หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 92 มือหนัก
เมื่อทั้งสามได้ยินว่าไม่ต้องคัดตัวอักษรแล้ว พวกเขามิได้โล่งใจ บนใบหน้าของพวกเขากลับเผยความตื่นตระหนกและวิตกกังวลออกมา
แต่ก่อนอวี๋หวั่นก็ถอดรหัสสีหน้าของพวกเขาไม่ออก แต่เมื่อคลุกคลีนานเข้า ทักษะของเธอจึงเพิ่มมากขึ้น ทั้งสามคนเบะปากเพียงเล็กน้อย เธอก็เดาออกแล้วว่าพวกเขากังวลเรื่องอะไร
อวี๋หวั่นอธิบายเสียงเบา “ไม่ใช่พวกเจ้าเขียนไม่ดี แล้วก็ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าดื้อ”
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเธอพูดเช่นนี้ พวกเขาจะเข้าใจหรือไม่
ทั้งสามทำตาโต ใบหน้าไร้เดียงสามองไปยังเธอ
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ ดูแล้วพวกเขาไม่น่าจะเข้าใจ เอาเถอะ เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ก็เหมือนกับที่พวกเขาไม่ยอมพูดนั่นแหละ ต้องใช้เวลา และยังต้องใช้วิธีที่เหมาะสม
อวี๋หวั่นรับกระดาษจากเด็กน้อยทั้งสามมา ครั้งนี้เธอไม่กล้าแสดงสีหน้าดีใจมากเกินไป เธอกลัวว่าหากพวกเขาเห็น ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาอยากคัดตัวอักษรมากกว่าเดิม
เด็กทั้งสามมองไปยังอวี๋หวั่น แล้วมองไปยังกระดาษที่อวี๋หวั่นวางไว้บนโต๊ะ สีหน้าของพวกเขาดูประหนึ่งกำลังตรึกตรองบางสิ่งอยู่
……
ช่วงสาย ซวนจื่อเชิญหมอจากในตำบลมายังหมู่บ้าน สถานพยาบาลยังไม่เปิด ซวนจื่อจึงสอบถามจากชาวบ้านจนรู้ที่อยู่ของหมอ เขาจึงรุดไปกึ่งดึงกึ่งลากหมอมาด้วยตนเอง
เดิมทีหมอคิดว่าแค่ไปดูชาวไร่ชาวนาที่เจ็บป่วย จึงไม่พอใจเท่าไรนัก ทว่าเมื่อเขาเห็นใบหน้าอันงดงามและสูงศักดิ์ของเยี่ยนจิ่วเฉา ก็ถึงกับทึ่งจนกล่าวอะไรไม่ออก
สถานที่ทุรกันดารเช่นนี้ ไฉนจึงมีบุคคลระดับเทพเซียนอยู่ได้?
“ตกใจอะไรหรือ?” ลุงวั่นเร่งเร้า
เมื่อหมอได้สติกลับคืนมาก็รู้สึกกระอักกระอ่วน รีบลงมือรักษาให้เยี่ยนจิ่วเฉาทันที
ในตอนที่ซวนจื่อมาเรียกเขา กล่าวเพียงว่าคนไข้ขาเคลื่อน แต่เมื่อเข้ามาในห้อง ผู้ใหญ่บ้านกลับบอกเขาว่าให้คนรักษาขาของคนไข้เรียบร้อยแล้ว
หมอจึงตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง
ตำแหน่งของขากลับเข้าที่เดิมแล้ว เพียงแต่รอยมือบนขาจะหนักกระไรเพียงนี้?
หมอกระซิบว่า “หมอชาวบ้านจากที่ใด มือหนักเหลือเกิน”
ผู้ใหญ่บ้าน “…”
หมอรักษาสัตว์แห่งหมู่บ้านเหลียนฮวา เข้าใจหรือไม่?
หมอเขียนใบสั่งยากระตุ้นการหมุนเวียนเลือดและยาสมานแผลส่งให้ลุงวั่นแล้วกลับไป
เยี่ยนจิ่วเฉาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการรักษาตัวอันยาวไกล
ชาวบ้านต่างก็ทยอยกันกลับบ้านไปจัดการกับเศษซากและความเสียหายที่เกิดขึ้น เมื่อคืนมองไม่ค่อยชัดเจน เดิมทีคิดว่าเพียงแค่ซ่อมหลังคาและกำแพงก็เรียบร้อยแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อมองดีๆ กลับพบว่าที่พื้นก็มีรอยแยกเช่นกัน!
ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ที่นาของหมู่บ้านยุบลงไปหมด พืชพรรณล้วนได้รับความเสียหาย ที่สำหรับทำกสิกรรมของพวกเขาหายวับไปชั่วข้ามคืน ปีนี้คงจะปลูกอะไรไม่ได้อีกแล้ว!
“ไอ้หยา…” ป้าจางทรุดลงร้องไห้กับพื้น “ไม่มีที่แล้ว…ทีนี้จะอยู่อย่างไรเนี่ย?”
ทุกวันนี้พวกเขาปลูกพืชผักทนหนาว นำไปขายแลกเงินเพียงเล็กน้อย แต่เนื่องจากหมู่บ้านของพวกเขายากจน ทุกครอบครัวต่างประทังชีวิตด้วยพืชผักที่ปลูกเหล่านี้ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอผลผลิตในปีหน้าซึ่งอาจจะทำเงินได้มากกว่าแต่ก่อน ทว่าบัดนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว!
“บอกว่าจะไม่ขุดแม่น้ำแล้ว ก็เพิ่งจะดีใจกันไป…ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ดิน! หากขุดแม่น้ำ อย่างน้อยก็คงเหลือที่สักสามหมู่!” ซวนจื่อนั่งยองกับพื้น น้ำตาคลอเบ้า
แน่นอนว่าเขากล่าวเช่นนี้เพราะความโกรธ การขุดแม่น้ำและแผ่นดินไหวเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องที่จะเกิด จะช้าจะเร็วก็ต้องเกิดขึ้น
ไม่มีผู้ใดคาดคิด พวกเขาพยายามหลบเลี่ยงมหันตภัยจากมนุษย์ได้ แต่กลับหลบเลี่ยงภัยธรรมชาติไม่พ้น ปีแห่งความแร้นแค้นได้วนกลับมาอีกครา
อย่างไรก็ดี หากเปรียบกับภัยแล้งในปีก่อนๆ การไม่มีที่ดินเพาะปลูกนับว่าน่ากลัวที่สุด ไม่รู้ว่าหมู่บ้านของพวกเขาจะต้องอดตายกันไปอีกกี่คน
ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยนั่งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
ผู้ใหญ่บ้านร้อนใจมิใช่น้อย “ข้าจะไปที่ว่าการ นำเรื่องของหมู่บ้านเราไปรายงาน ดูว่าทางการจะมีวิธีจัดการอย่างไรได้บ้าง!”
แล้วเขาก็กระวีกระวาดออกไป
ไม่มีที่นาแล้ว ครอบครัวเดียวที่มิได้รับผลกระทบมากนักมีเพียงสกุลจ้าว พวกเขามีที่ดินไม่มาก ที่ผ่านมาเป็นอาหวั่นที่ช่วยพวกเขาเพาะปลูก หลังจากที่อวี๋หวั่นไม่ช่วยสกุลจ้าวปลูกพืชแล้ว สองแม่ลูกสกุลจ้าวเองก็เกียจคร้าน ที่ของพวกเขาจึงกลายเป็นที่ดินรกร้าง
“พี่ใหญ่ ท่านดูๆ! แปลงนาของพวกเขาไม่เหลือแล้ว!” จ้าวเป่าเม่ยเหลือบมองชาวบ้านที่นั่งร้องไห้ หางคิ้วยกขึ้นอย่างกระหยิ่มใจ “ไม่เหลือแล้วก็ดี! ใครใช้ให้พวกเขารวมหัวกับสกุลอวี๋ขับไล่พวกเราออกจากหมู่บ้านกัน คราวนี้กรรมตามสนองแล้วสิ? สมน้ำหน้า!”
จ้าวเหิงขมวดคิ้ว “เจ้าพูดพล่อยอะไร! เจ้าเองก็เป็นคนหมู่บ้านเหลียนฮวา ในหมู่บ้านเกิดเรื่อง เจ้ายังจะดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นได้อีกรึ!”
จ้าวเป่าเม่ยเบะปาก “ข้าดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นแล้วอย่างไร? ใครกันเล่าที่ทำให้ท่านแม่กลายเป็นเช่นนี้ ใครกันที่ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างอยุติธรรม สมควรแล้วที่พวกเขาโดนแบบนี้! ไม่เช่นนั้น ข้าว่าพวกเขาก็ควรจะตายไปเสียเลย!”
จ้าวเหิงเป็นอาจารย์ของบุตรชายของนายอำเภอ เขาได้รับเงินทุกเดือน เมื่อนำไปจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว เขาก็ยังเหลือเงินเก็บอยู่บ้าง ฐานะทางบ้านของเขาดีกว่าแต่ก่อนมาก แต่แน่นอนว่าหากมิได้นับรวมหนี้สินสามร้อยตำลึงที่ยังค้างอยู่
เมื่อนึกถึงหนี้ก้อนนั้น จ้าวเป่าเม่ยถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะบ้านสกุลติง บ้านหลังใหม่ถล่มลงมา ไยมิใช่บ้านหลังเก่า! ข้าได้ยินว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาใหม่นั้นถูกหลังคาถล่มมาทับเมื่อคืน! เหตุใดไม่ถล่มลงมาทับคนแซ่อวี๋ให้รู้แล้วรู้รอด!”
จ้าวเหิงตวัดสายตาอันเย็นเยียบไปยังน้องสาวของตน
อย่างไรเสีย จ้าวเป่าเม่ยก็เกรงกลัวพี่ชาย เมื่อเห็นเขามีโทสะ นางจึงได้แต่สงบปากสงบคำ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ที่มาที่ไปของอาการบาดเจ็บของเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ผู้ใหญ่บ้านมิได้แพร่งพรายออกไป ชาวบ้านจึงไม่มีใครรู้ว่าหลังคาเกือบหล่นลงมาคร่าชีวิตอวี๋หวั่นไปเสียแล้ว ทว่าจ้าวเหิงรู้เรื่องนี้
เมื่อวานเขาไปยังตำบลเพื่อพบกับนายอำเภอ ผลก็คือเขาไปเสียเที่ยว เมื่อกลับมายังหมู่บ้านก็ได้ยินชาวบ้านถกเถียงกันเรื่องที่นายอำเภอมายังหมู่บ้านเหลียนฮวา เป็นคุณชายวั่นซึ่งมาใหม่ผู้นั้นเชิญมา และหลังจากที่เข้าพบกับคุณชายวั่น นายอำเภอก็กลับคำ จะไม่ขุดแม่น้ำที่หมู่บ้านเหลียนฮวาอีกแล้ว
ชาวบ้านต่างกล่าวกันว่า วิชาความรู้ของคุณชายวั่นผู้นั้นสูงกว่าเขาเสียอีก เป็นถึงว่าที่ผู้เข้าสอบจ้วงหยวน
เขาไม่เชื่อ จึงอยากพบกับคุณชายวั่นผู้นั้น
และแน่นอนว่าเขานำของกำนัลติดมือไปด้วย
เขาพยายามหลบเลี่ยงการพบปะกับคนในหมู่บ้าน จึงไปค่อนข้างช้า และบังเอิญไปเห็นฉากที่อวี๋หวั่นและคุณชายชุดขาวผู้นั้นถูกกลบใต้ซากหลังคาเข้า
เงาของร่างที่กระโจนเข้าหาอวี๋หวั่น ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเขา
…………………………………