หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 53 เยี่ยมจวนสกุลเซียว
เหยียนหรูอวี้ตื่นนอนมาล้างหน้าแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อคืนนางให้คนส่งจดหมายขอเยี่ยมพบไปที่จวนสกุลเซียว ทางจวนสกุลเซียวตอบรับมาแล้ว แม้จะอยู่ในการคาดเดา ทว่าเหยียนหรูอวี้ก็ยังคงปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด
คนผู้นี้เคยเป็นพระชายาเยี่ยน ปัจจุบันเป็นนายหญิงสกุลเซียว เป็นบุคคลในตำนานของต้าลี่ ก่อนจะออกเรือนชื่อเสียงไม่เด่นชัดนัก ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อแต่งงาน ก็แต่งกับสามีในฝันอย่างเยี่ยนอ๋อง
ครั้นเยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เคยเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในต้าลี่ และยังเป็นชายหนุ่มรูปงามดั่งหยกมากที่สุดเช่นกัน กล่าวกันว่าเยี่ยนอ๋องยิ้มครั้งหนึ่งล่มเมือง ยิ้มครั้งสองล่มประเทศ ยิ้มครั้งสามล่มใต้หล้าทีเดียว
เมืองหลวงยิ่งใหญ่นี้ไม่มีสตรีนางใดที่ไม่ใฝ่ฝันจะได้แต่งงานกับเยี่ยนอ๋อง
ผู้ใดจะคาดเดาได้ว่ากลับถูกซั่งกวนเยี่ยนแย่งไปครอง
หากกล่าวว่าฐานะของนางดีก็นับว่าดีจริงๆ ท่านปู่เป็นรัฐบุรุษอาวุโสสามรัชสมัย ท่านตาเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน มีอำนาจและเงินทองเท่าไรก็มีเท่านั้น อีกทั้งสามีที่นางแต่งงานด้วยยังเป็นบุรุษที่สตรีทั่วหล้าล้วนถวิลหาแม้ในยามฝัน
สตรีเช่นนี้ เพียงเกิดมาก็ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาแล้ว
หลังจากเยี่ยนอ๋องสิ้นไป เดิมยังนึกว่าบุปผาดอกนี้จะถึงคราวต้องโรยราแล้ว ใครจะรู้ว่าไม่ถึงหนึ่งปี นางก็ใช้ฐานะอดีตชายาแต่งเข้าจวนแม่ทัพใหญ่อย่างมีหน้ามีตา
หากกล่าวว่าในปีนั้นทั้งรัชสมัยต้าลี่ยังมีชายใดเทียบเคียงกับเยี่ยนอ๋องได้ ก็ย่อมต้องเป็นแม่ทัพใหญ่เซียวผู้นี้
แม้เซียวเจิ้นถิงจะไม่ได้งามดั่งหยก สูงส่งกว่าทุกคนเช่นเยี่ยนอ๋อง ทว่ากลับเป็นทหารแกร่งกล้าในสนามรบตัวจริง เขาวางแผนในกระโจมชนะไกลพันหลี่ ตัดศีรษะหัวหน้าเผ่าทูเจวี๋ย[1]ตั้งแต่อายุสิบสามปี หลังจากนั้นตลอดการดำรงตำแหน่งทหารมายี่สิบปีก็ไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้เลยสักครา
เขาคือผู้ได้รับสมญานามเทพสงครามแห่งต้าลี่ สถานที่ที่มีเขาอยู่ก็คือป่าช้าของพวกต๋า[2]!
ชายชาตรีผู้กล้าหาญเช่นนี้กลับยอมจำนนกับหญิงม่าย ช่างน่าเสียดายจริงๆ
“คุณหนู ได้ยินว่าชื่อเสียงของพระชายาไม่ดีเท่าไร ปีนั้นนางกับแม่ทัพเซียว…” สาวใช้ที่เดินตามเอ่ยเสียงเบา
เหยียนหรูอวี้ตัดบทนางอย่างเย็นชา “พระชายาเป็นคนที่เจ้าวิพากษ์วิจารณ์ได้รึ? ระวังหัวของเจ้าไว้!”
สาวใช้ปิดปากทันที
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาถึงจวนสกุลเซียว
เหยียนหรูอวี้นั้นมีฐานะพิเศษ ด้วยรู้ว่านางจะมาจึงมีคนมารออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว
บ่าวอายุน้อยที่ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่งนำรถม้าของเหยียนหรูอวี้เข้าประตูไป เมื่อเดินไปถึงประตูที่สองรถม้าก็หยุด เหยียนหรูอวี้ลงมาจากรถม้า บ่าวอายุน้อยก็พานางเลี้ยวไปยังเรือนหลังที่มีสีสันแพรวพราว
ตลอดทางนั้น ทั้งศาลาและระเบียงทางเดินล้วนมีบรรยากาศหมอกสายฝนในเจียงหนานอยู่หลายส่วน
เหยียนหรูอวี้ยังคงสงวนท่าทีมีสง่า ไม่กล้ามองอะไรมาก ได้แต่เดินตามสาวใช้ไปยังเรือนหลักเงียบๆ
“ฟางมามา[3] คุณหนูเหยียนมาแล้ว” บ่าวอายุน้อยเอ่ยกับสตรีผู้กำลังยืนอยู่นอกเรือน
อายุของมามาผู้นี้ไม่ต่างกับแม่หลินเท่าไร แต่กลับดูมีอำนาจเหนือกว่าแม่หลินไปมากโข
“คุณหนูเหยียน” ฟางมามาเอ่ยทักทายอย่างอัธยาศัยดี
ตัวฟางมามานั้นมียศ ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพเหยียนหรูอวี้ กลับเป็นเหยียนหรูอวี้ที่ต้องทำความเคารพนาง “คารวะมามา”
ฟางมามาประคองนางไว้ “ช้าเร็วก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณหนูเหยียนมิจำเป็นต้องสุภาพเช่นนี้”
เหยียนหรูอวี้เผยยิ้มเขินอายออกมา
ฟางมามาจูงมือของนางเข้าไปในห้องอุ่น[4] แล้วบอกใบ้ให้นางนั่งลงบนเบาะรองที่ปูไว้
เหยียนหรูอวี้นั่งลงด้านขวา
มีสาวใช้ยกน้ำชาและขนมเข้ามา
ฟางมามานั่งลงด้านซ้าย ระหว่างทั้งสองคนคือโต๊ะเล็กที่ทำจากไม้สาลี่
ทันใดที่นั่งลง สายตาของเหยียนหรูอวี้พลันชะงักไปเล็กน้อย กล่าวตามเหตุผล นางมาพบพระชายา หากจะนั่งก็ควรให้พระชายานั่งก่อน อีกทั้งฟางมามายังนั่งอยู่ในตำแหน่งหลัก หมายความว่าพระชายาจะไม่มาแล้ว
ฟางมามาเอ่ยยิ้มๆ “พระชายาออกไปข้างนอกแล้ว รบกวนคุณหนูเหยียนนั่งรอสักครู่”
ทั้งๆ ที่รู้ว่านางจะมา กลับให้นางรออีก ในใจของพระชายาดูแคลนว่าที่ลูกสะใภ้เช่นนางเกินไปแล้ว
ในใจบ่นเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงออก
“ข้ามารบกวนพระชายาหรือไม่?” เหยียนหรูอวี้ถามอย่างนุ่มนวล “ข้าควรเดาได้นานแล้วว่าช่วงสิ้นปี พระชายาจักต้องมีภาระติดพัน ข้ามิควรเลือกวันนี้เลย”
ฟางมามาตอบนาง “พูดเช่นนี้ก็นับว่าเป็นคนนอกเสียแล้วสิ ได้ยินว่าท่านจะมาพระชายายินดีมากนะ”
เหยียนหรูอวี้ยิ้มบางๆ “ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากขอบคุณพระชายาที่ช่วยเรื่องงานพี่ใหญ่ข้า”
คนในห้องต่างรู้เป็นอย่างดี นั่นเป็นเพียงค่าชดเชยที่สกุลเหยียนถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้ ‘ขายหน้าประชาชี’ ในวันจัดงานเลี้ยงนั้น เหยียนหรูอวี้รีบมากล่าวขอบคุณในวันสิ้นปีที่ยุ่งเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เหตุผลนี้จริงๆ
เฉกเช่นที่คาดการณ์ไว้ หลังจากฟางมามากล่าวชมพระชายาเรื่องเหยียนเซี่ย เหยียนหรูอวี้ก็เปิดปากเอ่ยด้วยสีหน้าลังเล “มิปิดบังฟางมามา ความจริงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
ฟางมามาอมยิ้มมองนาง
เหยียนหรูอวี้หยิบหยกแขวนออกมาจากกระเป๋าผ้า ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางมิได้รับความเป็นธรรม “นี่คือสิ่งที่คุณชายเยี่ยนบังเอิญทำตกไว้…ในคืนนั้น คราแรกข้าคิดจะไปส่งคืนให้เขาต่อหน้า แต่คิดไปคิดมา…ข้ารบกวนฝากพระชายาไปจะดีกว่า”
ฟางมามารับหยกแขวนมา “นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่ฝ่าบาทพระราชทานให้พระชายากับมือในคืนแต่งงาน หลังจากท่านอ๋องสิ้นไป พระชายาก็นำมันใส่ติดตัวเฉาเกอเอ๋อร์ไว้…เอ๋?”
“มีอะไรรึมามา?” เหยียนหรูอวี้ถาม
“พู่ห้อยมิอยู่แล้ว” ฟางมามาตอบ
“พู่ห้อยหรือ?” เหยียนหรูอวี้อึ้งไปที
ฟางมามาผงกศีรษะ “ตัวพู่นั้นพระชายาถักเองกับมือ ด้านบนมีไข่มุกและลวดลายที่พระชายาทำไว้”
นิ้วมือของเหยียนหรูอวี้หดเกร็งอยู่ใต้ชายแขนเสื้อ “ครานั้นข้ารีบ จึงหยิบมาได้เพียงหยกแขวนเท่านั้น”
“อาจจะขาดก็เป็นได้” ฟางมามากล่าว “พู่นั้นก็เก่ามากแล้ว ท่านมิต้องโทษตัวเองหรอก นำหยกแขวนกลับมาได้ก็มิเลวแล้ว แต่ท่านคืนให้เฉาเกอเอ๋อร์กับมือเองเถิด”
ฟางมามาคืนหยกแขวนให้นาง
“แต่ว่า…”
ฟางมามาตบมือของนางเบาๆ “เรื่องของคุณชายน้อยพระชายาทราบหมดแล้ว ทำให้ท่านต้องได้รับความไม่เป็นธรรมเสียได้ พระชายาเองก็เป็นมารดาคนหนึ่งเช่นกัน จะไม่เข้าใจว่าเด็กน้อยเช่นนี้ห่างมารดามิได้ด้วยหรือ? ท่านโปรดวางใจ พระชายาเดินทางไปที่จวนคุณชายแล้ว นางจะไปรับคุณชายน้อยกลับมา”
นางมองพระชายาผิดไปแล้ว ที่แท้พระชายามิได้ดูแคลนนาง แต่อยากจะช่วยนางจากใจจริง
เหยียนหรูอวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง “ขอบคุณพระชายามากจริงๆ เจ้าค่ะ!”
หลังจากนั้นพระชายาก็พบว่าพี่ชายเจ้าจับเด็กน้อยเข้าคุกไปแล้ว…
………………………………..
[1] ทูเจวี๋ย เป็นหนึ่งในชนเผ่าเร่ร่อนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกตะวันออก มาจากทางตอนใต้ของเทือกเขาอัลไต ชนกลุ่มนี้เข้ารุกรานจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ ซึ่งก็คือบรรพบุรุษของชาวตุรกีในปัจจุบัน กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่า “เติร์ก” (Turk)
[2] พวกต๋า หมายถึง ชนเผ่านอกด่าน เช่น ซยงหนู ทูเจวี๋ย
[3] มามา เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้อาวุโสที่เคยแต่งงานแล้ว ทางราชสำนักจะคัดเลือกแม่ม่ายที่ไม่มีลูก อายุประมาณ 40-50 ปี เข้ามาเป็นนางกำนัลรับใช้เชื้อพระวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงอย่างฮองไทเฮา ฮองเฮา พระชายา หรือเป็นแม่นมให้กับพระโอรสพระธิดาที่เกิดแต่องค์จักรพรรดิกับฮองเฮาและพระชายา
[4] ห้องอุ่น หรือ หน่วนเก๋อ หมายถึง ห้องที่ฝังท่อกระจายความร้อนไว้ใต้ดินเพื่อสร้างความอบอุ่นเมื่อเผชิญกับอากาศหนาว โดยในอดีตจะมีในห้องบรรทมเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น