หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 66 เด็กๆ มาเยี่ยม
คติของอวี๋หวั่นก็คือ ‘ประโยชน์หลักของแผ่นแป้งก็คือบรรเทาความหิว’ นอกจากนั้น ยังทำให้อยู่ท้อง เธอกดแผ่นแป้งแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกอัดจนแน่นเสียยิ่งกว่าแผ่นแป้งเสบียงของกองทัพ
ลูกชิ้นใช้สำหรับเสริมพลัง เธอใส่เกลือสีขาวดุจเกล็ดหิมะลงไป เพียงแต่ว่าใส่ลงไปมากสักหน่อย จึงต้องตัดรสด้วยน้ำตาล ทว่าเธอใส่น้ำตาลมากเกินไปหน่อย จึงต้องเติมเกลือลงไปอีกช้อนหนึ่ง เมื่อใส่ลงไปซ้ำซ้อนเช่นนี้ จึงยากจะอธิบายรสชาติได้
ส่วนผักดอง เธอก็ทำตามสูตรของลุงใหญ่อย่างเคร่งครัด
(เพียงแต่ใส่พริกและเกลือก้อนเอาไว้ด้านล่างไหเท่านั้นเอง กว่าจะละลายก็ถึงชายแดนเสียแล้ว…)
ในวันฉูซี วังหลวงจัดงานเลี้ยง และได้เชิญเจ้าเมืองและคุณชายสูงศักดิ์จากที่ต่างๆ มาร่วม แน่นอนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็ต้องได้รับคำเชิญมาด้วยเช่นกัน
“วังกงกงฝากมาบอกว่า ฝ่าบาทคิดถึงคุณชายเหลือเกิน คุณชายอย่าหลบเลี่ยงไม่ไปงานเลี้ยงด้วยอ้างว่าสุขภาพไม่ดีอีกเลย ยังมีคุณชายตัวน้อยทั้งสามอีก ไปร่วมงานให้สำราญใจสักหน่อยเถิด มิได้มีเด็กอยู่ในวังหลวงมานานเท่าไรแล้ว” ลุงวั่นหยิบอาภรณ์ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ หมายเปลี่ยนให้เยี่ยนจิ่วเฉา
อาภรณ์ชุดนี้ได้รับมาจากวังกงกง เจตนาของฮ่องเต้ชัดเจนยิ่งนัก ตำแหน่งเยี่ยนอ๋องว่างมานานเกินไป ถึงเวลาที่จะมอบให้เยี่ยนจิ่วเฉาได้แล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองอาภรณ์ปักดิ้นสีม่วงเข้มลายมังกรนทีสี่กรงเล็บสีทองอ่อน แล้วกล่าวอย่างเดียดฉันท์ว่า “น่าเกลียดจะตาย!”
ลุงวั่นถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ถึงจะน่าเกลียดก็ใส่เสียเถิด ฝ่าบาทพระราชทานมา”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใส่
นิสัยจุกจิกเช่นนี้ ล้วนได้เหมือนกับพระมเหสี ครั้นท่านอ๋องยังมีชีวิตอยู่ แต่ไหนแต่ไรก็มิเคยมากความ
ยังดีที่ลุงวั่นชินเสียแล้ว ไม่ใส่ก็ไม่ใส่ ฝ่าบาทรักและเอ็นดูคุณชาย พระองค์ไม่เคยตกใจเพียงเพราะอาภรณ์ชิ้นเดียว ทว่าคุณชายตัวน้อยทั้งสามนี่สิ เมื่อฝ่าบาทเห็นคุณชายน้อยทั้งสาม…นี่สิจึงจะน่าตกใจกว่า…
ชีวิตของลุงวั่นผู้ซึ่งถูกเด็กน้อยทั้งสามทรมานจนดูแก่ลงหลายสิบปีนั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก!
หลังจากที่ไปซุกซนกันมา เด็กๆ ที่ปีนยึ้นไปนอนบนเตียงของเยี่ยนจิ่วเฉา ลุงวั่นนึกถึงผ้าที่ใส่ให้พวกเขาตอนอยู่ในคุก จึงกล่าวกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “คุณชาย ของเหล่านั้นจะจัดการอย่างไร”
“ของอันใด” เยี่ยนจิ่วเฉาลากเสียงยาว
“ของแม่นางอวี๋” ลุงวันกล่าว ในเมื่อให้ไปแล้ว ก็กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว
“ยังมิได้จัดการอีกหรือ” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเสียงราบเรียบ
ลุงวั่น “…”
มิใช่ว่าข้ารอคำสั่งท่านอยู่หรืออย่างไร?
เยี่ยนจิ่วเฉาทำเสียง ‘หึ’ แล้วกล่าวว่า “ให้นางไป! ข้าไม่มีทางอนุญาตให้สตรีนางใดมาอวดฉลาดให้ข้าเห็นหรอก นางจะหาโอกาสมาเกาะแกะข้า ไม่มีทาง!”
ลุงวั่น “…”
ลุงวั่นไปเรียกคนมาขนของ แม้ว่าจะเป็นการส่งคืนผ้า ทว่าช่วงปีใหม่ ถึงอย่างไรก็จำต้องส่งของขวัญปีใหม่ไปด้วย มิจำเป็นต้องมากมายอะไร แต่ก็ต้องไม่ดูอนาถาเกินไป
ขณะที่ลุงวั่นกำลังจะก้าวเท้าออกไป เยี่ยนจิ่วเฉาก็สะกิดเด็กสามคนให้ตื่น
เด็กๆ เพิ่งได้นอนหลับไป แต่กลับถูกท่านพ่อปลุก จึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก พวกเขากำหมัดน้อยๆ อย่างขุ่นเคือง ขณะที่กำลังจะไปรื้อหลังคาบ้าน[1] พวกเขาก็พลันเหลือบไปเห็นกล่องใบใหญ่ที่วางอยู่หน้าปากประตู
ลุงวั่นบอกกับบ่าวว่า “พวกเจ้าเบามือกันหน่อย อย่าให้แตก ของเหล่านี้จะส่งไปให้แม่นางอวี๋”
เด็กน้อยทั้งสามจ้องไปยังกล่องใบนั้น แล้วปีนกลุกๆ ขึ้นเตียงไป
น้องคนเล็กก็ยังดันสุนัขจิ้งจอกหิมะที่ตนผูกเอาไว้ลงไปจากเตียง
ลูกจิ้งจอกหิมะช่างน่าสงสาร หางก็ถูกเด็กทั้งสามคนดึง ขนที่บั้นท้ายก็ถูกเด็กทั้งสามดึงเช่นกัน ฟันน้ำนมที่เหลืออยู่หนึ่งซี่ก็หักไปตอนที่ถูกเด็กน้อยทั้งสามลากข้ามธรณีประตู…
เด็กทั้งสามเปิดกล่องออก แล้วยกขาสั้นป้อมขึ้นมา แต่ยกอยู่นานก็เกี่ยวขอบกล่องไม่ได้สักที พวกเขาจึงลากเก้าอี้ไม้มา ปีนขึ้นไป แล้วกระโดดตามกันลงไปในกล่อง
…
วันนี้เป็นวันฉูซี ทุกบ้านต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ บ้านสกุลอวี๋ก็มิใช่ข้อยกเว้น
อวี๋หวั่นไปบ้านเดิมตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อช่วยลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ตระเตรียมอาหารสำหรับวันฉลองส่งท้ายปี อวี๋เฟิงและอวี๋ซงรับผิดชอบซ่อมหลังคาบ้านซึ่งถูกหิมะทับจนพัง
นางเจียงรับหน้าที่ดูและน้องสาวคนเล็ก
นางเจียงนำแป้งชาดชั้นดีกล่องหนึ่งมาแต่งหน้าให้เด็กน้อยจนสะสวย
“เถี่ยตั้น มานี่” นางเจียงกวักมือเรียกเถี่ยตั้นน้อย
เมื่อเห็นริมฝีปากของน้องสาวเป็นสีแดงสด เถี่ยตั้นน้อยก็ตกใจจนผงะไป “ข้าไม่เอา!”
นางเจียงซึ่งป่วยสะเงาะสะเงะเข้าไปอุ้มเถี่ยตั้นน้อยมา!
แขนและขาน้อยๆ ของเถี่ยตั้นน้อยถึงกับกระตุก!
เมื่อไรท่านแม่จะเลิกปฏิบัติราวเขาเป็นเด็กผู้หญิงสักทีนะ?!
เถี่ยตั้นน้อยกำลังจะร้องไห้ ก็มีคนมาด้านหน้าประตู
“ขอถามหน่อย นี่ใช่บ้านแม่นางอวี๋หรือไม่”
นางเจียงวางเถี่ยตั้นน้อยและกล่องแป้งชาดในมือลง ลุกขึ้นไปด้านหน้าประตู
รถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดเทียบหน้าประตูบ้าน ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านไม่น้อย ผู้คนต่างออกมาจากบ้านกันอย่างเซ็งแซ่ จะเง้อคอมองออกไป
ผู้ที่พูดกับนางเจียงก็คือลุงวั่น
ชาวบ้านต่างรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้แม้จะอายุมาก แต่ลักษณะท่าทางผึ่งผาย อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนมีราคา ไม่รู้ว่าสกุลอวี๋ไปรู้จักตระกูลเศรษฐีได้อย่างไร
ทันทีที่ลุงวั่นเห็นนางเจียง โฉมสะคราญงามจับใจ “ท่านคือ…”
“ข้าเป็นแม่ของอาหวั่น” นางเจียงตอบ
ลุงวั่นยกมือขึ้นคำนับ แล้วกล่าวอย่างเกรงใจว่า “ที่แท้ก็เป็นฮูหยินอวี๋ เสียมารยาทแล้ว”
แม่นางอวี๋ว่างดงามแล้ว มารดาของนางเรียกได้ว่างดงามเลิศ รูปโฉมเช่นนี้ ไม่เป็นรองพระมเหสีเลย
สรุปแล้วที่นี่คือหมู่บ้านอะไร ไฉนจึงฟูมฟักคนได้เพียงนี้
“มีเรื่องอันใดหรือ” นางเจียงถาม
ลุงวั่นกระจ่างว่าตนมาด้วยเหตุใด แต่เขากำลังกังวลว่าจะทำอย่างไรให้นางรับของมากมายเพียงนี้ ก็ได้ยินนางเจียงเอ่ยเสียงค่อยว่า “ขอบคุณท่านมาก รบกวนท่านช่วยข้าขนเข้ามาไว้ในบ้านทีเถิด”
ลุงวั่น “…”
คนหมู่บ้านนี้ไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยหรือ…
ลุงวั่นสั่งให้คนนำผ้าหนึ่งกล่อง รวมไปถึงของกำนัลแทนคำขอบคุณเข้าไปในบ้านสกุลอวี๋
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอลา” ลุงวั่นกล่าว
นางเจียงพยักหน้าเล็กน้อย “วั่นกงกงค่อยๆ เดิน”
ลุงวั่นถึงกับเดินโซเซไปขึ้นรถม้าไป
เถี่ยตั้นน้อยก็ใช้โอกาสนี้ลี้ภัยไปบ้านเดิม
“เป็นเด็กดีก่อนนะ” นางเจียงดึงพวกแก้มแดงๆ ของเด็กหญิงตัวน้อย นางเปิดกล่องออก ก็เห็นหัวผักกาดกลมๆ สามหัวโผล่ออกมาจากกล่อง
………………………………………………..
[1] รื้อหลังคาบ้าน มาจากคำพังเพยว่า ‘สามวันไม่ถูกตี ก็จะขึ้นไปรื้อหลังคาบ้าน’ เปรียบเปรยถึงเด็กดื้อ