หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 77 หินรอสามี
เต้าหู้เหม็นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่เพียงในหมู่สตรี บุรุษในอีกห้องหนึ่งก็กินไม่หยุดเช่นกัน คุณชายห้าแห่งสกุลเซียวเป็นทหาร ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับเขาก็ล้วนเป็นทหาร ท่าทางการกินเต้าหู้ของทหารกลุ่มหนึ่งนั้น สามารถใช้คำว่า ‘บ้าคลั่ง’ มาบรรยายได้เลยทีเดียว
จากเต้าหู้เหม็นที่เคยมีอยู่เต็มไห เพียงครู่เดียวก็ถูกเหล่าบุรุษผู้หยาบกระด้างกินจนหมด และถึงแม้จะกินหมดแล้วก็ยังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา
“ทำเพิ่มได้อีกหรือไม่?” บ่าวซึ่งทำหน้าที่ยกอาหารเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นส่ายหัว นี่มิใช่เต้าหู้สด หากแต่เป็นเต้าหู้ที่ผ่านการหมัก กระบวนการหมักมิอาจทำได้ในเวลาอันสั้น มิเช่นนั้นอาจมิได้รสชาติที่ล้ำเลิศเช่นนี้
บ่าวผู้นั้นทอดสายตาไปยังเต้าหู้ยี้ที่น่าสงสารซึ่งเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งไห “สิ่งนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”
น้ำเต้าหู้ยี้ถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว แต่ในไหยังเหลือก้อนเต้าหู้อยู่บ้าง อวี๋หวั่นจึงยกให้เขาไปด้วยความใจกว้าง
เพราะฉะนั้น เต้าหู้ยี้ที่เหลืออยู่เหล่านั้น ก็ถูกเหล่าคุณชายนายท่านผู้หยาบกร้านกินจนเกลี้ยงเช่นกัน
ทุกคนค้นพบว่า แท้จริงแล้วอาหารชนิดนี้ ต่อให้ไม่เข้ากับเต้าหู้เหม็น ก็สามารถนำไปคลุกข้าวกินได้
อาหารที่แม่นางตู้ทำ พวกเขามิได้ชอบกินนัก มิใช่เพราะรสชาติไม่ดี หากแต่เป็นเพราะมีปริมาณน้อยเกินไป คีบสองครั้งก็หมดแล้ว ยังมิทันได้ลิ้มรส จานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว พวกเขาไม่เหมาะกับอาหารที่ต้องใช้ความละเอียดลออในการชิม อาหารที่ปลุกเร้าต่อมรับรสของพวกเขาอย่างเต้าหู้เหม็นนี่สิ จึงจะเรียกว่าเหมาะสม
วันอันแสนวุ่นวายได้สิ้นสุดลง อวี๋หวั่นได้รับเงินที่เหลืออีกห้าตำลึง คุณชายห้ายังให้รางวัลเธอเป็นก้อนเงินอีกถุงหนึ่ง
อวี๋หวั่นทำกิจการมานานถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้รับ ‘ทิป’ ในยุคโบราณ เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
อวี๋หวั่นเก็บเงิน แล้วจึงไปทำความสะอาดห้องครัวกับอวี๋เฟิงและอวี๋ซง ‘เมื่อมาถึงเป็นอย่างไร ครั้นกลับไปก็ต้องเป็นอย่างนั้น’ ได้กลายเป็นคติของคนสกุลอวี๋ไปแล้ว
ห้องครัวไม่ใหญ่ เก็บล้างทำความสะอาดไม่ยากนัก เมื่อทำความสำอาดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็มีคนมาสั่งอาหารพวกเขา
ทั้งสามคนรับใบสั่งอาหารจนมือเป็นพัลวัน รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดเสียแล้ว
เมื่อเหยียนหรูอวี้ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเรื่องที่แม่หลินติดสินบนบ่าว ทำให้บ่าวผู้นั้นถูกฮูหยินผู้เฒ่าเหยียนเรียกไปพบ นางเกือบเป็นลมไปอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง จึงพบว่าขนมที่นำมาเลี้ยงแขกเหรื่อในวันนี้เป็นขนมที่ตกพื้น มิน่าขนม จึงดูบูดเบี้ยวไปบ้าง ทั้งยังรู้สึกเหมือนกินเม็ดทรายเข้าไปด้วย นางจึงคิดว่าแม่นางตู้จงใจทำเช่นนี้…
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
หลักจากที่ซักไซร้ต่อ จึงรู้ว่าขนมเหล่านี้ถูกสาวใช้จากจวนสกุลเหยียนปัดจนพลิกคว่ำ เรื่องที่เถาจือสร้างความลำบากใจให้กับพี่น้องสกุลอวี๋ได้ถูกเปิดเผยขึ้นแล้ว
ภาพลักษณ์ของของเหยียนหรูอวี้ที่มีมาตลอดนั่นคือมีความรู้ อ่อนโยนและจิตใจงาม ไม่คิดเลยว่าผู้ใต้บัญชาที่สั่งสอนมาจะจองหองได้ถึงเพียงนี้
ทั้งยังกล้าติดสินบนบ่าวในเรือน เห็นว่าคฤหาสน์สกุลเว่ยแห่งนี้เป็นอะไร!
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยโกรธจัด
เรื่องของเถาจือนี้ทำให้เหยียนหรูอวี้รู้สึกผิดมหันต์ นางมิได้ใช้งานสาวใช้ผู้นี้เท่าไรนัก จึงพร่ำบอกมารดาว่าให้ไล่นางออกไป เพื่อป้องกันมิให้นางสร้างปัญหา แต่ฮูหยินเหยียนสงสารที่สาวใช้ผู้นี้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางในคุกหลวงมาก่อน ทั้งยังบั้นท้ายใหญ่ ร่างกายแข็งแรง หากส่งนางไปอยู่ในห้องของเหยียนเซี่ย คงจะสามารถมีหลานที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ให้นางได้
ยังมิทันได้มีหลานให้นาง กลับสร้างเรื่องให้เหยียนหรูอวี้เสียก่อน
เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ เหยียนหรูอวี้จักต้องไปขอโทษพ่อครัวแม่ครัวเหล่านั้นก่อน นางคิดว่าพวกเขาคงมิได้ผูกใจเจ็บอันใด และฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยก็จงจะไม่ได้โกรธเช่นเดิมอีก
ส่วนเรื่องที่ติดสินบนบ่าวนั้น แม่หลินยืนกรานว่าตนเป็นผู้กระทำ เหยียนหรูอวี้ไม่มีส่วนรู้เห็น
หากจะขจัดความสงสัยที่ฮูหยินผู้เฒ่ามี คงต้องรอดูว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร
เพียงแต่สิ่งที่ต่อให้ตายเหยียนหรูอวี๋ก็ไม่มีทางคาดคิดก็คือ แม่ครัวที่ถูกคุณชายห้าแห่งสกุลเซียวเชิญมาก็คือแม่นางจากสกุลอวี๋ที่ครั้งก่อนจากกันไม่ดีเท่าไรนัก
“เป็นเจ้า?”
“เป็นท่าน?”
ทั้งสองคนเอ่ยถึงพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าอวี๋หวั่นเองก็มิได้คาดคิดว่าจะพบกับเหยียนหรูอวี้เช่นกัน
“เจ้าเป็นแม่ครัวที่คุณชายห้าเชิญมา?”
“ท่านคือเจ้านายของสาวใช้คนนั้น?”
ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง สายตาประสานกัน รอบตัวเกิดบรรยากาศอึดอัดขึ้นมา
อวี๋หวั่นถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม่นางเหยียนมีธุระอะไรหรือ”
เหยียนหรูอวี้อ้าปากค้าง
อวี๋หวั่นกล่าวต่อ “หากท่านจะมาขอร้องแทนสาวใช้ของท่าน และหวังจะให้ข้าเล่าเรื่องเท็จต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย เช่นนั้นข้าก็เสียใจที่ต้องบอกท่านว่า ท่านหาผิดคนแล้ว”
เรื่องที่เหยียนหรูอวี้จะพูด ได้ถูกอวี๋หวั่นพูดออกไปหมดแล้ว บนใบหน้าของเหยียนหรูอวี้ปรากฏความประหม่าขึ้นมา “หากข้ากล่าวว่าข้าไม่รู้เรื่องของเถาจือ เจ้าก็คงไม่เชื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องของการอบรวมสั่งสอนบ่าวของจวนสกุลเหยียน ข้ามาขอโทษเจ้าแทนเถาจือ”
อวี๋หวั่นกำลังเช็ดไห “ไม่จำเป็น นางได้ชดใช้ในสิ่งที่นางทำไปแล้ว”
เหยียนหรูอวี้ชะงักไป “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าทำร้ายเถาจือหรือ?”
อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แม่นางเหยียน ต้องให้ข้าเตือนท่านอีกหรือ ตอนนี้ข้าเป็นคนโปรดของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย หากท่านสงสัยข้า ก็ย่อมต้องมีหลักฐาน”
โอหัง โอหังเกินไปแล้ว!
เหยียนหรูอวี้กำผ้าเช็ดหน้าแน่น “ในเมื่อเจ้าสั่งสอนนางไปแล้ว เรื่องนี้ก็ยุติลงเท่านี้ ข้าจะไม่บอกฮูหยินผู้เฒ่า และจะไม่เปิดโปงเรื่องของเจ้ากับผู้ใด”
“ท่านมีเรื่องให้เปิดโปงหรือ?” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
เหยียนหรูอวี้รู้สึกว่าปลายนิ้วจองนางได้จิกผ้าเช็ดหน้าจนเป็นรูแล้ว สตรีผู้นี้เกิดมาเพื่อยั่วโมโหนางหรืออย่างไร ไฉนทุกครั้งที่พบหน้าเป็นต้องทำให้นางมีโทสะด้วย!
“จะทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมช่วยข้า” เหยียนหรูอวี้กล่าวพลางกล้ำกลืนอัปยศอดสู
อวี๋หวั่นยักไหล่ “ช่วยท่าน? พวกเราสนิทกันหรือ?”
เหยียนหรูอวี้โกรธจนควันออกหู!
“แม่นางอวี๋ เจ้ายังอ่อนเยาว์นัก ยังมิได้ประสบกับลมและคลื่นในใต้หล้า เจ้าไม่รู้ว่าบนโลกนี้ มีมิตรเพิ่มมาอีกหนึ่งคนย่อมดีกว่าการสร้างศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งคนเป็นไหนๆ มาคิดๆ ดูแล้ว ฐานะเช่นเจ้าไหนเลยจะมาต่อปากต่อคำกับข้าได้ ข้าลดฐานะของตนเองมาเพื่อมาผูกมิตรกับเจ้า โอกาสเช่นนี้มิได้มีบ่อย”
“โอกาสแบบนี้ท่านเก็บเอาไว้เถิด ท่านเดินดีๆ ข้าไม่ไปส่ง”
“เจ้า!”
อวี๋หวั่นหยิบไหใบสุดท้ายขึ้นมา เธอเดินไปชนเหยียหรูอวี้ซึ่งยืนขวางทางอยู่ แล้วค่อยๆ ย่างกรายออกไป
รถม้าได้รับข้อยกเว้นให้เข้ามาจอดนอกลานบ้าน อวี๋เฟิงและอวี๋ซงนั่งอยู่บนรถ
เมื่ออวี๋หวั่นขึ้นมาบนรถม้า ทั้งสองสายตาที่มองมายังเธอไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ “ทำไมมองข้าอย่างนั้น”
อวี๋ซงเบือนหน้าหนี
อวี๋เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงเบาว่า “อาหวั่น ประเดี๋ยวเจ้าจะไปไหน”
“ไปจวนคุณชายน่ะสิ! ขนมของท่านลุงใหญ่ก็นำมาเรียบร้อยแล้ว!” อวี๋หวั่นเลิกคิ้วและตบที่ห่อผ้าเบาๆ
อวี๋เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “เจ้าไม่คิดว่า…เจ้าจะสนิทสนมกับลูกของแม่นางเหยียนเกินไปหน่อยหรือ?”
เขาเน้นคำว่า ‘ลูกของแม่นางเหยียน’ อวี๋หวั่นรู้สึกราวกับถูกแทงใจดำ
อวี๋เฟิงถอนหายใจ “เด็กเหล่านั้นน่ารักก็จริง อีกทั้งเจ้ายังช่วยชีวิตพวกเขามา แต่ว่า…พวกเราไม่ค่อยลงรอยกับแม่นางเหยียน เราไม่ควรรับพวกเขามาที่บ้านอีก เพื่อหลีกเลี่ยนคำครหาว่าพวกเรามีนัยยะแอบแฝง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เธอคิดว่าอย่างไร เธอจะไปคิดว่าอย่างไรได้?
ราตรีเงียบสงัด ลมหนาวปะทะผู้คน
ด้านนอกจวนคุณชายเยี่ยน เด็กน้อยสามคนนั่งอยู่บนบันไดซึ่งเย็นยะเยือก มือเล็กๆ ซุกเอาไว้ใต้ขา หลังเหยียดตรง ทอดสายตาไปไกล
เรื่องที่คฤหาสน์สกุลเว่ยเชิญแม่ครัวจากหมู่บ้านเหลียนฮวานั้นได้แพร่ไปทั่วเมืองหลวง แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่มีหรือที่ลุงวั่นจะเดาไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
ขณะที่ลุงวั่นไปรายงานคุณชายเยี่ยน เขามิทันระวัง คุณชายน้อยทั้งสามจึงได้ยินเข้าพอดี
หลังจากนั้น จากเดิมที่เคยวิ่งเล่นซุกซนอยู่ในห้อง ก็หยุดลงทันที พวกเขาเดินเตาะแตะไปที่หน้าประตูโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
พวกเขานั่งเรียงกันสามคน นั่งอยู่เช่นนั้นทั้งวัน
พวกเขากินข้าวกินน้ำอย่างว่าง่าย เพียงแต่ไม่ยอมลุกไปไหน
แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยว่าง่ายเช่นนี้!
ลุงวั่นรู้สึกกลัวขึ้นมา ทว่าภายหลังถามอิ่งสือซันจึงรู้ว่าแม่นางอวี๋สัญญาว่า เมื่อเข้าเมืองหลางในครั้งหน้า จะและมาเยี่ยมเยียนพวกเขา
เด็กน้อยทั้งสามหนาวจนตัวสั่น รออย่างดื้นดึง รอจนเกือบกลายเป็นหินรอสามี[1] แต่ก็มิได้พบกับอวี๋หวั่น
………………………………………………..
[1] หินรอสามี ( Amah Rock) ตั้งอยู่บนภูเขาในเขตซาถิ่นของฮ่องกง ในตำนานเล่ากันว่าสตรีผู้หนึ่งอุ้มลูกขึ้นไปรอสามีซึ่งเป็นชาวประมง นางไม่รู้ว่าสามีเรือล่มและเสียชีวิตไปแล้ว จึงขึ้นไปคอยมองหาเรือประมงของเขาทุกวัน จนเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเกิดสงสาร จึงดลบันดาลให้นางและลูกกลายเป็นหิน เพื่อจิตวิญญาณของพวกเขาจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง