หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 71 รสมือเป็นเลิศ
ผู้จัดการชุยก็สังเกตเห็นเช่นกันว่านายท่านผู้นี้หน้าตาออกจะถมึงทึงไปสักหน่อย จึงกระแอมด้วยความประหม่า แล้วกล่าวว่า “ท่านป้าของคุณชายห้าจะจัดงานวันเกิด ท่านป้าสกุลเซียวประหยัดมัธยัสถ์ มิต้องการให้จัดงานใหญ่โตอันใด ทว่าคุณชายห้าต้องการแสดงความกตัญญู ท่านป้าชราลงเรื่อยๆ กินอะไรไม่ค่อยถูกปาก ได้ยินว่าต้มพะโล้ของพวกเจ้าไม่เลว จึงอยากมาลิ้มลอง”
ขณะที่ผู้จัดการชุยกล่าวอยู่นั้น ก็ขยิบตาให้คนสกุลอวี๋ตลอด ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ และเพิกเฉยต่อลูกค้าอันทรงเกียรติผู้นี้
หากเพียงเขารู้ว่า บ้านเก่าสกุลอวี๋หลังนี้เคยต้อนรับคุณชายน้อยจากจวนคุณชายเยี่ยนมาแล้ว ก็คงมิต้องคอยขยิบตาให้พวกเขาเช่นนี้
แต่แน่นอนว่าเขาปรารถนาดี อวี๋หวั่นมิได้มองเป็นอื่น นอกจากนั้น ภูมิหลังของคุณชายห้าผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา พี่น้องร่วมสาบานของเขาคือแม่ทัพสูงสุดในใต้หล้าเซียวเจิ้นถิง พี่สาวแท้ๆ ของเขาเป็นถึงสตรีตำแหน่งสูงในวังหลวงหวั่นเจาอี๋ ท่านป้าที่ผู้จัดการชุยกล่าวถึงนั้นเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ เขาจึงเห็นนางเป็นเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด
เรื่องเหล่านี้ จะพูดต่อหน้าคนสกุลอวี๋ก็คงไม่ค่อยเหมาะนัก
ผู้จัดการชุยเชื่อมั่นในฝีมือการทำอาหารของสกุลอวี๋เป็นอย่างมาก มิเช่นนั้น หลังจากที่ได้รับรู้ถึงความกตัญญูของคุณชายห้าสกุลเซียว เขาคงไม่กล้า ‘ล่อลวง’ คนผู้นั้นมาถึงบ้านสกุลอวี๋
ผู้จัดการชุยกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นผู้จัดการของหอหยกขาว แต่หากเอ่ยถึงฝีมือในการทำต้มพะโล้ ข้าก็ชื่นชมพ่อครัวใหญ่สกุลอวี๋เป็นอย่างยิ่ง”
“ไอหยา กล่าวเกินไปแล้ว” ลุงใหญ่ถูกเอ่ยชมจนทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่หัวเราะพลางโบกมือ
คุณชายห้ายังคงทำสีหน้าเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เป็นลาหรือม้า ลากออกมาเสีย[1]!”
เขาเพียงต้องการบอกว่าให้นำอาหารออกมาชิม ไฉนจึงฟังดูคล้ายกับจะท้าต่อยถึงเพียงนั้นเล่า?
ป้าสะใภ้ใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ในบ้านมุมปากยกขึ้น วางกระดาษคำมงคลที่เพิ่งตัดกับนางเจียงและเด็กๆ ได้เพียงครึ่งเดียวลง แล้วเดินออกไปเก็บผักในแปลง
น้ำพะโล้และเนื้อได้ถูกตระเตรียมเอาไว้แล้ว เมื่อมีอวี๋เฟิงและอวี๋หวั่นเป็นลูกมือ เพียงไม่นาน ลุงใหญ่ก็ทำหมูสามชั้นต้มพะโล้แดงหอมฉุยหนึ่งหม้อเสร็จเรียบร้อย หมูสามชั้นต้มได้ดีเหลือเกิน มันหมูถูกต้มจนใส มันแต่ไม่เลี่ยน เนื้อแดงแน่นแต่ไม่แข็ง เมื่อกัดเข้าไป จะรู้สึกประหนึ่งน้ำพะโล้รสละมุนระเบิดออกมา รสชาติเผ็ดร้อนเหมาะกับฤดูหนาวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังใส่น้ำตาลทรายหนึ่งช้อนเพื่อตัดรสเค็ม มิได้กล่าวเกินจริง แต่นี่เป็นหมูสามชั้นที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผู้จัดการชุยเคยลิ้มลอง
ทว่าดูเหมือนว่าคุณชายห้าจะมิได้รู้สึกเช่นนั้น เมื่อเขาชิมไปคำแรก ก็มิได้มีปฏิกริยาใดๆ “มีแค่นี้?”
ไม่ถูกใจเสียแล้ว!
คนสกุลอวี๋ถึงกับอ้าปากค้าง
“หากไม่ถูกใจ เช่นนั้นลองชิมเนื้อแพะน้ำแดงชามนี้เถิด” อวี๋หวั่นยกหม้อไฟใส่เนื้อแพะซึ่งกำลังร้อนได้ที่มาวาง รสสัมผัสของเนื้อแพะจะแตกต่างกับหมูสามชั้นสักหน่อย
ผู้จัดการชุยยกตะเกียบขึ้นมา เขาแทบอยากจะยกทั้งหม้อขึ้นมาสวาปามคนเดียว!
ครั้งนี้คงจะพึงพอใจแล้วกระมัง
ผู้จัดการชุยคิดในใจ
แต่ที่ทำให้ทุกคนต่างต้องผิดหวังก็คือ คุณชายห้ามิได้แม้แต่จะหยิบตะเกียบ “ท่านป้าข้าไม่กินเนื้อแพะ”
“เช่นนั้นท่านป้าของท่านชอบกินเนื้ออะไรหรือ”
ทันทีที่อวี๋หวั่นกล่าวออกไป ก็ได้ยินเสียงร้องลั่นของป้าใหญ่ซึ่งกำลังเก็บกวาดครัวอยู่ “ไอหยา!”
อวี๋หวั่นรุดเข้าไปในครัว “ท่านป้าใหญ่ เกิดอะไรขึ้นหรือ โดนลวกตรงไหนหรือไม่?”
“ไม่ใช่ข้า…” มือซ้ายของป้าใหญ่ถือที่ตักขยะ มือขวาถือผ้าขี้ริ้ว ใบหน้าดูตื่นตระหนก “เต้าหู้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ข้าใส่เอาไว้ในไหแล้วก็ลืมไปเสียสนิท เหม็นเสียแล้ว ทำอย่างไรดี!”
มิต้องรอให้ป้าใหญ่กล่าว อวี๋หวั่นได้กลิ่นเหม็นๆ จากของหมักพอดี
ทว่าบนใบหน้าของอวี๋หวั่นมิได้ปรากฏความกังวลแต่อย่างใด ตรงกันข้าม แววตาของเธอสว่างวาบ มุมปากยกขึ้นกล่าวว่า “เหม็นสิถึงดี”
“หา?” ป้าใหญ่มองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้างุนงง
อวี๋เฟิงรีบตามเข้ามา ทันทีที่เห็นเต้าหู้เน่าที่ถูกวางทิ้งเอาไว้นับแรมเดือน เขาก็เข้าไปยืนบังมารดาเอาไว้ด้วยความสะอิดสะเอียน กระนั้นในใจก็ยังรู้สึกเสียดาย เต้าหู้ถึงสิบจินเชียวนา หากมิได้กินก็ต้องโยนทิ้งไป…
“พี่ใหญ่ ช่วยข้าเติมฟืนหน่อยสิ” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้น
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “เจ้าจะทำอะไร”
“อีกประเดี๋ยวท่านก็รู้เอง” อวี๋เฟิงเปิดตู้กับข้าว หยิบน้ำมันออกมาหนึ่งชาม แล้วเทลงในหม้อ
อวี๋เฟิงสัมผัสได้ถึงลางไม่ดี
“เติมฟืนให้หน่อย พี่ใหญ่” อวี๋หวั่นเร่งเร้า
ข้าช่างเป็นพี่ชายที่ตามใจน้องเสียจริง!
อวี๋เฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เขาหยิบฟืนมาเติมด้วยความรู้สึกเห็นความตายดั่งมาตุภูมิ แล้วรอจนหม้อร้อน
อวี๋เฟิงและป้าสะใภ้ใหญ่ไหนเลยจะคิดว่าเธอจะทำเช่นนี้ แต่จะเข้าไปห้าม ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอใส่เต้าหู้ลงในหม้ออย่างรวดเร็ว เต้าหู้ถูกทอดจนเป็นสีเหลืองทอง ส่งกลิ่นที่เหม็นคละคลุ้งกว่าเดิมไปทั่วบ้าน
ป้าสะใภ้ใหญ่ทนกลิ่นเหม็นถึงเพียงนี้ไม่ไหว นางวิ่งปิดจมูกออกไป
อวี๋เฟิงก็กำลังจะถูกรมควันจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
เมื่ออวี๋หวั่นยกจานซึ่งเต็มไปด้วยเต้าหู้ที่เพิ่งทอดเสร็จเข้ามา ทุกคนในบ้านต่างหนีกันจ้าละหวั่น เหลือก็แต่เพียงคุณชายห้าสกุลเซียวที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับพระอรหันต์เข้าฌาน
“คนอื่นเล่า?” อวี๋หวั่นหรี่ตา
คุณชายห้ามองไปยังของในมือของอวี๋หวั่นด้วยความรังเกียจ
อวี๋หวั่นสังเกตเห็น จึงอุทานว่า ‘อ้อ’ ครั้งหนึ่ง เธอหันไปมองคุณชายห้า แล้วยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “คุณชายห้ารู้จักของดี”
คุณชายห้า: ขาข้าเป็นเหน็บต่างหากเล่า…
อวี๋หวั่นวางจานลงบนโต๊ะ “เต้าหู้นี่แม้จะเหม็น แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะหอมมาก”
คุณชายห้าหนังตากระตุก ของนี่กินได้ด้วยรึ?!
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “คุณชายห้า ท่านลองชิมเถิด”
คุณชายห้าไม่กิน
อวี๋หวั่นมองไปที่เขา “ท่านคงไม่ได้…ไม่กล้ากินหรอกกระมัง?”
“อะไรข้าก็กินมาแล้วทั้งนั้น!” คุณชายห้าแห่งสกุลเซียวตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“เช่นนั้นท่านก็ลองกินเถิด” อวี๋หวั่นค่อยๆ ดันจานเต้าหู้ไปตรงหน้าเขา
ด้านนอกบ้าน หนึ่งหัว สองหัว สามหัว สี่หัว เรียงกันจากล่างขึ้นบน ทุกคนต่างใช้ผ้าผ้ายอุดจมูก
“เขาจะกล้ากินหรือ?” เถี่ยตั้นน้อยปิดจมูกล่าวด้วยด้วยเสียงอู้อี้
“กินหรือ?” น้องสาวคนเล็กกำลังหัดพูด
คุณชายห้าแห่งสกุลเซียวโสตประสาทดีเยี่ยม สิ่งที่เกิดขึ้นนอกบ้าน เขาล้วนได้ยิน อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ยอมให้เด็กมาดูถูกเป็นอันขาด เขากำมือแน่น หยิบเต้าหูเหม็นมาชิ้นหนึ่ง แล้วรีบยัดเข้าปากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง!
วันนี้ข้าต้องดมกลิ่นเหม็นจนตายเป็นแน่
อู้ว อร่อยจริงด้วย
……………………………………………….
[1] เป็นลาหรือม้า ลากออกมาเสีย เป็นคำพังเพย เปรียบเปรยถึงของบางอย่าง หากอธิบายเป็นคำพูดอาจฟังดูดี แต่จะดีหรือไม่ต้องดูของจริง