หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1 - บทที่ 99 สั่งสอน
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี ไม่มีที่ดิน ชาวบ้านต่างก็วิตกว่าจะใช้ชีวิตกันอย่างไร หากมีงานให้ทำ มีค่าแรงให้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี!
“อาหวั่นรอที่นี่ก่อน ข้าจะไปบอกชาวบ้าน!”
กล่าวจบ เขาก็กระวีกระวาดไปเรียกคนในหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านตื่นเต้นจนลืมเคาะระฆังบอกเวลาที่บ่อน้ำ เขาวิ่งไปแต่ละบ้านเพื่อนเรียกชาวบ้านออกมารวมกัน
อวี๋หวั่นเห็นอวี๋เฟิงขมวดคิ้ว จึงกระซิบถามว่า “พี่ใหญ่คิดอะไรอยู่หรือ?”
อวี่เฟิงตอบตามตรง “ข้ากำลังคิดว่า แผ่นดินไหวจะกระทบกับกิจการของเราหรือไม่?”
ได้เงินน้อยกว่าเดิมเล็กน้อยมิใช่เรื่องใหญ่ แต่หากบอกชาวบ้านไปแล้ว สุดท้ายกลับไม่มีงานให้พวกเขาทำ…
เรื่องนี้อวี๋หวั่นได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว เธอยกยิ้มมุมปาก แล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ท่านวางใจเถอะ พวกเราทำการค้ากับคนรวยจากเมืองหลวง ภัยพิบัติเป็นเรื่องของชาวบ้านตาดำๆ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาหรอก”
พูดไปก็น่าหดหู่ แต่กลับตรงประเด็นยิ่งนัก
ใช่แล้วละ ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือหายนะใด ผู้ที่ต้องรับเคราะห์ก็คือประชาชนทั่วไป หากไม่เช่นนั้น อาสามก็คงไม่ต้องไปเป็นทหารหรอก
อวี๋เฟิงไม่รู้ว่าเขาควรรู้สึกเจ็บปวดกับความทุกข์ยากของชาวบ้านหรือรู้สึกปีติที่กิจการของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปได้ในประเทศอันโหดร้ายแห่งนี้
ผู้ใหญ่บ้านจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวชาวบ้านต่างก็มารวมกันที่ทางเข้าหมู่บ้าน
เมื่อชาวบ้านได้ยินว่าจะมีงานให้ทำ ก็ล้วนวิ่งมารวดเร็วยิ่งกว่าครั้นเกิดแผ่นดินไหวเสียอีก
ป้าไป๋รุดหน้ามาก่อน นางตะโกนเสียงดังว่า “เสี่ยวเฟิง อาหวั่น! บ้านพวกเจ้ามีงานให้ทุกคนทำหรือ?”
“มี ป้าไป๋” อวี๋เฟิงตอบอย่างรู้มารยาท
“งานอันใดรึ?” ป้าไป๋ถามต่อ
ฝูงชนต่างมองไปยังสองพี่น้องด้วยสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวังและความกังวล พวกเขาคาดหวังว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็กังวลว่าบ้านสกุลอวี๋จะมีงานอะไรที่พวกเขาทำได้
บุรุษฉกรรจ์จากหมู่บ้านของพวกเขาถูกเกณฑ์ไปไม่น้อย บางครอบครัวก็เหลือเพียงคนแก่ เด็ก คนป่วย และคนพิการ หากจะให้ปลูกพืชดำนาหรือทำงานที่ซับซ้อน พวกเขาก็คงจนปัญญา
อวี๋เฟิงไม่รู้ว่าแผนงานโดยละเอียดของอวี๋หวั่นเป็นอย่างไร จึงบอกกับเธอว่า “อาหวั่น เจ้าพูดก็แล้วกัน”
อวี๋หวั่นจึงเล่าแผนในตอนนี้ของเธอให้ชาวบ้านฟัง “…ข้าได้รับการว่าจ้างจากเมืองหลวงให้ทำอาหาร ส่วนมากคือเต้าหู้ เดิมทีคิดว่าจะเข้าไปซื้อในตำบล แต่เมื่อมีทุกคนมาช่วยงาน พวกข้าจึงตัดสินใจจะทำเอง”
วิธีทำเต้าหู้นั้นดูยากก็จริง แต่หากทำในปริมาณมาก ก็สามารถแบ่งงานตามขั้นตอนต่างๆ ได้ เช่นนี้ก็จะไม่ซับซ้อนแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว! คนที่ล้างถั่วก็ล้างถั่วไป คนที่บดถั่วก็บดถั่วไป! ใช่หรือไม่อาหวั่น?” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
อวี๋หวั่นหัวเราะน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว”
“เช่นนั้นข้าก็ทำได้! ข้าแรงเยอะ ข้าจะไปบดถั่ว!” ซวนจื่อกระโดดไปพูดไป เขารู้สึกตื่นเต้นจนสะดุดขาข้างหนึ่ง ล้มหน้าคะมำไปกับพื้น
ชาวบ้านต่างระเบิดหัวเราะออกมา!
ความมืดมนที่มาพร้อมกับมหันตภัยในครั้งนี้ได้ถูกปัดเป่าออกไปไม่น้อย
เมื่อคิดถึงชาวบ้านซึ่งเมื่อวานนั่งกุมขมับร้องไห้โฮกลางคันนา บัดนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกว่าความเศร้าโศกในจิตใจได้มลายหายไปสิ้นแล้ว เขารู้สึกประหนึ่งวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น!
“เช่นนั้น…จะคิดค่าแรงอย่างไรหรือ?”
นายพรานถามเสียงเบา
เมื่อเขาเอ่ยขึ้นเช่นนี้ ฝูงชนก็พลันเงียบเสียงลง
อวี๋หวั่นอยากตอบไปว่า ‘ข้าไม่ได้หาช่องทางทำเงินยามประเทศกำลังลำบากหรอกนะ’ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ชุ่ยฮวาลูกสะใภ้บ้านนายพรานก็วิ่งมาหน้าตาตื่น “แย่แล้ว เสี่ยวเฟิง! อาหวั่น! เด็กๆ บ้านพวกเจ้าสู้กันแล้ว!”
เด็กๆ บ้านพวกเขา?
บ้านพวกเขามีเพียงเถี่ยตั้นและเจินเจินไม่ใช่หรือ?
เด็กสองคนนี้จะตีกันได้อย่างไรกัน?
ทันใดนั้นเอง อวี๋เฟิงก็คิดบางอย่างออก หน้าถอดสีขึ้นมา “แย่แล้ว!”
ข้างคันนาของหมู่บ้านเหลียนฮวามีพื้นที่ว่างอยู่ เดิมทีเป็นพื้นที่ส่วนกลางซึ่งชาวบ้านใช้ตากเมล็ดพืช นานๆ ครั้งก็จะมีศิลปินเดินทางผ่านมา ยังสามารถกางฉากเพื่อแสดงหุ่นละครมือได้
นอกฤดูกาลเก็บเกี่ยว เด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะมาเล่นกันที่นี่
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พื้นที่บริเวณนี้ก็มิได้ราบเรียบเหมือนเดิม ทว่าหลุมๆ บ่อๆ กลับทำให้เด็กๆ ชื่นชอบยิ่งกว่าเดิม
อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ตามชุ่ยฮวาไป กัวเซี่ยนเฉี่ยวซึ่งอายุแปดขวบขี่อยู่บนเถี่ยตั้นน้อย นางมีรูปร่างอ้วน นั่งทับเถี่ยตั้นน้อยจนเขาหน้าเขียว เถี่ยตั้นน้อยเองก็ไม่ยอมเผยความอ่อนแอให้เห็น เขาจิกเข้าที่ผมของนาง ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย จนร่างอ้วนท้วนของนางงอเป็นรูปร่างประหลาด
หากเป็นเมื่อก่อน พื้นที่บริเวณนี้มีคนทำงาน เมื่อมีเด็กทะเลาะกันย่อมมิอาจรอดพ้นสายตาของผู้ใหญ่ไปได้ ทว่าวันนี้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ตรงนั้น หากชุ่ยฮวามิได้บังเอิญผ่านมา ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตีกันถึงเมื่อไร
“ปล่อย!” กัวเซี่ยนเฉี่ยวทั้งโกรธทั้งเจ็บ
“เถี่ยตั้น!” อวี๋หวั่นรุดเข้าไป “ปล่อยมือ”
เถี่ยตั้นน้อยไม่ยอมปล่อยมือ
อวี๋เฟิงก็เดินเข้าไปเช่นกัน
เมื่อกัวเซี่ยนเฉี่ยวเห็นเขา ก็พลันรู้สึกกระหยิ่มใจขึ้นมา นางร้องไห้โยเย “พี่ใหญ่! เขารังแกข้า! ท่านมาช่วยข้าตีเขาเร็ว!”
เจ้าจำได้เพียงว่าข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องเจ้า แล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเหมือนกัน?
อวี๋เฟิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ลุกขึ้น!”
กัวเซี่ยนเฉี่ยวตะโกน “ไม่! ท่านให้เขาปล่อยข้าก่อน!”
อวี๋หวั่นตรึงกำปั้นเล็กๆ ของเถี่ยตั้นเอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง อวี๋เฟิงก็จับไหล่ของกัวเซี่ยนเฉี่ยว แล้วจับเด็กทั้งสองคนแยกออกจากกัน
ทันใดนั้นเจินเจินก็วิ่งมาและโผเข้าหาอวี๋เฟิงพร้อมดวงตาแดงก่ำ
อวี๋เฟิงอุ้มน้องสาวซึ่งน้ำตานองหน้าขึ้นมา แล้วกล่าวกับกัวเซี่ยนเฉี่ยวว่า “เจ้าเป็นพี่ เหตุใดจึงรังแกเถี่ยตั้น”
“เขาตีข้า!” กัวเซี่ยนเฉี่ยวกล่าวพลางชี้ไปยังเถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยกล่าวด้วยโทสะว่า “นางแย่งของเจินเจิน!”
อวี๋เฟิงมองไปยังเจินเจิน
เจินเจินร้องไห้สะอึกสะอื้น “แย่ง…พี่สาว…ใจร้าย”
“ข้าไม่ได้แย่ง!” กัวเซี่ยนเฉี่ยวไม่ยอมรับเด็ดขาด
“ข้าเห็น! นางแย่ง!” สือโถว บุตรชายวัยสิบขวบของนายพรานและชุ่ยฮวากล่าว
“ข้าก็เห็น!”
“ข้าเห็นว่านางผลักน้องเจินเจินด้วย!”
“เจินเจินล้มลงไปแล้วก็ร้องไห้!”
หลังจากนั้นก็มีเด็กอีกหลายคนทยอยกันออกมาเป็นพยาน
กัวเซี่ยนเฉี่ยวไหนเลยจะแย่งของของเจินเจิน? นางก็เพียงระบายความโกรธกับเจินเจินซึ่งอายุไม่เต็มสามขวบก็เท่านั้น
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างกล่าวหาตนเอง กัวเซี่ยนเฉี่ยวก็หน้าเปลี่ยนสี นางจึงโยนลูกอมในมือลงบนพื้น “คืนให้เจ้า!”
เจินเจินร้องไห้เสียแล้ว
สีหน้าของอวี๋เฟิงดูย่ำแย่ยิ่งนัก
อวี๋หวั่นปล่อยเถี่ยตั้นน้อยซึ่งกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอเดินไปยังเบื้องหน้าของกัวเซี่ยนเฉี่ยว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าภูมิใจมากใช่หรือไม่?”
กัวเซี่ยนเฉี่ยวกอดอก กลอกตาพร้อมกล่าวว่า “อย่ามายุ่ง!”
อวี๋หวั่นตีแขนนางเบาๆ แล้วดึงนางลงกับพื้น!
“พ่อแม่ไม่สั่งสอน เมื่อออกมาข้างนอก ก็ต้องมีคนสั่งสอนเจ้าอยู่ดี!”
………………………………………….