงเท่านั้น
อวี๋เฟิงหยิบแผ่นแป้งเย็นชืดสองแผ่นออกมาฉีกแล้วแช่ลงในน้ำแกงร้อนๆ “ไม่เย็นแล้ว รีบกินเร็ว!”
อวี๋หวั่นกลอกตาใส่
………………..
หอวั่งเจียงที่อยู่ติดกันก็มีคนสั่งเกี๊ยวน้ำเช่นกัน
เกี๊ยวน้ำของที่นี่หรูหรากว่ามาก ใช้กระดูกหมู หูฉลาม เนื้อหอยตากแห้ง หน่อไม้ฤดูหนาวรวมถึงเห็ดป่าสิบกว่าชนิดปรุงออกมาเป็นน้ำแกงเข้มข้น และยังใส่ลูกชิ้น เกี๊ยวกุ้ง เกี๊ยวไข่ที่ทำอย่างประณีตลงไป นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความสดให้กับวัตถุดิบจึงโรยสาหร่ายลงไปในน้ำแกงด้วย
‘เกี๊ยวน้ำ’ แค่ชามเดียวนี้ก็มีราคาถึงร้อยตำลึงแล้ว
‘เกี๊ยวน้ำ’ ราคาสูงถูกส่งเข้าไปยังห้องอาหารหรูของหอวั่งเจียง
ลุงวั่นและเด็กน้อยผิวขาวเกลี้ยงเกลาทั้งสามนั่งล้อมกันอยู่ตรงโต๊ะ
เด็กน้อยทั้งสามดีอกดีใจ เบิ่งตาโต กระตือรือร้นกันมาก แต่เมื่อมองไปที่ลุงวั่นด้านข้าง เขากลับมีใต้ตาดำทั้งสองข้าง สีหน้าอิดโรย ราวกับแก่ลงไปหลายสิบปีภายในคืนเดียว
เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ คงต้องเริ่มเล่าจากเมื่อคืน
เยี่ยนจิ่วเฉาพาเด็กทั้งสามกลับไปจวนคุณชายได้ไม่นาน เด็กๆ ก็ตื่นนอนกัน
เมื่อตื่นขึ้นมาก็ปัสสาวะรดตัวบิดาของพวกตนก่อน จากนั้นก็กระปรี้กระเปร่ากันสุดขีด
ลุงวั่นคิดว่าเด็กน้อยหลับไปทั้งวันโดยไม่ได้กินอะไร จะต้องหิวมากเป็นแน่ จึงรีบให้ห้องครัวทำอาหารมื้อใหญ่มา ไหนเลยจะรู้ว่าเด็กพวกนี้จะวิ่งไปทั่วจวน! จะจับตัวก็จับไม่ได้!
แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับเยี่ยนจิ่วเฉาที่จะจับพวกเขาตรึงไว้กับเก้าอี้ ทว่าเด็กน้อยที่เพิ่งวิ่งวุ่นไปทั่วกลับกลายเป็นน้ำตาคลอเบ้ากะทันหัน
ท่าทางไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนั้นชวนให้ปวดใจเสียจริงๆ
พวกเขายังไม่ทันส่งเสียงร้องไห้ น้ำตาของลุงวั่นก็ไหลออกมาก่อนเสียแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉากลับไม่สนใจ ถ้ากล้าร้องมาสักแอะก็จะโยนออกไปเอง
เด็กน้อยทั้งสามพลันไม่ ‘ร้องไห้’ แล้ว
ลุงวั่นคิดว่าครานี้คงจะกินอาหารดีๆ ได้แล้ว ใครจะคาดว่าพวกเขาเริ่มกุมท้องอีกครั้งพร้อมกับทำท่าอยากไปห้องน้ำแบบทนไม่ไหว
ลุงวั่นรีบพาเด็กๆ ไปเข้าห้องน้ำ
ทันทีที่เด็กน้อยทั้งสามนั่งบนโถส้วมก็ไม่กุมท้องแล้ว แม้แต่คิ้วก็ไม่ขมวดเช่นกัน ล้วนมองท้องฟ้าอย่างสบายใจ
การนั่งครั้งนี้กินเวลาไปครึ่งชั่วยาม
ลุงวั่นยอมแพ้
จึงให้องครักษ์ของคุณชายเยี่ยนไปอุ้มเด็กทั้งสามออกมา
ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งอุ้มขึ้นมาก็ได้ยินเสียงดัง ‘แปร๊ด’
ออกมาเสียแล้ว…
…………
“สมกับเป็นลูกของเขาจริงๆ…” ลุงวั่นตักเกี๊ยวน้ำพลางเอ่ยด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
เด็กน้อยทั้งสามก่อกวนมาทั้งคืน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย
ลุงวั่นยอมมาทั้งคืน ครานี้ก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
ลุงวั่นตักเกี๊ยวน้ำใส่ชามข้าวขาวทั้งสามใบ ตักไปตักมา หัวสมองก็หนักอึ้งจนสุดท้ายฟุบหลับกับโต๊ะไป
เด็กน้อยทั้งสามปีนขึ้นเก้าอี้ ผลักเปิดหน้าต่างแล้วเกาะขอบมองไปยังเบื้องล่าง
อวี๋หวั่นกับอวี๋เฟิงนั่งอยู่ในตรอกด้านล่าง กำลังกินเกี๊ยวน้ำที่ยากจะพรรณนาอยู่
อวี๋เฟิงมองนางไปที “ข้าจะไปซื้อชงโหยวปิ่งเสียหน่อยนะ”
พูดจบเขาก็ลุกเดินออกไป
เด็กน้อยทั้งสามปีนลงมาจากเก้าอี้ เดินไปยังหน้าโต๊ะเตี้ย หยิบชามเล็กที่วางอยู่บนนั้นแล้วทยอยลงจากหอไป
ตรงพื้นด้านล่าง อวี๋หวั่นกำลังฝืนกินเกี๊ยวน้ำที่ยากจะกลืนลงคออยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเด็กน้อยที่น่าเอ็นดูทั้งสามคน
เอ๋?
นี่มันเด็กที่เจอที่ตำบลเหลียนฮวาเมื่อวานไม่ใช่หรือ?
เลือดเนื้อเชื้อไขของบุตรสาวสกุลเหยียนกับคุณชายเมืองเยี่ยน
พวกเขายังสวมชุดที่เธอเปลี่ยนให้กับมือ เพียงแต่กางเกงนั้นไม่ใช่
แปลกจริง เหตุใดพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้?
อีกทั้งยัง…ถือชามที่เต็มไปด้วยอาหารมากันหมด
โต๊ะสูงเกินไป เด็กทั้งสามต้องเขย่งปลายเท้าจึงจะวางชามของตัวเองไว้บนโต๊ะได้
แต่เพราะไม่มั่นคง น้ำแกงจึงกระฉอกออกมาเล็กน้อย
สุดท้าย ทั้งสามคนก็ดันชามไปตรงหน้าอวี๋หวั่น
………………………………..