หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 80 แม่ทัพเซียวมาแล้ว
ในเมืองหลวงไม่มีหิมะตกมาตั้งแต่เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม แต่แถบชายแดนยังคงหนาวเหน็บ เทือกเขาสูงต่ำล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะ ปราศจากสีเขียว
นับตั้งแต่การโจมตีในคืนวันฉูซี ทหารที่รอดชีวิตจากกองทัพใหญ่ซีเป่ยติดอยู่ในหุบเขานี้มาเป็นเวลาสิบวัน ในระยะเวลาสิบวันนี้ พวกเขาย้ายที่พักไปหลายครั้ง เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของทัพใหญ่ของชาวซยงหนู
ทหารซยงหนูหลายหมื่นนายวางกำลังไว้ที่ทางเข้าทัพใหญ่ซีเป่ยเช่นนี้ ทหารที่มีชีวิตรอดอย่างพวกก็หมดโอกาสตีฝ่าวงล้อมเข้าไป และนั่นหมายความว่าพวกเขามิอาจส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้เช่นกัน
กลางป่าสนซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ทหารสองนายปลดกางเกง ทันทีที่กำลังจะปลดทุกข์ ก็มีเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาเสียบเข้าที่ต้นขาของพลทหารหนึ่งในนั้น!
“อ๊าก…อุก…”
พลทหารร้องด้วยความเจ็บปวด แต่กลับถูกเพื่อนซึ่งอยู่ด้านข้างปิดปากเอาไว้
เพื่อนทหารมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง มือข้างหนึ่งปิดปากเขาเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งดึงกางเกงของตนขึ้นมา จากนั้นก็พยายามดึงกางเกงให้ของเขาด้วย
“ชู่ว อย่าร้อง” เพื่อนทหารกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
เลือดสดไหลลงมาจากต้นขาของพลหทาร เขาเจ็บปวดจนเหงื่อโทรมกาย
เพื่อนทหารแบกเขาไปกลับไปยังถ้ำ “พี่ใหญ่อู๋ โก๋วจื่อได้รับบาดเจ็บ!”
ทหารในถ้ำคนอื่นๆ ต่างปรี่เข้ามีช่วย และพาโก๋วจื่อไปยังจุดพักฟื้นผู้ได้บาดเจ็บซึ่งอยู่ด้านในสุดของถ้ำ
ในตอนแรกก็มีเพียงอู๋ซัน อวี๋เซ่าชิง และทหารใหม่นามว่าต้าหนิว ในการหลบหนีทุกครั้ง พวกเขาค่อยๆ พบกับทหารซึ่งแตกกระสานซ่านเซ็นจากทัพใหญ่ซีเป่ย พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีเสบียง บ้างก็บาดเจ็บสาหัส อีกส่วนหนึ่งก็คลาดกับเหยียนฉงหมิง บางคนก็นอนรอความตายอยู่กลางหุบเขา อวี๋เซ่าชิงรวบรวมทหารทั้งหมดมา นับจนวันนี้ พวกเขามีกันทั้งหมดยี่สิบคน
ต้องเลี้ยงดูทหารถึงยี่สิบนายนั้นมิใช่เรื่องง่าย โชคดียังมีผักดอง ลูกชิ้น และแผ่นแป้ง พวกเขามิสามารถกินลูกชิ้นเข้าไปทีละลูกได้อีกต่อไป หากแต่ต้องกินรวมกับผักดอง ลูกชิ้นหนึ่งลูก ผักดองหนึ่งชิ้น สามารถต้มออกมาได้เป็นน้ำแกงหม้อใหญ่ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร ทว่าช่างเป็นรสชาติพวกเขาลืมไม่ลง
พวกเขามีทหารบาดเจ็บทั้งสิ้นเจ็ดคน นับรวมกับโก๋วจื่อเป็นแปดคน ห้าในแปดเป็นคนที่ถูกหิมะกัดและถูกอวี๋เซ่าชิงพบเข้า ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นออกไปปลดทุกข์กลางดึก และพยายามเรียกเพื่อนทหารให้มาด้วยกัน แต่กลับถูกเพื่อนทหารเข้าใจผิดว่าเป็นศัตรู จึงมิได้พูดพร่ำทำเพลงใช้มีดแทงเข้าไปหนึ่งครั้ง เมื่อได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาถึงรู้ว่าตนแทงผิดคนเสียแล้ว และยังมีอีกคนหนึ่งที่เหมือนกับโก๋วจื่อ ซึ่งถูกเกาทัณฑ์ของชาวซยงหนูในตอนที่ออกไปนอกถ้ำ
จะว่าไปก็น่าแปลก เทือกเขาที่พวกเขาหนีเข้าไปหลบนั้น แต่ไหนแต่ไรมาถูกขนานนามว่าเป็นเทือกเขามรณะ เมื่อเข้าไปแล้วก็แทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตออกมา ไม่ว่าชาวซยงหนูจะยิงหรือไม่ยิงพวกเขา พวกเขาก็คงต้องตายสถานเดียว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดชาวซยงหนูจักต้องลำบากมาพลิกภูเขาตามล่าพวกเขาเช่นนี้ด้วย
การไล่ล่าและสังหารศัตรูของชาวซยงหนูโหดร้ายยิ่ง พวกเขายิงเกาทัณฑ์มาชุดหนึ่งโดยมิได้สนใจอันใด สังหารได้เท่าไรก็เท่านั้น มิได้ยิงต่อ แล้วจึงเปลี่ยนไปยิงจุดอื่น
วิธีนี้แม้จะดูไร้ระเบียบแบบแผน แต่กลับสร้างความเสียหายให้ทัพใหญ่ซีเป่ยได้เป็นอย่างมาก ทหารนับร้อย มีครึ่งหนึ่งที่บาดเจ็บจากเกาทัณฑ์ของชาวซยงหนู
“ทนหน่อย ข้าจะดึงศรออก” อู๋ซันกล่าวกับโก๋วจื่อ
โก๋วจื่อรู้สึกเจ็บจนตัวสั่นระริก
เกาทัณฑ์ดอกนี้ปักลงบนขาซ้ายของโก๋วจื่อ ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย หากเกาทัณฑ์มิได้ทะลุออกมา และหัวศรที่ดึงออกมานั้นมีหนาม ก็อาจเป็นอันตรายเสียยิ่งกว่าถูกยิงทะลุอีก ถ้าหากหัวศรปักเข้าไปลึกจนทะลุออกอีกด้าน ก็สามารถตัดหัวศร แล้วดึงส่วนที่เหลือออกมาได้เลย
เพียงแต่ว่า ในสถานการณ์ที่ไม่มีหมาเฟ่ยซั่น[1]เช่นนี้ ก็ยังนับว่าเสี่ยงและเจ็บปวดอยู่ดี
อาอี้นำท่อนไม้ใส่ปากโก๋วจื่อ
โก๋วจื่อกัดท่อนไม้เอาไว้แน่น
อู๋ซันจับศรธนู แล้วดึงออกมาในคราเดียว
โก๋วจือเจ็บจบสลบไป
อู๋ซันใช้ผ้าผูกปากแผลของเขาไว้ “ไม่มียา จะรอดไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง”
ก่อนหน้านี้ พลทหารนายหนึ่งมีไข้สูงเนื่องจากแผลติดเชื้อ และจากไปในวันที่สี่ของปี
การบาดเจ็บเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ในกองทัพ ทว่าพวกเขาไม่มีหมอ ไม่มียา อาการป่วยหรือบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็สามารถคร่าชีวิตคนคนหนึ่งได้
“อ๊าก ขาข้า! ขาข้า เหตุใดจึงไม่รู้สึกอะไรเลยเล่า”
ทหารบาดเจ็บคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า
เขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกมาด้วยรองเท้าเพียงข้างเดียว ครั้นอวี๋เซ่าชิงไปพบเข้า ขาซ้ายของเขาก็ถูกความหนาวเย็นกัดเสียแล้ว
หลังจากที่อู๋ซันดูขาของเขา ก็เรียกคนไปตักน้ำแกงให้เขาชามหนึ่ง หลังจากนั้นจึงไปตามอวี๋เซ่าชิงจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ
อวี๋เซ่าชิงกำลังใช้กิ่งไม้วาดเส้นทางที่พวกเขาเคยเดินผ่าน
“โก๋วจื่อกับเสี่ยวอวี๋เป็นอย่างไรบ้าง” อวี๋เซ่าชิงเอ่ยถาม
เสี่ยวอวี๋ก็คือพลทหารซึ่งถูกหิมะกัดเท้าคนนั้น
อู๋ซันถอดหมวกออก แล้วลูบใบหน้าของตนอย่างจนใจ “ดึงศรจากขาของโก๋วจื่อ ส่วนขาเสี่ยวอวี๋…เอาไว้ไม้ได้แล้ว”
มือของอวี๋เซ่าชิงที่ถือกิ่งไม้พลันหยุดลง
“วันเดียวก็ไม่ไหวหรือ?” เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
อู๋ซันถอนหายใจอย่างขมขื่น แล้วกล่าวว่า “อีกคืนเดียว ขาของเขาก็จะเน่า หากแย่ไปกว่านั้น…แม้แต่ชีวิตของเขาก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้ แต่พวกเราก็ไม่มียา เขาอาจจะต้องถูกตัดขา แล้วเขาอาจตายได้”
“หัวหน้ากองร้อย! มีคนมาขอรับ!” ต้าหนิววิ่งหน้าตั้งเข้ามา วันนี้เขาทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนม ความรับผิดชอบหลักของเขาก็คือการสืบข่าว
อู๋ซันตะลึง “ไวถึงเพียงนี้?”
หลังจากที่ชาวซยงหนูยิงเกาทัณฑ์ในแต่ละครั้ง ก็จะขึ้นมา ‘เก็บศพ’ ทว่าเป้าหมายการโจมตีในครั้งนี้มิได้อยู่ที่ถ้ำของพวกเขา โก๋วจื่อเพียงถูกลูกหลงจากศรที่ยิงพลาดเท่านั้น ทหารซยงหนูมิได้ล่วงรู้ถึงที่อยู่ของพวกเขา ตามหลักการแล้ว เรียกว่าหาไม่เจอจะถูกต้องกว่า
“เจ้าไปส่งรหัสลับ” อวี๋เซ่าชิงกล่าว
“ทราบ!” ต้าหนิวรับจำสั่ง
ผ่านไปไม่นาน ต้าหนิวก็กลับมาด้วยความตื่นเต้น “หัวหน้ากองร้อย! แม่ทัพเซียวมาแล้ว!”
…………………………………………………….
[1] หมาเฟ่ยซั่น เป็นยาชาและยาระงับความเจ็บปวดที่นิยมใช้ในสมัยโบราณ เชื่อว่าค้นพบในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก