หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 70 การค้ามาเยือน
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น อวี๋หวั่นก็ไม่กล้าให้เด็กน้อยทั้งสามอยู่ใกล้เธออีก อย่างน้อยช่วงนี้ก็ต้องหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ หรือไม่ก็รอให้เชียนจีเก๋อผู้แสนวุ่นวายนั่นถูกจัดการไปเสียก่อน จึงจะรับพวกเขามาได้
อวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าให้เด็กๆ ทีละคน พวกเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ คล้ายกับรู้สึกตัว
เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วที่เพิ่งกลับมาจากการ ‘ทำธุระ’ ยืนอยู่ด้านหลังอวี๋หวั่น
เด็กทั้งสามขมวดคิ้ว โผเข้าไปในอ้อมอกของอวี๋หวั่น มือเล็กจ้ำม่ำกอดคอของอวี๋หวั่นเอาไว้แน่น ประหนึ่งมิยอมให้ใครมาแย่งไปได้
ก่อนหน้านี่ที่พวกเขาคอยตามคุณชายน้อยทั้งสาม มิเคยเห็นพวกเขาติดใครแจถึงเพียงนี้ นี่บอกเป็นนัยได้ว่าแม่นางอวี๋มีความสามารถในการเลี้ยงเด็ก หากเชิญนางกลับไปที่จวนก็คงจะดี เช่นนั้นลุงวั่นก็มิต้องถูก ‘ทรมาน’ จนแทบขาดใจ
อวี๋หวั่นลูบศีรษะของเด็กทั้งสาม ค่อยๆ ปลอบพวกเขา ทั้งยังสัญญาว่าครั้งหน้าจะไปหาพวกเขาที่เมืองหลวง เธอจะไปเมืองหลวงจริงๆ เพราะต้องพาลุงใหญ่ไปรักษาขา เช่นนี้ ก็ไม่นับว่าเธอโกหกเด็กน้อยทั้งสามแล้ว
หลังจากที่อวี๋หวั่นสาบานว่าจะรักษาสัญญา เด็กทั้งสามก็ปล่อยมือจากเธออย่างละล้าละลัง
เพียงแต่สีหน้าน้อยใจเช่นนี้ ทำให้ดูราวกับว่าพวกเขากำลังถูกอวี๋หวั่นทอดทิ้งก็มิปาน
องครักษ์ทั้งสองไม่รู้ว่ามือสังหารบุกมาเพราะอวี๋หวั่น จึงไม่เข้าใจว่าที่อวี๋หวั่นทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อปกป้องคุณชายน้อย พวกเขาคิดว่าอวี๋หวั่นกลัวว่าตนเองจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอวี๋หวั่นผลักไสไล่ส่งคุณชายทั้งสาม พวกเขาก็อดรู้สึกขุ่นเคืองในใจมิได้
เมื่ออวี๋หวั่นเห็นสีหน้าของพวกเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองเข้าใจผิดเสียแล้ว
เธอปาดหน้าผาก
ทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ!
อิ่งสือซานกับอิ่งลิ่วพาคุณชายน้อยทั้งสามไปแล้ว
ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นเห็นภาพหลอนไปเองหรือไม่ ทว่าตอนที่เธอเหลือบไปมองเด็กๆ ก่อนที่พวกเขาจะออกไป ก็เห็นว่าพวกเขาแอบขยี้ขอบตา
เด็กๆ กลับไปแล้ว ทว่าลูกจิ้งจอกหิมะยังอยู่ หางของมันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย มิใช่เพราะบุรุษชุดดำทำร้ายมัน หากแต่เป็นเพราะมันกัดตัวเอง…
ต่อสู้จนเป็นเช่นนี้ อวี๋หวั่นยอมแล้วจริงๆ
อวี๋หวั่นใช้ผ้าบางผืนสะอาดพันมันเอาไว้
“เอ๋? แกคือตัวที่ครั้งก่อนเข้าไปติดในกับดักใช่ไหม เจ้า…” อวี๋หวั่นอยากพูดว่าเจ้าจิ้งจอกโง่ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของมัน จึงเปลี่ยนเป็น “เจ้าลูกจิ้งจอกหิมะ?”
นัยน์ตาของสุนัขจิ้งจอกหิมะตัวน้อยเป็นประกายขึ้นทันที!
“เป็นแกจริงๆ ด้วย” ถึงว่า จะกัดคนแต่กลับกัดตัวเองจนบาดเจ็บ ใต้หล้าคงจะไม่มีสุนัขจิ้งจอกตัวใดโง่งมได้เพียงนี้แล้ว
“แกมากับพวกเขาหรือ?” อวี๋หวั่นผูกผ้าพันแผลเสร็จเรียบร้อย จึงเอ่ยถามขึ้น
ลูกจิ้งจอกหิมะเบือนหน้าหนี
หึ!
น้องไม่ได้มากับพวกนั้นสักหน่อย!
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันกับท่าทางเย่อหยิ่งและเร่อร่าของมัน หลังจากที่พันแผลให้มันเสร็จแล้ว เธอจึงเข้าไปอุ่นซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่
เมื่อลูกสุนัขจิ้งจอกได้ซาลาเปาซึ่งลูกใหญ่กว่าใบหน้าของมันแล้ว ก็กลับไปอย่างร่าเริง
…
วันต่อมา เถี่ยตั้นน้อยจอมขี้เซาตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ กอดกล่องขนมที่ตนอยากกินแต่ไม่ยังไม่กล้ากินไปที่ห้องของอวี๋หวั่น เดิมทีคิดว่าจะรอกินพร้อมกับเด็กๆ อีกสามคน แต่กลับพบว่าในห้องนั้นว่างเปล่า
ทางบ้านเดิมนั้น ลุงใหญ่ก็เข้าครัวด้วยตัวเอง เพื่อทำไข่ตุ๋นหอยตลับที่เด็กๆ ชื่นชอบ
“มีคนมารับไปแล้วอย่างนั้นหรือ…” ลุงใหญ่มีสีหน้าผิดหวัง
อวี๋หวั่นมิได้เล่าเรื่องการมาเยือนของมือสังหารเมื่อคืนให้พวกเขาฟัง เธอบอกเพียงแต่ว่ามีคนมารับไปตอนฟ้าสาง ลุงใหญ่มิได้สังสัยอะไร เพียงแต่คิดถึงเด็กๆ ก็เท่านั้น
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็ขึ้นเขาไปไหว้หลุมศพท่านปู่ ท่านย่า และบรรพบุรุษอีกส่วนหนึ่ง เผาเงินกระดาษ คำนับหลุมศพ และในระหว่างเดินทางกลับหมู่บ้านก็บังเอิญพบกับจ้าวเป่าเม่ย
บิดาของจ้าวเหิงและจ้าวเป่าเม่ยจากไปในระหว่างที่พวกเขากำลังหนีตาย แม่ม่ายและลูกกำพร้ามิอาจนำร่างของเขากลับมาได้ หลังจากลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านเหลียนฮวา คนในหมู่บ้านจึงช่วยหาพื้นที่สำหรับฝังเสื้อผ้าให้บิดาของพวกเขา ปีก่อนๆ นางจ้าวจะพาลูกทั้งสองไปไหว้
ทว่าปีนี้ นางจ้าว ‘ตกบ่อน้ำ’ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จึงมีเพียงบุตรสองคนที่มาได้
แต่กลับไม่ยักเห็นจ้าวเหิง
ทุกวันนี้ จ้าวเป่าเม่ยไม่กล้ามีปัญหากับสกุลอวี๋ เมื่อเห็นพวกเขา นางก็ทำได้เพียงก้มหน้างุดรีบเดินไป
ขณะที่เดินสวนกัน อวี๋ซงก็เรียกนาง “นี่ พี่ชายเจ้าเล่า? คงมิได้แอบหนีไปแล้วเพราะจะไม่คืนเงินหรอกกระมัง?”
จ้าวเป่าเม่ยหยุดฝีเท้าลงแล้วถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธ “พี่ชายข้าไม่หนีหรอก! มิใช่เพียงเงินไม่กี่ร้อยตำลึงหรอกหรือ? เจ้าคิดว่าพี่ชายข้าหามาคืนไม่ไหวรึ! ”
อวี๋ซงหัวเราะ ‘เหอะๆ’ แล้วกล่าวว่า “จ้าวเหิงหามาคืนได้หรือไม่ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่า พวกเจ้ามีเวลาสามเดือน หลังจากสามเดือน ทั้งเงิน ทั้งหนังสือสมรส มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะถูกไล่ไปจากหมู่บ้านนี้”
นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเอาไว้ เป็นเพราะตำแหน่งซิ่วไฉของจ้าวเหิง พวกเขาจึงมิได้รับโทษหนักเท่าไรนัก มิเช่นนั้น ลำพังเรื่องระยำตำบอนที่สกุลจ้าวทำเอาไว้ คงมิได้จบอย่างง่ายดายเพียงนี้
จ้าวเป่าเม่ยโกรธจนตัวสั่น!
“พอได้แล้ว ปีใหม่นะ ไยต้องต่อปากต่อคำกัน” ป้าสะใภ้ใหญ่ดึงบุตรชายเอาไว้ เพื่อมิให้เขาไปมีเรื่องกับคนสกุลจ้าว
ทั้งครอบครัวเดินลงเขาอย่างมีความสุข มิได้มีใครใส่ใจเรื่องของจ้าวเป่าเม่ย
จ้าวเป่าเม่ยเป็นเด็กที่ถูกตามใจ ภายในชั่วข้ามคืน ทุกอย่างที่เคยมีล้วนหายไป มารดาได้รับบาดเจ็บ พี่ชายก็กล่าวโทษนาง ทั้งยังต้องทนแบกรับสายตาของชาวบ้าน และฟังคำแดกดันจากสกุลอวี๋ นางรู้สึกน้อยใจเป็นที่สุด นางเดินไปนั่งลงข้างทาง กุมหัวร้องไห้อย่างเจ็บปวด…
อวี๋หวั่นรู้สึกเห็นใจนางหรือไม่
ไม่มีทาง
หากเธอมิได้ช่วยชีวิตวัวตัวนั้น หากเธอมิได้อธิบายข่าวลือนั้นให้ทุกคนฟัง คนที่นั่งร้องไห้จนแทบขาดใจอย่างน่าเวทนาคงต้องเป็นตัวเธอเอง
วันที่สี่ของปี[1] การค้าก็เริ่มต้นขึ้น
ตลาดในตัวตำบลไม่เปิดตลอดทั้งเดือนหนึ่ง อวี๋หวั่นก็มิได้คาดคิดว่าการค้าของพวกเขาจะเริ่มต้นเร็วเช่นนี้
“ร่ำๆ รวยๆ!” ผู้จัดการชุยแห่งหอหยกขาวเดินลงมาจากรถม้าพร้อมหน้าตาเปล่งปลั่ง
เมื่อรถม้าหยุดลง ณ หน้าบ้านเดิม คนในบ้านก็กำลังจะนั่งลงกินข้าว
“ร่ำๆ รวยๆ!” ลุงใหญ่เดินถือไม้เท้าไปต้อนรับด้วยตนเอง แล้วเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาไม่เคยพบผู้จัดการชุยมาก่อน อวี๋เฟิงจึงรีบรุดเข้าไปแนะนำ “ท่านพ่อ นี่คือผู้จัดการชุยแห่งหอหยกขาว ผู้จัดการชุย นี่คือท่านพ่อของข้า”
ด้านหลังผู้จัดการชุยยังมีบุรุษอายุอานามประมาณสามสิบ อาภรณ์ที่เขาสวมใส่ดูเรียบง่าย มิใช่เนื้อผ้าชั้นดีอันใด ทว่าบรรยากาศรอบตัวเขาดูกลับดูมีพลัง คนผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
ผู้จัดการชุยยิ้มพลางกล่าวว่า “นายท่านท่านนี้เป็นบุตรคนที่ห้าแห่งสกุลเซียว”
กล่าวจบ ก็ขยิบตา ส่งสายตาให้สกุลอวี๋ว่า ‘เนื้อก้อนใหญ่’ ได้มาถึงแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายห้าแห่งสกุลเซียว” อวี๋หวั่นชงชาอย่างเป็นมิตร “ผู้จัดการชุย คุณชายห้า เชิญดื่มชา”
ผู้จัดการชุยรับน้ำชามา แต่คุณชายห้ากลับมิได้ขยับ
อวี๋หวั่นสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่เข้ามาในห้อง นายท่านผู้นี้มีแววตาเย่อหยิ่ง คนที่รู้ ก็จะรู้ว่าเขามาเจรจาการค้า หากไม่รู้ ก็คงคิดว่าเขามาทวงหนี้
………………………………………………
[1] วันที่สี่ของปี หรือเรียกว่า ‘ชิวสี่’ ในภาษาแต้จิ๋ว ตรงกับวันที่สี่ของเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นวันรับเทพเจ้าลงมาจากสวรรค์