หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 82 เพื่อนบ้านใหม่
หมู่บ้านเหลียนฮวามีลักษณะทางภูมิประเทศที่โดดเด่น
หมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ภูเขา มีเทือกเขาโอบล้อม นับว่าเป็นหมู่บ้านที่มีทัศนียภาพงดงามแห่งหนึ่ง แต่ในความงามนั้นก็มีจุดด้วยอย่างหนึ่ง แหล่งน้ำเป็นปัญหาใหญ่ของหมู่บ้านเหลียนฮวามาช้านาน ปัจจุบันนี้หมู่บ้านเหลียนฮวามีบ่อน้ำเพียงบ่อเดียว โดยปกติแล้วชาวบ้านต่างใช้น้ำในบ่อนี้ดื่มกิน ทว่าบ่อเก่านี้ใช้มานานมากแล้ว ระดับน้ำลดลงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่น้ำจะแห้งหมด
บริเวณต้นน้ำยังมีอ่างเก็บน้ำอีกแห่งนึ่ง แต่มิใช่อ่างเก็บน้ำของหมู่บ้านเหลียนฮวา หากแต่ต้องใช้ร่วมกับหมูู่บ้านอื่นๆ โดยรอบ ทว่าไม่กี่ปีมานี้ น้ำในอ่างเก็บน้ำไม่เพียงพอ ทางการก็มิได้ใส่ใจเท่าไรนัก ให้เงินเพื่อซ่อมอ่างเก็บน้ำใหม่ก็เท่านั้น
เพียงแต่ว่า ชายแดนยังไม่สงบ ท้องพระคลังว่างเปล่า เงินที่นำออกมาได้นั้นน้อยกว่าเงินที่จำเป็นต้องใช้ถึงครึ่งหนึ่ง นั่นทำให้แม่น้ำสายที่ขุดนั้นเล็กกว่าที่วางแผนไว้ เมื่อแผนการเปลี่ยน จะมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ต้องขุดต้องตัดผ่านที่นาของสักหมู่บ้านหนึ่ง
ตำบลเหลียนฮวามีทั้งหมดสิบเจ็ดหมู่บ้าน เดิมทีหมู่บ้านซิ่งฮวาเป็นหมู่บ้านที่ตรงตามเงื่อนไขมากที่สุด แต่หมู่บ้านซิ่งฮวาหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยินยอม สุดท้ายแล้วเคราะห์ในครั้งนี้ก็ต้องตกมาอยู่ที่หมู่บ้านเหลียนฮวา
เห็นว่าตัวอักษรต่างกันแค่ตัวเดียว แต่สภาพของหมู่บ้านนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน หมู่บ้านเหลียนฮวาได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านยากจนข้นแค้น มีอยู่ยี่สิบถึงสามสิบครัวเรือน ทว่าหมู่บ้านซิ่งฮวานั้นต่างออกไป พวกเขามีทั้งเกือบหนึ่งร้อยครัวเรือน ทุกครอบครัวปลูกพืชบนที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในไม่กี่หมู่บ้านของ ‘คนรวย’ ที่มีข้าวขาวกิน
หากจะให้ส่งมอบที่ดินของตนแก่ทางการ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยินดี
แม้ว่าหมู่บ้านเหลียนฮวาเองก็ไม่ยินยอม ทว่าคนน้อยย่อมเสียงเบา ไหนเลยจะไปสู้กับหมู่บ้านซิ่งฮวาได้
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินข่าวในวันที่ห้าของเดือนหนึ่ง เขากังวลจนกินข้าวไม่ลง เขาไปปรึกษาอาจารย์ของนายอำเภอมาแล้ว หมู่บ้านของพวกเขามีขนาดเล็ก ถ้าหากต้องขุดแม่น้ำจริง ก็จะมีที่นาจำนวนไม่น้อยที่ได้รับความเสียหาย มีบ้านเรือนหลายหลังที่ต้องรื้อ หนึ่งในนั้นก็คือบ้านของอวี๋หวั่น
แน่นอนว่าพวกเขามิได้กล่าวเกินจริง ซวนจื่อไปส่งหัวหน้าหมู่บ้านที่จวนนายอำเภอเป็นประจำ เรื่องนี้มิอาจปิดบังเขา และไม่สามารถปิดบังป้าไป๋ผู้ซึ่งแวะเวียนไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านทุกวัน
วันที่สิบเอ็ดเดือนหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านไปยังจวนนานอำเภออีกครั้ง ป้าไป๋ก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน
มิได้ผิดคาด พวกเขาไปมีเรื่องกับคนจากหมู่บ้านซิ่งฮวา
คนจากหมู่บ้านเหลียนฮวากล่าวว่า “หมู่บ้านของพวกเจ้ามีกี่คน หมู่บ้านพวกข้ามีกี่คน พวกเจ้าแค่ไม่กี่สิบคนจะไม่สนใจความเป็นความตายของคนหมู่บ้านเรานับร้อยคนเลยรึ?”
นี่นับเป็นเรื่องที่โหดร้าย ไม่กี่ร้อยคนเรียกว่าเป็นคน แล้วไม่กี่สิบคนไม่นับว่าเป็นคนหรือ? ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับมาก่อนได้ก่อน หากเริ่มแรกหมู่บ้านที่ถูกเลือกคือหมู่บ้านเหลียนฮวา ผู้ใหญ่บ้านคงมิได้ปริปากบ่นมากนัก แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่ยิมยอม คราวเคราะห์จึงถูกปัดมาอยู่ที่หมู่บ้านของพวกเขา หลี่เจิ้งมิอาจยอมรับเรื่องนี้ได้!
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “หากเป็นหมู่บ้านของพวกเจ้า แย่ที่สุดก็แค่ไม่กี่มู่ แต่หากเป็นหมู่บ้านพวกข้า นั่นหมายความว่าครึ่งหมู่บ้านจะต้องถูกทำลายไปเชียวนะ!”
“ทำลายก็ทำลายไปสิ” คนหมู่บ้านซิ่งฮวาพึมพำ
คนผู้นั้นกล่าวเสียงเบามาก แต่กลับบังเอิญไปเข้าหูป้าไป๋เข้า
ป้าไป๋ยกมือเท้าเอว เอ่ยคำบริภาษออกมาเป็นชุด “คนเฮงซวยแบบเจ้า! พูดอะไร! ไหนพูดให้ข้าฟังอีกทีซิ!”
คนหมู่บ้านซิ่งฮวาเหยียดหลังตรงแล้วเท้าเอว “ข้าพูดแล้วอย่างไร! หมู่บ้านจนๆ ของพวกเจ้า หายไปแล้วก็หายไปสิ!”
“ไอ้คนเฮงซวย!” ป้าไป๋ถอดรองเท้าขนาด 39 แล้วใช้ส้นรองเท้าซึ่งมีขี้วัวติดชี้ไปยังใบหน้าของเขา
เดิมทีซวนจื่อจะมาห้ามศึก แต่ห้ามไปห้ามมาก็เข้าไปผสมโรงด้วย แต่ไหนเลยพวกเขาจะไปสู้กับจำนวนคนที่มากกว่าของหมู่บ้านซิ่งฮวาได้?
สุดท้ายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่บ้าน ป้าไป๋ ซวนจื่อ และวัวเฒ่าหน้าตามึนงง ทั้งหมดล้วนจมูกและตาเขียวช้ำ กลับหมู่บ้านไปอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“โอ้โฮ! เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเจ้าถึงเป็นเช่นนี้”
เมื่อทั้งสามคนมาถึงหมู่บ้าน ก็พบกับป้าจางที่กำลังถือถังไม้ไปตักน้ำที่ทางเข้าหมู่บ้าน
ป้าจางเพ่งพินิจพวกเขาและถึงกับอ้าปากค้าง “ป…ไปตีกับผู้ใดมา”
ซวนจื่อและผู้ใหญ่บ้านรู้สึกอับอาย จึงปรี่กลับบ้านไป
ป้าไป๋กลับคว้าถังไม้และกระบวยของป้าจางมา แล้วตักน้ำขึ้นมา แล้วกระดกอึกๆ เข้าปาก “เด็กเวร! ข้าละโมโหนัก!”
“น้องไป๋ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ป้าจางเอ่ยถามด้วยความวิตกกังวล
ป้าไป๋เล่าเรื่องการซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำให้ป้าจางฟัง “…มีที่นาของท่าน ที่ของซวนจื่อ บ้านของอาหวั่น แล้วก็หลุมศพบรรพบุรุษของสกุลหวัง ก็ต้องให้พวกระยำนั่นไปหมด!”
หลังจากที่ป้าจางได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด โทสะก็พลุ่งพล่าน แต่ขณะที่กำลังจะก่นด่าพวกเขาเพื่อบรรเทาความโกรธ ก็กวาดตาไปมองเห็นบางอย่าง “เอ๋? อะไรนั่น?”
บนถนนด้านนอกหมู่บ้าน มีเกวียนเล่มหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา มิใช่เกวียนของซวนจื่อ ตัวเกวียนดูเก่าเต็มที ทว่ามีผ้าใบกางเอาไว้ ล้อรถไม่เท่ากัน เคลื่อนไปบนถนนขรุขระส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ ราวกับว่าจะพังลงเมื่อไรก็ได้
วัวตัวนั้นก็ดูน่าเวทนายิ่งนัก ผอมจนหนังหุ้มกระดูกดูประหนึ่งท่อนฟืน บนเขาวัวมีผ้าพันอยู่
เกวียนเล่มนั้นมาหยุดยังหน้าประตูบ้านของผู้ใหญ่บ้าน สารถีสวมงอบและเสื้อผ้ามอซอเดินเข้าไปในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผ่านไปไม่นาน ก็เดินออกมาพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านซึ่งตาบวมเขียว และพาพวกเขาเข้าในด้านในหมู่บ้าน
“ใครนั่น?” ป้าจางพึมพำ
“คนที่ย้ายมาใหม่” นางเฉินซึ่งมารู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยขึ้น เหมือนว่านางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าป้าจางมิได้เอ่ยถามต่อ
“ได้ยินว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง มีวิชาความรู้” นางเฉินขบเมล็ดแตงโมในมือ
“เช่นนั้นไฉนมาที่หมู่บ้านเรา? มาหาจ้าวเหิงรึ?” ในหมู่บ้านมีจ้าวเหิงเพียงคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือ เมื่อได้ยินว่าเป็นผู้มีความรู้ ป้าไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะโยงทั้งสองคนนี้ไว้ด้วยกัน
นางเฉินไม่ชอบจ้าวเหิง เมื่อได้ยินชื่อของเขาก็รู้สึกรำคาญขึ้นมา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ใช่ เขาซื้อบ้านในหมู่บ้านของเรา จะมาอยู่ที่นี่”
ป้าไป๋มีสีหน้าประหนึ่งเห็นผี “จะมาอยู่ในที่ที่นกไม่วางไข่ไก่ไม่อึ[1]อย่างนี้หรือ?”
นางเฉินถลึงตาใส่ป้าไป๋
ป้าจางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “”ซื้อบ้านหลังไหนเล่า? หมู่บ้านเรามีบ้านที่ไม่มีคนอยู่ด้วยหรือ?
นางเฉินกล่าวว่า “จะไม่มีได้อย่างไร? บ้านข้างๆ บ้านของอาหวั่นไม่ได้ย้ายไปแล้วหรือ?”
ครอบครัวสกุลติงครอบครัวหนึ่งย้ายออกไปจากหมู่บ้านหลายปีแล้ว ทั้งครอบครัวมีบุตรสาวสองคน บุตรชายเคราะห์ร้าย ป่วยหนักและลาโลกนี้ไป บุตรสาวทั้งสองกลับมีวาสนาเรื่องคู่ครอง บุตรสาวคนโตแต่งเข้าบ้าน สามีของนางทั้งขยันขันแข็งทั้งเป็นคนดี บุตรสาวคนรองแต่งงานกับบุตรตระกูลเศรษฐีออกไปต่างแดน
สกุลติงมีบ้านสองหลัง บ้านหลังใหญ่เป็นบ้านที่ลูกเขยคนรองควักเงินให้สร้างขึ้น หลังจากที่ลูกเขยคนรองได้รับมรดกบางส่วนจากตระกูล เขากังวงว่าจะไร้คนที่ไว้ใจได้ จึงเรียกคนสกุลติงไปช่วยดูแลกิจการของเขา
หลังจากที่อาหวั่นแยกบ้านออกมา ก็มาซื้อบ้านเก่าสกุลติง ส่วนบ้านหลังใหม่นั้นทิ้งร้างเอาไว้ ในที่สุดก็จะมีคนเข้ามาอาศัยแล้ว
เล่ากันว่า บ้านหลังนั้นมีผีสิง
เกวียนค่อยๆ เคลื่อนมายังหน้าบ้านผีสิงหลังนั้น
“อาหวั่นจะมีเพื่อนบ้านแล้ว” นางเฉินกล่าวพลางขบเมล็ดแตงโม
……………………………………………..
[1] นกไม่ไข่ ไก่ไม่อึ หมายถึง คนเบาบาง มีคนน้อย