หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 90 วิชาแพทย์ของหวั่นหวั่น
อวี๋หวั่นมิใช่คนที่จะสูญเสียการควบคุมอารมณ์ได้โดยง่าย ไม่ว่าจะพบกับเรื่องอะไร เธอก็ยังสุขุมเยือกเย็นในระดับที่หาได้ยากยิ่งในคนอายุเท่าเธอ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของเธอกลับหยุดทำงานเสียอย่างนั้น หลังจากถูกยุแหย่มาหลายครั้ง เธอก็รู้สึกอยากต่อยคนขึ้นมา!
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้ใส่ใจกับสีหน้าบึ้งตึงของอวี๋หวั่น เขาเชิดคางขึ้น ส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปทางอาหารบนโต๊ะ
เขาได้รับบาดเจ็บเพราะเธอจริง เธอก็ควรจะตอบแทนเขา แต่การทวงบุญคุณเช่นนี้มิได้ดูหน้าไม่อายไปหน่อยหรือ?
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าที่เธอไม่ได้ยื่นฝ่ามือออกไปตบ ล้วนเป็นเพราะว่าใบหน้าของเขาช่างดูงดงามเหลือเกิน
“หืม?” เยี่ยนจิ่วเฉาลากเสียงยาว
อวี๋หวั่นกำหมัด เธอหยิบชามและตะเกียบบนโต๊ะ แล้วนั่งด้านข้างเตียง
วัตถุดิบของอาหารมื้อนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ชาวบ้านในหมู่บ้านมอบให้ เนื้อแห้งและเนื้อพะโล้เป็นของบ้านเธอ ผักกาดขาวเป็นของบ้านสกุลเฉิน อัวอัวโถวเป็นของบ้านซวนจื่อ และไม่รู้ว่าคนสูงศักดิ์เช่นเขา จะกลืนอาหารของชาวบ้านธรรมดาลงหรือไม่
อวี๋หวั่นคีบอัวอัวโถวข้าวโพด แล้วป้อนไปยังปากของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ “ใหญ่เพียงนี้ จะกินได้อย่างไร”
อวี๋หวั่นตอบกลับว่า “กัดไม่เป็นหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียง ‘หึ’ ทางจมูก “อาหารนี่น่าเกลียดนัก”
ทน…ทนเอาไว้…
อวี๋หวั่นมิได้ต่อล้อต่อเถียง เธอใช้ตะเกียบฉีกอัวอัวโถวเป็นกลีบๆ แล้วคีบชิ้นที่เล็กที่สุดและเข้ากับรสนิยมของคุณชายผู้นี้มากที่สุด “อันนี้ได้แล้วหรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉากินเข้าไป “แย่มาก!”
อวี๋หวั่น “…!”
อวี๋หวั่นแทบอยากจะเอามีดจวกเขาให้รู้แล้วรู้รอด
แม้จะบอกว่าไม่อร่อยในทุกๆ คำที่กินเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วก็กินจนแทบจะเลียจาน เมื่อเหลือเพียงอัวอัวโถวครึ่งชิ้นสุดท้าย อวี๋หวั่นไม่ทันระวัง มือสั่นจนทำอัวอัวโถวชิ้นนั้นตกพื้น คุณชายผู้นี้จึงได้หยุดกิน
อวี๋หวั่นมองไปยังจานเปล่า แล้วเธอก็นิ่งไป
เป็นภูติผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไรกัน?
อาหารที่เธอทำนั้นมีปริมาณเท่ากับสี่คนกิน
อวี๋หวั่นวางตะเกียบลง เลื่อนโต๊ะไปยังด้านข้าง แล้วกล่าวกับเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังอิ่มแปล้ว่า “คุณชายเยี่ยน ขอถามหน่อย ตอนนี้ข้าไปได้หรือยัง?”
หากไม่กลับตอนนี้ ฟ้าก็คงจะสว่างแล้ว คิดไปคิดมา นี่เธอก็มาอยู่ที่บ้านผู้ชายแปลกหน้าข้ามคืนแล้วสินะ
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าอยากดื่มน้ำ”
อวี๋หวั่นขบกรามแน่น เธอปราดสายตาขุ่นเคืองไปยังเขา แล้วหันหลังไปเทน้ำ
เป็นคุณชายที่ดูแลยากเหลือเกิน
“ร้อนไป!”
“เย็นไป!”
“ไร้รสชาติ”
“…?!?!?!”
น้ำจะไปมีรสชาติได้อย่างไร?!
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังจะต้านทานพลังที่ปะทุอยู่ภายในไม่ไหว ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังจะกลายร่างเป็นอวี๋-หนิ่วฮู่ลู่[1]-หวั่น ผู้ใหญ่บ้านก็กระวีกระวาดมายังหน้าประตู
“คุณชายวั่น ท่านยังไม่นอนอีกหรือ?”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ลุงวั่นก็เปิดประตูเข้ามา
อวี๋หวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยสายตาเย็นเยียบ ไหนบอกว่าลุงวั่นนอนไปแล้วไง?
ผู้ใหญ่บ้านพรวดเข้ามาในห้องของเยี่ยนจิ่วเฉา
ตั้งแต่ได้ยินเสียงหน้าห้อง อวี๋หวั่นก็รีบถอยออกมาอยู่ด้านหน้าเตียง รักษาระยะห่างจากเยี่ยนจิ่วเฉาเอาไว้ แต่อย่างไรเสียเธอก็อยู่ในห้องของเขา ทันทีที่เห็นอวี๋หวั่น ผู้ใหญ่บ้านก็เอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “อาหวั่น? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้ามีธุระอะไรกับคุณชายวั่นหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านมิได้คิดมาก หนึ่งเป็นเพราะน้ำใจที่อวี๋หวั่นมีต่อผู้อื่นนั้น เขาเชื่อมั่นโดยปราศจากข้อกังขา สอง คืนนี้เต่าเอ๋าพลิกตัว คนทั้งหมู่บ้านตกใจและเสียขวัญ นอกจากเด็กๆ แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดหลับลง ขณะนี้กำลังรวมตัวกันอยู่ด้านนอก
อวี๋หวั่นขบคิดว่าจะหาเหตุผลอะไรเพื่อเอาตัวรอด ทว่ากลับได้ยินเยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “นางมาดูแลข้า”
ผู้ใหญ่บ้านถึงกับตะลึงงันเข้าไปอีก!
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “ขาข้างนี้ของข้าได้รับบาดเจ็บก็เพราะนาง นางรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดไม่ได้ นางจึงออกตัวว่าจะมาทำอาหารให้ข้ากิน ต้มพะโล้ให้หนึ่งชาม ผักเนื้อแห้งกับผักกาดขาว อุ่นอัวอัวโถวสามสี่ชิ้น แล้วก็ต้มน้ำร้อนให้อีกหนึ่งกา”
มุมปากของอวี๋หวั่นกระตุก
ต้องเล่าละเอียดขนาดนี้เลยหรือ? อีกอย่าง แน่ใจหรือว่าเธอออกตัวว่าจะทำ…
“อ่า…” ผู้ใหญ่บ้านใส่ใจเพียงประโยคด้านหน้า “คุณชายวั่นช่วยอาหวั่นเอาไว้…คุณชายวั่นกล้าหาญยิ่งนัก”
“กล้าหาญสุดๆ” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวโดยไม่ถ่อมตัวแม้แต่น้อย
“…” จะให้เขาตอบว่าอย่างไรดี
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยความกระดากว่า “ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ คุณชายเสี่ยงชีวิตช่วยคน ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียง ‘หึ’ แล้วกล่าวว่า “ใช่ไหมเล่า? แถมนางยังตัวหนัก…”
ผู้ใหญ่บ้าน “…”
ข้าก็แค่กล่าวเยินยอตามน้ำไป ท่านมิจำเป็นต้องจริงจัง…
อีกอย่าง ‘นางตัวหนัก’ หมายความว่าอย่างไรกัน?
ผู้ใหญ่บ้านรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่คาดไม่ถึง!
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวต่ออย่างยวนยี “แล้วก็ไม่กดแรงๆ ด้วย…”
ขมับทั้งสองข้างของอวี๋หวั่นเต้นตุบๆ เธอหยิบอัวอัวโถวครึ่งลูกที่เพิ่งเก็บขึ้นมาจากพื้น แล้วยัดใส่ปากของเยี่ยนจิ่วเฉา!
หากยังให้เขาพูดต่อไป พรุ่งนี้อวี๋หวั่นคงไม่มีหน้าออกจากบ้านไปเจอใครแน่!
บังเอิญเหลือเกิน ลุงวั่นยกน้ำชาเข้ามาในห้องพอดี “ผู้ใหญ่บ้านเชิญดื่มชา”
เมื่อถูกลุงวั่นขัดจังหวะ ผู้ใหญ่บ้านก็นึกได้ว่าตนมาทำอะไรที่นี่ เขาวางถ้วยชาลง มองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “เมื่อครู่ข้าไปเชิญชุยเฒ่ามา เขาไม่อยู่ ข้าคิดว่าเขาน่าจะออกไปดื่มสุราเสียแล้ว คงจะไม่กลับมาในสามวันห้าวันนี้ ข้าให้ซวนจื่อไปเชิญหมอมาจากในตำบล แต่ไม่รู้ว่า…หมอก็ไม่อยู่เช่นกัน ซวนจื่อก็รู้ว่าหากหมอในตำบลไม่อยู่ ก็ต้องเข้าไปในเมืองหลวง ข้าจะต้องเชิญหมอมารักษาคุณชายวั่นให้ได้! เพียงแต่ข้ารู้สึกผิดต่อคุณชายวั่น ต้องให้ท่านรอไปอีกหลายชั่วยาม”
เยี่ยนจิ่วเฉาคายอัวอัวโถวที่อยู่ในปากออกมา
อวี๋หวั่นคล้ายกับนึกบางอย่างออก สายตาของเธอพลันเป็นประกายขึ้น เธอก้าวขึ้นมาด้านหน้า “อาการของคุณชายวั่นหนักถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าต้องรอหมอนานแค่ไหน หากต้องรอให้นานจนพ้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรักษา ไม่สู้…ให้ข้าลองดูสักหน่อยหรือ?”
ลุงวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยปากด้วยอย่างตกอกตกใจ “แม่นางอวี๋ เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ”
“อื้ม”
วิชาสัตวแพทย์
ลุงวั่นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “ชะ…เช่นนั้นเจ้าเคยรักษาอาการแบบนี้รึ?”
อวี๋หวั่นยิ้ม “เคยรักษา”
รักษาหมู
…………………………………………
[1] หนิ่วฮู่ลู่ (Niohuru) เป็นชื่อตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งของชนเผ่าแมนจู อ้างถึงสตรีนามว่าเฉินหวน จากเรื่อง ‘ตำนานเฉินหวน’ ของหลิวเลี่ยนจื่อ เฉินหวนเดิมทีเป็นสตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวาน ทว่าหลังจากถูกคัดเลือกให้เข้าวังหลวงและเปลี่ยนไปใช้สกุลหนิ่วฮู่ลู่แล้ว กลับต้องต่อกรกับความริษยาและแผนการต่างๆ อย่างไม่ยอมจำนน คำว่า ‘หนิวฮู่ลู่’ จึงถูกนำมาใช้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางความคิดและจิตใจ ในที่นี้หมายถึงสตรีที่อ่อนหวาน แปรเปลี่ยนเป็นสตรีที่ร้ายกาจ