หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 11.2 ปู่หลานพานพบ? (2)
“แม่นางโปรดไว้ชีวิตข้า ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว!” เหยียนเซี่ยอ้อนวอนขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาแอบหนีออกมาจากจวนเพียงคนเดียว มิได้พาบ่าวและองครักษ์ออกมาด้วย ยามเกิดเรื่องก็ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยปกป้องเขาได้
ไป๋ถังตีเขาอีกครั้งหนึ่ง “หากยังกล้าตามข้ามาอีก ข้าจะถลกหนังเจ้า! ยังไม่รีบไปอีก!”
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ไป๋ถังโยนไม้ทิ้งไปพร้อมกับปัดมือ มองไปยังสองพี่น้องที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
อวี๋เฟิงกระแอมด้วยความประหม่า
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “พวกเรามาดูงานโคมไฟ พี่ใหญ่ข้าได้ยินเสียงของท่าน นึกว่าท่านเป็นอะไร จึงรีบวิ่งมาเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย”
อวี๋เฟิงใจกระตุกวูบ
ไป๋ถังร้อง ‘อ้อ’ แล้วกล่าวว่า “ข้าจะเป็นอะไรไปได้เล่า? คนบ้ากามเช่นนี้ ข้าจำต้องจัดการเสียให้เข็ด!”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “คุณหนูไป๋ก็มาดูโคมไฟเหมือนกันหรือ?”
ไป๋ถังพึมพำ “ใช่แล้ว แต่กลับมาเจอคนคนนั้น โชคร้ายจริง!”
อวี๋หวั่นเหลือบไปมองอวี๋เฟิง “พวกข้าเพิ่งมา ยังไม่ได้ดูเลย ถ้าคุณหนูไป๋ไม่รังเกียจละก็ ไปด้วยกันไหม?”
ทั้งสามคนเดินไปตามถนนฉีหลินซึ่งประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ไป๋ถังเป็นคนเมืองหลวงโดยกำเนิด งานเช่นนี้นางเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว จึงไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไร แต่เมื่อมีเพื่อนมาด้วย ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง
ในตอนแรก ทั้งสามคนก็เดินอยู่ด้วยกัน ภายหลังอวี๋หวั่นค่อยๆ ถอยออกมา โดยที่ทั้งสองมิได้สังเกตแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นทั้งรู้สึกสนุกทั้งขบขัน แม้ว่าเธอจะตั้งใจทำเช่นนั้น เพราะไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของทั้งสองคน แต่ว่าเมินเธอแบบนี้ มันไม่น่าน้อยใจไปหน่อยหรือ?
“ขายโคมไฟ! โคมไฟทำใหม่! โคมดอกบัว โคมลูกท้อ โคมดอกซิ่งฮวา ลูกละแปดสิบอีแปะ!”
อวี๋หวั่นถูกเสียงของคนขายโคมไฟดึงดูด โคมของร้านนี้ไม่เลวเหมือนกัน เธอจึงตัดสินใจซื้อให้เด็กน้อยทั้งสามคนละลูก
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังเลือกโคมให้เด็กน้อยทั้งสามอยู่นั้น ก็มีเสียงหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน “ไอ้หยา! มีคนตกน้ำ!”
อวี๋หวั่นนึกได้ว่าระหว่างทางมาถนนฉีหลินนั้นมีสระน้ำ สระน้ำนั้นห่างออกไปไม่ไกลนัก
เมื่ออวี๋หวั่นไปถึง สระน้ำนั้นก็รายล้อมไปด้วยผู้คน เพียงแต่ว่าไม่มีใครว่ายน้ำเป็น มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งยื่นลำไม้ไผ่ออกมา หมายจะให้คนที่ตกน้ำจับเอาไว้ ทว่าคนผู้นั้นกลับค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ อวี๋หวั่นไม่ได้ใส่ใจความหนาวเย็นของน้ำในแรกฤดูใบไม้ผลิอีกต่อไป เธอกระโดดลงไปช่วยคนขึ้นมา เขาคือชายชราซึ่งมีผมสีขาวแกมดำ
อวี๋หวั่นกดหน้าอกของเขา ชายชราสำลักน้ำออกมา
สตรีสูงวัยคนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ายังเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ ที่แท้ก็ฆ่าตัวตายหรอกหรือ”
อายุมากเช่นนี้ยังคิดฆ่าตัวตาย ต้องเจอกับเรื่องร้ายมาเป็นแน่ ผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจเขา
ไหนเลยจะรู้ว่าชายชราสูดลมหายใจเข้า แล้วด่ากราดสตรีคนนั้นว่า “เจ้าน่ะสิตาย! ไปตายทั้งบ้านเลยไป!”
สตรีสูงวัยตะลึง “จะ…จะ…เจ้าแก่ไร้สติ!”
ชายชราสวนกลับ “เจ้านั่นแหละแก่ไร้สติ!”
สตรีสูงวัยโทสะพลุ่งพล่าน!
ฝูงชนรู้สึกว่าพูดเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย ไยต้องบริภาษกันเช่นนี้?
ผู้คนซึ่งเดิมทีรู้สึกเห็นใจเขา ต่างแยกย้ายกันเดินออกไปด้วยท่าทางรังเกียจ
คนแก่ประเภทนี้ อยากตายที่ไหนก็ไปตายเถอะ!
“ข้าหิว” ชายชราเนื้อตัวเปียกปอนบอกกับอวี๋หวั่น เขาตัวสั่นเทิ้ม น้ำเสียงก็สั่นเล็กน้อย “ข้ายืนไม่ไหว จึงตกน้ำ”
อวี๋หวั่นตอบเพียง “อ้อ”
ชายชราตัวสั่นระริกด้วยความหนาว เขาถามอวี๋หวั่นว่า “มีของกินหรือไม่?”
อวี๋หวั่นหยิบขนมน้ำตาลกรอบออกมาจากกระเป๋า แกะเปลือกออกแล้วส่งให้เขา “ขนมนี้ได้หรือไม่?”
ชายชราหยิบขนมมา รีบสวาปามลงไปจนไม่เหลือให้อวี๋หวั่นแม้แต่ชิ้นเดียว “ไม่อร่อยเลย!”
อวี๋หวั่น “…”
ด้วยความยินดี
ช่างเป็นคนแก่ที่ประหลาดเหลือเกิน อวี๋หวั่นไม่อยากสนใจเขา เธอลุกขึ้นจะเดินออกไป
“เจ้าจะไปเช่นนี้รึ?” เขาเรียกอวี๋หวั่น
ฉันยังต้องรับผิดชอบอะไรคุณอีก?
ชายชรากล่าวว่า “ที่ที่ข้าอยู่ไม่ไกล เจ้าพยุงข้าไปหน่อย”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ถ้าข้าไม่พยุงท่านไปล่ะ?”
ชายชราตอบโดยมิได้หยุดคิด “ข้าก็จะบอกคนอื่นว่าเจ้าผลักข้าตกน้ำ”
อวี๋หวั่นจะบ้าตาย “…ท่านผู้เฒ่า ท่านจะมาเล่นแง่แบบนี้ไม่ได้นะ”
ชายชราประหนึ่งรู้ว่าสิ่งที่ตนทำต่อผู้มีพระคุณนั้นออกจะมากเกินไปสักหน่อย เขาหยิบถุงเงินออกมาจากอกเสื้อ แล้วหยิบกล่องกำมะหยี่ซึ่งผนึกด้วยขี้ผึ้งออกมา โยนให้อวี๋หวั่น “ให้เจ้า!”
“อะไรหรือ?”
อวี๋หวั่นแกะขี้ผึ้งออก แล้วเปิดกล่องดู “บัวหิมะเทียนซาน?”
ดอกใหญ่กว่าของเป่าจือถังเสียอีก เป็นบัวหิมะดอกเต็มและหอมกว่า หากกล่าวว่าบัวหิมะของเป่าจือถังเป็นบัวหิมะชั้นหนึ่ง บัวหิมะที่ชายชราให้มานี้ก็เป็นบัวหิมะชั้นเลิศยิ่งกว่า ถ้านำมาทำยา ย่อมต้องได้ผลดีกว่าอย่างแน่นอน!
เพื่อบัวหิมะแล้ว อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจเข้าไปพยุงชายชรา “ท่านผู้เฒ่า บ้านท่านอยู่ที่ไหนหรือ?”
……
ราตรีหนาวเหน็บดุจสายน้ำ รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนมายังหน้าเรือนอย่างเงียบเชียบ
ม่านเปิดออก เหยียนหรูอวี้ก้าวลงมาจากรถม้า
ประตูสีชาดปิดสนิท นางก้าวไปด้านหน้า ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ
กลุกกลัก
จากนั้นไม่นาน ประตูบานหนาก็เปิดออกจากด้านใน บ่าววัยรุ่นคนหนึ่งโผล่ออกมา เมื่อเห็นว่ามีแม่นางสวมผ้าคลุมหน้าและอาภรณ์ชั้นดี ความหวาดระแวงของเขาก็ลดลงไปไม่น้อย และเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
เหยียนหรูอวี้ถามอย่างอ่อนโยน “ขอถามหน่อย พ่อครัวเทพเป้าอยู่หรือไม่?”
บ่าวขมวดคิ้ว
เหยียนหรูอวี้ดูออกว่าเขาสงสัย จึงอธิบายอย่างใจเย็นว่า “แม่นางตู้บอกกับข้า ว่าพ่อครัวเทพเป้าพำนักอยู่ที่นี่”
บ่าวตกใจเล็กน้อย
เหยียนหรูอวี้จึงหยิบจดหมายซึ่งเขียนด้วยลายมือของแม่นางตู้ออกมา นี่เป็นสิ่งที่แม่นางตู้ทิ้งเอาไว้ นับว่าเป็นเรื่องสุดท้ายที่แม่นางตู้ทำให้นาง หลังจากนี้ นางและแม่นางตู้ไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อกัน
หลังจากที่บ่าวอ่านจนจบ ก็ส่งกระดาษคืนให้เหยียนหรูอวี้ “เป็นลายมือของแม่นางตู้จริงๆ แต่ว่า นายท่านบ้านข้าไม่อยู่หรอก”
เหยียนหรูอวี้ถามว่า “เช่นนั้นข้ารอเขาที่นี่ได้หรือไม่?”
“แล้วแต่ท่าน” พูดจบ บ่าวผู้นั้นก็หันหลัง ดึงบานประตูปิดทันที
เหยียนหรูอวี้ตะลึงงัน
ลี่จือซึ่งยืนอยู่ด้านหลังก็บ่นขึ้นว่า “อะไรกัน? ไม่รู้จักเชิญคุณหนูเข้าไปรอด้านในหรืออย่างไร?”
เหยียนหรูอวี้ตวัดสายตาเยียบเย็นมองนาง “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
ลี่จือก้มหน้าด้วยความขุ่นเคือง
แม่นางตู้เชิญมายากถึงเพียงนั้น เป็นถึงอาจารย์ของแม่นางตู้ ย่อมต้องมิใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติพอจะได้พบเขาเป็นแน่ แต่นางก็ยังสามารถใช้อำนาจของจวนแม่ทัพได้ ทว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นางก็คงเสียหายและกลายเป็นที่โจษจันได้
ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ มักจะมีนิสัยแปลกประหลาดและทระนงตน แต่ไม่เป็นไร เหยียนหรูอวี้มีความอดทนมากพอ
“ท่านผู้เฒ่า พวกเราเดินผ่านถนนมาสองสายแล้ว ตกลงว่าท่านอยู่ที่ไหนหรือ?”
เสียงนี้!
เหยียนหรูอวี้ตื่นตระหนก นางหันหลังไปมองในความมืด ก็เห็นอวี๋หวั่นเนื้อตัวเปียกปอน กำลังพยุงชายชราซึ่งตัวเปียกไม่ต่างกันเดินมา
เหยียนหรูอวี้นึกสงสัยว่าตนตาฝาดไปแล้วหรือไม่
มิได้ถูกคุณชายเยี่ยนลงโทษไปแล้วหรอกหรือ? จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
“มะ…แม่นางอวี๋?” เหยียนหรูอวี้ลองเรียกออกไป
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้น นัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง “เหยียนหรูอวี้?”
เจอกันถึงสองครั้งในวันเดียว เธอกับผู้หญิงคนนี้มีชะตาผูกกันหรือยังไง?
เหยียนหรูอวี้มิได้มองชายชราที่อวี๋หวั่นพยุง แล้วพูดด้วยความเหลือเชื่อว่า “จะ…เจ้าไม่ได้…”
“ข้าไม่ได้อะไร?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว
เหยียนหรูอวี้ไม่ได้พูดออกไป แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “ข้าไปที่ใดก็เจอเจ้า อย่างกับเป็นวิญญาณตามวอแวไม่เลิก! ถามจริงๆ เจ้าไปได้ยินข้อมูลอะไรมาใช่หรือไม่ จึงสะกดรอยตามข้ามา?”
“ข้าสะกดรอยตามเจ้า? มาที่นี่?” อวี๋หวั่นมองไปยังถนนอันวังเวงเส้นนี้ สองข้างล้วนเป็นเรือนเก่า แทบจะไร้เงาผู้คน เธอจะตามเหยียนหรูอวี้มาในที่แบบนี้ทำไม?
เหยียนหรูอวี้คิดว่าอวี๋หวั่นสะกดรอยตามตนมา มิเช่นนั้นคงไม่บังเอิญถึงเพียงนี้ “เจ้าตามข้ามาก็ไร้ประโยชน์ พ่อครัวเทพเป้าไม่มาพบเจ้าหรอก!”
“พ่อครัวเทพเป้า?” อวี๋หวั่นลูบคาง
บ่าวในเรือนได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก จึงเปิดประตูออกมาชะเง้อมอง แล้วรีบเปิดประตูใหญ่ออกมาทันที
เหยียนหรูอวี้คิดว่าในที่สุดพวกเขาก็จะเชิญนางเข้าไปด้านในเสียที จึงจัดอาภรณ์ด้วยความเย่อหยิ่ง ทว่านางมิได้คาดคิดเลยว่าเขาจะเดินผ่านหน้านางไป เดินลงจากบันไดไปสองสามก้าว เขาเดินไปยังเบื้องหน้าของอวี๋หวั่น แล้วโค้งคำนับชายชราซึ่งอวี๋หวั่นกำลังพยุงอยู่ “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”
……………………………………….