หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 98 คืนชีพให้หมู่บ้าน
ทันทีที่จ้าวเหิงกล่าวจบ ก็มีน้ำถังหนึ่งสาดใส่เขา
ที่แท้ก็เป็นนางเจียงผู้ไม่เคยตื่นเช้า ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่นางเดินมาพร้อมกับน้ำทิ้งกระป๋องหนึ่ง สาดใส่จ้าวเหิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
จ้าวเหิงตัวเหม็นหึ่ง ทั้งหนาวทั้งสกปรก เขาปิดจมูกด้วยความขยะแขยง แล้วมองไปยังนางเจียงที่ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
นางเจียงแค่นเสียง “มองอะไรเล่า? ไม่ได้ยินหรืออย่างไรว่าอวี๋หวั่นบอกให้เจ้าไสหัวไป? เป็นซิ่วไฉประสาอะไรกัน แค่นี้ยังฟังไม่รู้เรื่อง!”
หลังจากที่ถูกอวี๋หวั่นถากถางไปแล้วหนึ่งรอบ ก็ถูกนางเจียงค่อนแคะอีก จ้าวเหิงจึงโกรธจัด ทว่าเมื่อซิ่วไฉปะทะกับทหาร มิอาจใช้เหตุผลคุยกัน เขาจะทำอย่างไรได้?
เขาจำต้องกล้ำกลืนโทสะและความอดสูเดินกลับบ้านไป
“ท่านแม่” อวี๋หวั่นรับกระป๋องน้ำทิ้งใบหนักจากมือนางเจียงมา แล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าไม่ได้เข้าไปในหอคณิกาจริงๆ ใช่ไหม?”
คนแซ่จ้าวนั่นว่าเธอครั้งเดียวไม่พอ ยังมีครั้งที่สอง สาม แล้วยังพูดเหมือนไม่ได้โกหกอีก พูดจนอวี๋หวั่นเริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน
นางเจียงตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าไม่ได้เข้าไป! เจ้าจะไปสถานที่พรรค์นั้นได้อย่างไร ไม่รู้ว่าไอ้เวรนั่นไปฟังมาจากไหน เจ้าอย่าไปสนใจเขาเลย”
“งั้นข้าได้ไป…กับชายอื่น…” อวี๋หวั่นนึกถึงความฝันที่ทำให้เธอขนพองสยองเกล้า เธอกระแอมด้วยความประหม่า เป็นแค่ฝันเท่านั้น จะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร?
มุมปากของอวี๋หวั่นยกขึ้น “ไม่มีอะไร ท่านแม่ ข้าจะไปทำกับข้าว ท่านไปนอนต่อสักหน่อยเถิด อาหารเช้าเสร็จแล้วข้าจะไปเรียก”
นางเจียงบิดขี้เกียจ หาวหนึ่งครั้ง เดินสะเงาะสะแงะกลับเข้าห้องไปนอนกอดเถี่ยตั้นและเจินเจิน
เรื่องที่จ้าวเหิงพูดไม่ได้สร้างความวุ่นวายใจให้อวี๋หวั่นเท่าไรนัก เธอไม่สนใจคนผู้นี้ ทำไมต้องมาใส่ใจคำพูดของเขาด้วย
เมื่ออวี๋หวั่นทำอาหารเช้าเสร็จ ฟ้าก็เพิ่งจะสาง เธอไม่ได้ปลุกแม่และน้องชาย หลังจากที่อุ่นหมั่นโถวในเตาเสร็จ เธอก็ไปหาอวี๋เฟิงและลุงใหญ่ที่บ้านเดิม
อาหารชุดแรกต้องส่งในเทศกาลซั่งหยวน วันนี้พวกเขาจึงต้องเข้าไปซื้อเต้าหู้ในหมู่บ้าน ที่จริงพวกเขาทำเต้าหู้เองได้ ทว่าไม่มีแรงงานคนมากพอ ลำพังบดถั่วเหลืองก็บดไม่ไหวแล้ว เพื่อประหยัดเวลาและแรงคน พวกเขาจึงไปซื้อเต้าหู้ในตัวตำบลแทน
ทันทีที่อวี๋หวั่นเข้าไปในบ้านเดิม ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแสบแก้วหู
“ข้าไม่สน ข้าไม่สน! ข้าจะเอา ข้าจะเอา! ”
เป็นกัวเซี่ยนเฉี่ยวที่ร้องไห้งอแง
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นปิดหู ในตอนนั้นเอง อวี๋เฟิงซึ่งทนเสียงดังเช่นนี้ไม่ไหว ก็เดินออกมาสูดอากาศพอดี เขาหันหลังมาเห็นอวี๋หวั่น จึงรุดเข้ามาหา “เมื่อคืนช่วยงานจนดึก ทำไมไม่นอนให้มากกว่านี้สักหน่อย”
อวี๋หวั่นคงรู้สึกกระดากใจหากจะบอกว่าเธอนอนฝันจนตกลงมาจากเตียง จึงกล่าวหน้าตายว่า “วันนี้จะเข้าตำบลไปซื้อเต้าหู้ไม่ใช่หรือ? ข้าก็ตื่นเช้าหน่อย”
อวี่เฟิงอ้าปากค้าง “หากเจ้าไม่พูด ข้าก็คงลืมไปเสียสนิท!”
ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว ทั้งยังต้องดูแลครอบครัวนี้อีก อวี๋เฟิงยุ่งจนตัวเป็นเกลียว ฤดูกสิกรรมยังไม่เคยยุ่งถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ไม่เป็นไร ข้าจำได้อย่างไรเล่า” เธอชะงักไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ส่งสายตาไปทางโถงกลางบ้าน “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเฉี่ยวเอ่อร์ร้องไห้หนักเช่นนี้”
“เฮ้อ” อวี๋เฟิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเล่าต้นสายปลายเหตุให้เธอฟัง
ที่แท้ก็เป็นเพราะป้าสะใภ้ใหญ่เป็นห่วงอวี๋ซงซึ่งได้รับบาดเจ็บ จึงตื่นมาทำไข่ตุ๋นให้เขาแต่เช้าตรู่ กัวเซี่ยนเฉี่ยวตื่นมาเข้าห้องน้ำและบังเอิญไปเห็นเข้า นางก็พลันไม่พอใจขึ้นมาทันที กล่าวว่าป้าสะใภ้ใหญ่ซ่อนไข่ตุ๋นเอาไว้ ไม่ยอมให้นางกิน
กล่าวด้วยความสัตย์จริง แต่ไหนแต่ไรมาป้าสะใภ้ใหญ่ไม่เคยหวงไข่ตุ๋นเพียงชามเดียว นางเห็นกัวเซี่ยนเฉี่ยวยังไม่ตื่น จึงตั้งใจว่าจะรอให้นางตื่นก่อนแล้วค่อยทำให้กิน อย่างไรเสียกินตอนร้อนๆ ย่อมดีกว่า
“มาแล้วๆ เฉี่ยวเอ่อร์ไม่ร้องไห้แล้ว ไข่ตุ๋นมาแล้ว”
ลุงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
อวี๋เฟิงถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านพ่อข้าก็เป็นคนดีอย่างนี้อยู่เรื่อย”
อวี๋หวั่นก็เห็นเป็นเช่นนั้น “ถ้าไม่ได้เป็นคนดีเช่นนี้ ตอนนั้นเขาคงไม่ยกโทษให้ข้าหรอก”
อวี๋เฟิง “…”
อวี๋เฟิงมิอาจหาคำพูดใดมาโต้ตอบได้
อวี๋หวั่นชอบลุงใหญ่ที่เป็นแบบนี้ บนโลกนี้มีคนใจร้ายอยู่มาก ไม่แน่ว่าเธอก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น แต่เธอก็ยินดีที่จะปกป้องความดีของลุงใหญ่ ส่วนเรื่องร้ายๆ ปล่อยให้เธอจัดการเองจะดีกว่า
“พี่ใหญ่ พวกเราเข้าไปในตำบลกันเถอะ” อวี๋หวั่นยิ้มตาหยี
“อื้ม” อวี๋เฟิงพยักหน้า
สองพี่น้องเข้าไปทักทายลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ จากนั้นก็เดินไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
ขณะที่เดินผ่านบ่อน้ำเก่าของหมู่บ้าน ก็บังเอิญพบกับผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งจะกลับมาจากที่ว่าการอำเภอ
สองพี่น้องเดินเข้าไปกล่าวทักทาย
“ท่านคงไม่ได้ไปนอนที่ที่ว่าการมาหนึ่งคืน แล้วเพิ่งกลับมาหรอกกระมัง?” อวี๋เฟิงสังเกตเห็นเส้นเลือดแดงในดวงตาอิดโรยของเขา จึงเอ่ยถามขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“เกิดอะไรขึ้น? เรื่องของหมู่บ้านเรา…ยังไม่เรียบร้อยหรือ? ที่ว่าการไม่จัดการให้ใช่หรือไม่?” อวี๋เฟิงถาม
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “มิใช่ไม่จัดการ แต่จัดการไม่ไหว”
เมื่อผู้ใหญ่บ้านไปที่ว่าการอำเภอจึงรู้ว่าหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ หมู่บ้านเหลียนฮวานับว่าเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ส่วนหมู่บ้านอื่นๆ นั้น ที่นาและบ้านเรือนไม่เพียงพังทลาย ทว่ายังมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอีกด้วย
ชายแดนยังมีสงคราม ทางการไม่มีเงินมากพอ จึงไม่สามารถนำเงินออกมาบรรเทาทุกข์จากภัยธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้จะโทษนายอำเภอก็ไม่ได้ หลังจากที่รู้ว่าคุณชายเยี่ยนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวา เขาก็มิกล้าเพิกเฉย ถึงกับควักเงินในกระเป๋าตนเองออกมาชดเชยให้ชาวบ้าน ทว่าผู้ได้ประสบภัยมีนับหมื่นคน ลำพังเงินที่ได้รับจากการทุจริตในแต่ละวัน ย่อมมิอาจเติมเต็มความขัดสนครั้งใหญ่นี้ได้
“วังหลวงก็ไม่สนใจหรือ?” อวี๋เฟิงกล่าวอย่างมีโทสะ
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ พร้อมกล่าวว่า “นายอำเภอบอกว่าวังหลวงคงจะสนใจ แต่จะสนใจหมู่บ้านเราหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
นั่นคือความจริง พื้นที่ประสบภัยซึ่งต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนมีจำนวนมาก เกรงว่าหมู่บ้านเหลียนฮวาอาจมิได้อยู่ในรายการด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า” อวี๋เฟิงถามด้วยความวิตก
ทันใดนั้นเองอวี๋หวั่นก็พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ผู้ใหญ่บ้าน ข้ามีความคิดดีๆ”
“อะไรหรือ?” ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกัน
อวี๋หวั่นยิ้ม กล่าวว่า “พวกเรามีรายการอาหารจำนวนมาก น่าจะให้ชาวบ้านมาช่วย แล้วเราก็จ่ายเงินให้พวกเขาเป็นค่าแรง”
………………………………………..