หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 100.1 เตรียมแต่งงาน (1)
อวี๋เซ่าชิงโศกเศร้า บุตรสาวที่เขาเลี้ยงดูมา เขายังรักและดูแลนางไม่พอ ก็มาถูกชายอื่นฉุดแย่งไปอีก สิ่งที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นคือบุตรสาวของเขาค่อนข้างเต็มใจให้แย่งไป…
อวี๋เซ่าชิงไม่อาจบันดาลโทสะต่อหน้าคนภายนอก รอจนกระทั่งฮูหยินเหยา ลุงวั่นและแม่นางหงตู้จากไป เขาจึงเดินไปที่โรงงานด้วยอาการแน่นหน้าอกและหายใจหอบถี่
ลุงใหญ่กำลังตรวจสอบรายการของขวัญในหนังสือแสดงสินสอด จวนคุณชายจัดพิธีใหญ่โตยิ่งนัก ของขวัญหนึ่งร้อยหกสิบสองชิ้น ไม่ต้องเอ่ยถึงชาวบ้านที่ตะลึงตาค้าง หากไม่เกรงว่าจะทำเรื่องน่าขันต่อหน้าบ่าวรับใช้ของคุณชาย เขาก็คงคุกเข่าคารวะตรงนั้นไปแล้ว
จะรู้ได้อย่างไรว่าจวนคุณชายเตรียมของขวัญแต่งงานไว้หนึ่งร้อยสามสิบชิ้น แล้วซั่งกวนเยี่ยนก็แอบนำมาเพิ่มอีกสามสิบสองชิ้น จำนวนเมื่อนำมารวมกันชวนให้ผู้คนต้องตกตะลึง กระทั่งองค์หญิงคนโตที่สูงศักดิ์ที่สุดของราชวงศ์นี้อภิเษกสมรส ก็ยังได้ของขวัญเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบชิ้นเท่านั้น
ลุงใหญ่พาเด็กอีกสองมาช่วยนับทั้งวัน เพียงครึ่งหนึ่งก็ยังนับไม่เสร็จ ต้องให้สามพี่น้องหนิวมาช่วย หนิวน้อยสองคนกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านเก่า และจะมาเปลี่ยนเวรกับเขาในอีกไม่นาน ของขวัญมากมายเพียงนี้กังวลว่าจะมีใครมาขโมย จึงต้องให้คนมาเฝ้าไว้ทั้งกลางวันและกลางคืน
“พี่ใหญ่” อวี๋เซ่าชิงเดินไปนั่งบนกล่องใบใหญ่ที่อยู่ด้านข้างลุงใหญ่ ในโกดังนี้มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว และลุงใหญ่ก็นั่งอยู่
ลุงใหญ่เห็นว่าน้องชายของตนดูท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก จึงถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าเป็นอันใดไป? มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นรึ?”
อวี๋เซ่าชิงไม่รู้จะบอกพี่ใหญ่อย่างไร เป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกว่าเขาเป็นบิดาของอาหวั่น แต่ระหว่างเขากับเด็กเหลือขอคนนั้น อาหวั่นกลับเลือกเด็กเหลือขอ
“คงเป็นเรื่องกำหนดวันแต่งงานสินะ” ลุงใหญ่เดา
“อืม” อวี๋เซ่าชิงตอบลวกๆ
ลุงใหญ่มาตรว่าน้องชายคงทนไม่ได้ที่จะแยกจากบุตรสาว จากนั้นจึงยกแขนอันเมื่อยล้าขึ้นตบไหล่เขาพลางเอ่ยว่า “เปิดใจสักหน่อย ลูกผู้หญิงอย่างไรท้ายที่สุดก็ต้องออกเรือน อาหวั่นไม่ได้แต่งงานไปที่ใดไกล หากเจ้าคิดถึงนาง ก็ไปหานางได้และหากนางคิดถึงบ้าน นางก็กลับมาบ้านเกิดได้ ดูของขวัญเหล่านี้สิ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน… เจ้าอยู่ในค่ายทหารเกรงว่าคงไม่รู้ ว่าคุณชายวั่น… ไม่สิ คุณชายเยี่ยนโปรดปรานอาหวั่นของพวกเราอย่างแท้จริง… ดูสิ เจ้าทุบตีเขากี่ครั้ง บิดาของเขาเป็นถึงเยี่ยนอ๋อง ยิ่งใหญ่พอที่จะประหารเจ้า!”
แม้ลุงใหญ่จะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าในใจก็รู้สึกอึดอัด แม้ว่าอาหวั่นจะไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของเขา ทว่าในใจเขาก็เห็นนางเป็นบุตรแท้ๆ ไหนเลยจะอยากให้นางแต่งงานออกไป?
แต่มันไม่มีทางเลือกหรือไม่?
ลุงใหญ่ทอดถอนใจ “เมื่อครู่ข้าเพิ่งถามคนของจวนคุณชายมา ว่าไม่มีวันฤกษ์ดีอีกแล้วหรือ? คนของจวนคุณชายบอกว่า วันมงคลล้วนอยู่ในเดือนนี้ และครึ่งปีหลังจากนี้จะไม่มีฤกษ์ดีอีก จะปล่อยให้อาหวั่นรอไปอีกครึ่งปีคงไม่ได้กระมัง? อาหวั่นก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว”
อวี๋เซ่าชิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่มีฤกษ์ดีบ้าบออะไรทั้งนั้น! เดิมทีก็เพราะเด็กคนนั้นอดทนไม่ไหว จึงคิดหาวิธีหลอกล่อบุตรสาวของเขาไปเข้าถ้ำหมาป่า!
ลุงใหญ่เอ่ยอย่างจริงใจ “เอาละ เอาละ อย่าได้โกรธเลย ตอนที่น้องสะใภ้แต่งงานกับเจ้ายังอายุน้อยกว่าอาหวั่นอีก ครอบครัวเขาว่าอย่างไรละ?”
เมื่อนึกถึงภรรยาของตน อวี๋เซ่าชิงก็เงียบกริบ
หลังจากอำลาพี่ใหญ่ อวี๋เซ่าชิงก็กลับไปที่บ้าน
วันนี้ในบ้านเสียงดังอึกทึก เถี่ยตั้นน้อยไม่ได้เรียน เขาพาเด็กทั้งสามไปเล่นกันอย่างสนุกสนานตลอดทั้งวัน ยามนี้พวกเขาทั้งหมดหลับไปแล้ว อวี๋หวั่นก็ไม่อาจต้านทานความง่วง นอนกอดบุตรชายของเธอและหลับไป ส่วนนางเจียงยังไม่หลับ นางนอนจิ้มหน้าของเถี่ยตั้นน้อยครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่บนเตียง
“อาซู” อวี๋เซ่าชิงนอนลงข้างๆ นางเจียง และกอดนางจากด้านหลัง พลางสูดดมกลิ่นหอมที่ลำคอของนาง
“หือ?” นางเจียงตอบอย่างสงสัย
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “เจ้าอยู่กินกับข้ามาหลายปีแล้ว…คิดถึงบ้านหรือไม่? รอให้ข้าออกจากเมืองหลวงได้ ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังบ้านเกิดนะ”
เขากล่าวต่อโดยไม่รอคำตอบของนางเจียง “พ่อตากับแม่ยายมิอยู่แล้ว ทว่าญาติข้างเคียงก็น่าจะมีอยู่ เจ้ามีผู้ใดที่อยากพบหน้าหรือไม่?”
“ไม่มี” นางเจียงกล่าว
ไม่รู้ว่านางหมายความว่าไม่มีญาติคนอื่น หรือไม่มีผู้ใดที่อยากพบหน้ากันแน่
บิดามารดาของนางจากไปนานแล้ว บ้านของนางก็ไม่มีพี่น้อง อวี๋เซ่าชิงกลัวจะเอ่ยมากเกินไปและทำให้ภรรยาของเขานึกถึงเรื่องที่น่าเศร้า เขาจึงไม่กล้าถามอะไรอีก เพียงแต่กอดนางไว้แน่นและเอ่ยว่า “เช่นนั้นหากเจ้าต้องการกลับไปเมื่อใดก็บอกข้า แล้วเราจะพาเด็กๆ ไปด้วย”
อย่างไรก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ถึงจะไม่มีญาติอยู่แล้ว แต่ก็คงอยากกลับไปเดินดูนั่นนี่ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่กระมัง แม้จะต้องจุดธูปหนึ่งดอก คารวะพ่อแม่สักสองสามครั้งก็ตาม
“อื้ม” เสียงตอบรับของนางเจียงดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
คืนนั้นนางเจียงไม่ได้กล่าวอะไรกับอวี๋เซ่าชิงอีก อวี๋เซ่าชิงจึงยิ่งคิดว่าภรรยาของเขาคิดถึงบ้านเกิด เขาตัดสินใจว่า หลังจากล้างมลทินให้ตนเองได้ จะพาภรรยาของเขากลับบ้าน
…………….
งานแต่งงานจัดขึ้นในวันที่สิบหก มีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงเจ็ดวัน นับเป็นเรื่องที่ขมขื่นสำหรับทั้งสองฝ่าย ลุงวั่นรู้สึกว่าเขามีผมหงอกเพิ่มขึ้นอีกสองสามเส้น ซั่งกวนเยี่ยนย้ายเข้ามายังจวนคุณชาย เยี่ยนจิ่วเฉาต้องการจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าลุงวั่นก็ระเบิดอารมณ์ใส่ “ยังอยากแต่งงานอยู่หรือไม่? หากยังอยาก ก็หุบปากซะ!”
คุณชายเยี่ยนหุบปากลงอย่างเชื่อฟัง
ในที่สุดลุงวั่นผู้เด็ดขาด ก็ไปสั่งให้คนตกแต่งจวนด้วยความแข็งขัน
เรือนหอที่ใช้อาศัยอยู่หลังแต่งงานคือจวนคุณชาย แท้จริงแล้วซั่งกวนเยี่ยนเคยเสนอจวนสกุลเซียว หากเทียบกับจวนคุณชาย ที่ในหนึ่งปีอยู่ไม่ถึงสามหรือสี่วัน ทำให้จวนสกุลเซียวที่ซั่งกวนเยี่ยนอยู่มานานหลายปีมีความเหมาะสมกับการเตรียมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงกล่าวถึงลูกจ้างคนงาน จวนสกุลเซียวมีกิจการงานที่ซับซ้อน พวกบ่าวทั้งหลายได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ห้องลักษณะใดต้องจัดรูปแบบใดจึงจะเข้ากันได้อย่างลงตัว บรรดาเหล่าบุรุษผู้ไม่ประณีตของจวนคุณชายไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดงานเลี้ยง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้
“ที่นี่จะจัดได้อย่างไร?” ลุงวั่นยิ้มด้วยความละอาย
ซั่งกวนเยี่ยนชะงัก “ข้าหุนหันพลันแล่นเอง”
บุตรชายไม่เต็มใจจะไปจวนสกุลเซียว การกระทำเช่นนั้น หมายถึงการยอมรับว่าเขาเป็นบุตรบุญธรรมของเซียวเจิ้งถิง…ในใจของบุตรชายนางมีเพียงเยี่ยนอ๋องเท่านั้นที่เป็นบิดา
ซั่งกวนเยี่ยนโบกมือ “เอาละ จัดที่จวนคุณชายเถิด ข้าจะส่งคนมาช่วยงานมากกว่านี้ งานเลี้ยงสองงานในวันแต่งงาน พ่อครัวและอาหารจองไว้แล้ว คนรับใช้ผู้สูงศักดิ์ก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขาดเหลือสิ่งใดอีกหรือไม่?”
มีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ซั่งกวนเยี่ยนสับสนไปหมด
ลุงวั่นรีบหยิบเอกสารจากอ้อมแขนออกมา “นี่ขอรับ ข้าน้อยจดไว้แล้ว”
“เจ้าดูสิ ยังเหลือการส่งเกี้ยวรับตัวเจ้าสาว” การส่งเกี้ยวรับตัวเจ้าสาวเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ รถม้า นักดนตรี ทหารองครักษ์… หากไม่ยิ่งใหญ่บุตรชายก็ไม่ชอบ ทว่าหากจะจัดให้ยิ่งใหญ่เอิกเกริกก็ไม่รู้จะหาคนจำนวนมากเช่นนี้ได้จากที่ใด… ก่อนหน้านี้กังวลว่าบุตรชายจะไม่แต่งงาน ทว่ายามนี้กลับได้จัดงานแต่งจนทำอะไรไม่ทัน ซั่งกวนเยี่ยนกุมผากขึ้นเอ่ย “ข้าจะไปบ้านสกุลเหยา!”
ซั่งกวนเยี่ยนไปหาฮูหยินเหยา ทั้งสองวุ่นทั้งวันกว่าจะได้กำหนดแผนสำหรับการส่งเกี้ยวรับตัวเจ้าสาว
ทว่าไม่เพียงแต่จวนคุณชายเท่านั้นที่วุ่นวาย แต่สกุลอวี๋ก็มีปัญหาอยู่เช่นกัน
“พวกเจ้ากำหนดแต่งงานแล้วหรือ?” ทันทีที่ไป๋ถังทราบข่าวก็รีบยื่นมือช่วย แม้ว่านางจะมิเคยแต่งงาน แต่หอหยกขาวก็เคยรับจัดงานแต่งงานมาหลายงาน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่เคยกินหมูแต่ก็เคยเห็นหมูเดิน
จวนคุณชายให้ของขวัญแต่งงานมากขนาดนั้น โดยทั่วไปฝ่ายหญิงก็ต้องเตรียมสินเดิมไว้เช่นกัน ให้คืนจากสินสอดส่วนหนึ่ง และให้เพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ธุรกิจของสกุลอวี๋เพิ่งเริ่มต้น หากอวี๋หวั่นแต่งงานกับเศรษฐีในชนบทก็ยังนับว่ามากเกินไป ทว่าเธอจะเป็นนายหญิงของจวนคุณชาย สินเดิมเท่านี้ยังไม่มากพอ สุดท้าย อวี๋เซ่าชิงก็มอบโฉนดที่ดินให้กับอวี๋หวั่น แม้ว่ามันจะมีมูลค่าไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นน้ำจิตน้ำใจส่วนหนึ่งจากครอบครัว พวกเขาไม่อาจให้ไร่นาหรือร้านค้า ให้ได้เพียงเนินเขาที่แห้งแล้งเท่านั้น
อวี๋หวั่นแต่งงานกับครอบครัวสกุลใหญ่โต ตามหลักแล้ว ก็ควรจะมีสาวใช้ของตนตามไปบ้านสามีด้วย ทว่าเวลาไม่ทันที่จะตระเตรียมแล้ว คนรับใช้ที่เรือนของไป๋ถังก็มีไม่น้อย ทว่าสาวใช้ของครอบครัวพ่อค้าไม่เคยเห็นโลกกว้าง เกรงว่าจะไปจวนคุณชายแล้วทำให้อวี๋หวั่นยุ่งเหยิง ไป๋ถังจึงไม่ได้ยัดเยียดให้
“เจ้ามีชุดแต่งงานหรือยัง?” ไป๋ถังถาม
อวี๋หวั่นตอบสีหน้าราบเรียบ “มีแล้ว”
มีมานานแล้ว แต่เพราะไม่กล้าบอกความจริงกับครอบครัว จึงโกหกว่ามันถูกส่งมาในวันที่ลุงวั่นมาทำพิธีเซี่ยผิ้น
……………………………………………