หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 111.1 ครอบครัวกลมเกลียว (1)
เถี่ยตั้นน้อยพาเด็กน้อยทั้งสามไปหาเพื่อนในหมู่บ้าน ผู้ยิ่งใหญ่กลับมาเยือนหมู่บ้านเล็กๆ พิธีรีตองเป็นสิ่งที่จำเป็น
คนในครอบครัวพูดคุยกันอย่างมีความสุขสักพัก ลุงใหญ่กับป้าสะใภัใหญ่ก็เข้าครัวทำอาหารกลางวัน อวี๋เซ่าชิงตามเข้าไปด้วย แต่ถูกป้าสะใภ้ใหญ่ถมึงตาขับออกมา อวี๋เซ่าชิงไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้ จึงหันไปให้อาหารม้าแทน
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดน้อย นางเจียงก็ไม่พูดมาก พวกเขาสองคนนั่งอยู่ในห้องโถง นางเจียงยิ้มกริ่มมองเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นสงสัย “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอาแต่จ้องเขา?”
นางเจียงยิ้ม “เขาดูดี”
อวี๋หวั่น “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดถึงแผนที่จะให้อวี๋เซ่าชิง นางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังถัดไป ตอนแรกอวี๋หวั่นซื้อบ้านหลังเก่าของสกุลติงเพราะราคาถูก แต่บ้านทั้งผุพังทั้งเล็ก หลังคารั่วซึม หน้าหนาวก็หนาว หน้าร้อนก็ร้อน แน่นอน เขากังวลว่าครอบครัวอวี๋หวั่นจะไม่สบายใจที่จะอาศัยอยู่ในบ้านลูกเขย เยี่ยนจิ่วเฉาหมายถึงอาศัยอยู่ชั่วคราวก่อน และรื้อบ้านหลังเก่าเพื่อสร้างใหม่ หลังจากสร้างเสร็จ บ้านทั้งสองก็จะเปิดถึงกันไม่แยกบ้านกันอีก
แม้ไม่ใช่บ้านที่อาศัยอยู่ประจำ แต่อย่างไรก็เป็นบ้าน บ้านหลังใหญ่ที่สามารถอยู่กับครอบครัวของเธอ ในก้นบึ้งหัวใจอวี๋หวั่นก็มีความสุข แต่คงทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาลำบากใจ ที่ดูเหมือนว่าแต่งงานแล้วไปอยู่บ้านภรรยาแทน…
อวี๋หวั่นฉวยโอกาสบีบฝ่ามือของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะกลัวเขาจะบอกว่าไม่สำรวมกิริยา จึงรีบปล่อยมือออกทันที
เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนวลที่ฝ่ามือ ที่พาดผ่านแล้วหายวับไปกับตา เขาหันไปมองเธอ แต่เธอกลับไปคุยกับนางเจียงเสียแล้ว
“ท่านแม่คิดอย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
นางเจียงกล่าวอย่างอ่อนโยน “แล้วแต่อาหวั่น”
ท่านพ่อของเธอก็แล้วแต่อาหวั่น เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้
อวี๋หวั่นเอ่ยกับนางเจียง ส่วนใหญ่เยี่ยนจิ่วเฉาเพียงแค่นั่งฟังเกือบตลอด ด้วยนิสัยใจคอและชาติกำเนิดของเขา ถูกตัดสินว่าเข้ากันไม่ได้กับหมู่บ้านที่ยากจนแห่งนี้ ทว่าบนใบหน้าของเขากลับไม่เห็นความทุกข์ร้อนใดๆ เด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะวิ่งมาดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเสมอ แม้จะถูกคนมุงดูก็ไม่รำคาญ กลับนั่งอย่างอดทนและสงบนิ่ง บางครั้งการปลูกฝังเรื่องแบบนี้ ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง เขาเป็นบุคคลที่น่าอับอายที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมา แต่ก็เป็นบุคคลที่ถูกปลูกฝังมาอย่างดีที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาเช่นกัน
ด้านนี่ อวี๋หวั่นกำลังพูดคุยกับครอบครัว อีกด้านหนึ่ง สกุลหลัวได้เดินทางมาถึงบ้านแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ สกุลอวี๋เชิญพวกเขามาตอนที่เริ่มสร้างบ้าน พวกเขายังไม่มา แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงมาที่นี่ด้วยตนเอง?
สกุลหลัวไม่รู้ว่าสกุลอวี๋มาอยู่บ้านน้องสามแล้ว พวกเขาเข้ามาในหมู่บ้านด้วยรถม้าและมุ่งตรงไปยังบ้านเก่าสกุลอวี๋ พวกเขาเคยมาที่หมู่บ้านเหลียนฮวา แต่ก่อนพวกเขาถูกคนบ้านนอกกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมมองดูความแปลกประหลาด สกุลหลัวจึงเตรียมพร้อมที่จะทำให้คนอื่นๆ รู้สึกอิจฉา แต่หารู้ไม่ว่าเด็กๆ ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านต่างก็เล่นสนุกกันเอง ป้าๆ และสะใภ้ต่างก็ยุ่งกับงาน กระทั่งก็ไม่ได้ลืมตามองด้วยซ้ำ
“พวก พวกเขาไม่เห็นหรือ?” กัวอวิ๋นเหนียงพึมพำ
บ้านเก่าสกุลอวี๋ไม่มีใครอยู่
ถามจากเพื่อนบ้านจึงได้รู้ว่าพวกเขาย้ายไปบ้านน้องสามแล้ว
เมื่อสกุลหลัวมาถึงบ้านน้องสาม พวกเขาเห็นบ้านหลังใหม่เอี่ยมที่ถูกสร้างขึ้นบนสันเขา กัวอวิ๋นเหนียงพึมพำอีกครั้ง “มีนายท่านคนใดย้ายเข้ามาหรือ?”
สกุลหลัวที่มาวันนี้ มีกัวอวิ๋นเหนียงกับบุตรชายคนเล็กของนาง หลัวเฉิง กัวอวิ๋นเหนียงเป็นน้องสาวของป้าสะใภ้ใหญ่และกัวต้าโย่ว ปากหวานกว่าป้าสะใภ้ใหญ่ นางแต่งงานกับพ่อค้าในเมืองหลวง ซึ่งไม่ใช่เทศมณฑลที่อยู่ใกล้เคียง แต่สำหรับผู้คนในชนบท เทศมณฑลนั้นก็เป็นสถานที่ที่ยากจะอาจเอื้อมแล้ว มิเช่นนั้นจะนั่งรถม้าได้อย่างไรละ พี่สาวและพี่ชายของนางยังไม่อาจซื้อได้แม้แต่เกวียนวัวสักคัน
รถม้ามาหยุดที่หน้าบ้านของอวี๋หวั่น
กัวอวิ๋นเหนียงออกจากรถม้าด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง นางคิดว่าตัวเองสูงส่งค้ำฟ้า แต่หารู้ไม่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นรถม้าที่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่าจอดอยู่คันหนึ่ง หลังคาทำจากทองคำ ตัวรถทำจากไม้จันทน์แดง พร้อมกับม้าเหงื่อโลหิต[1]ล้ำค่าร่างสูงใหญ่ กระทั่งทำให้ม้าล่อของบ้านนาง ตกใจกลัวจนตัวสั่นระริก…
กัวอวิ๋นเหนียงตกตะลึง นางสงสัยว่านางคงจะมาผิดที่
ทันใดนั้น สตรีผู้หนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสก็เดินออกมาจากบ้าน ไม่เข้าใจเสียจริง ว่าหมู่บ้านยากจนเช่นนี้ จะมีสตรีที่แต่งกายดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เครื่องแต่งกายนั้นมีราคาแพงกว่าผ้าแพรที่อยู่บนร่างกายของนางยิ่งนัก บนศีรษะก็ประดับปิ่นที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ รูปแบบเช่นนั้นไม่อาจหาซื้อได้ในเทศมณฑลเล็กๆ ต้องมาจากเมืองหลวงเป็นแน่
นางไม่กล้าวางมาดต่อหน้าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ พลางเดินไปด้านหน้าอย่างสงบ และถามด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม “ขอถามฮูหยิน…”
ที่นี่คือบ้านน้องสามของสกุลอวี๋หรือไม่?
ยังไม่ทันเอ่ยจบ สตรีสูงศักดิ์ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “กัวอวิ๋นเหนียง?”
เมื่อกัวอวิ๋นเหนียงได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางก็ถึงกับผงะ และมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ทะ…ท่านพี่?”
คนที่กัวอวิ๋นเหนียงคิดว่าเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ก็คือป้าสะใภ้ใหญ่ของสกุลอวี๋
ป้าสะใภัใหญ่เปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่ใบหน้าสีเหลืองที่ผ่านเรื่องราวมาเยอะซึ่งอยู่ในความทรงจำของกัวอวิ๋นเหนียง นางดูเด็กยิ่งกว่ากัวอวิ๋นเหนียงเสียอีก ลักษณะท่าทางเหนือกว่ากัวอวิ๋นเหนียงไปอีกหนึ่งขั้น ในความทรงจำของกัวอวิ๋นเหนียง พี่สาวคนโตผู้นี้มักซ่อนตัวอยู่ด้านหลังคนอื่นด้วยความรู้สึกต่ำต้อย เพราะนางดูธรรมดา ตัวใหญ่ร่างหนา กินเยอะ แก่เร็ว กัวอวิ๋นเหนียงเคยแอบล้อเลียนลับหลังว่านางเป็นหมู หมูที่ไม่อาจพาไปออกหน้าออกตาได้
แม้ในความฝัน กัวอวิ๋นเหนียงก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นด้านที่สดใสของพี่สาวคนโต ไม่ใช่เพียงเพราะเสื้อผ้าหรูหราดูดีสองสามชิ้น แต่ทั้งตัวกัวอาเซียง…ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด!
กัวอวิ๋นเหนียงตกตะลึง
“มีเรื่องอะไรหรือ?” ลุงใหญ่เดินออกไป
เพียงแค่ได้ยินเสียง กัวอวิ๋นเหนียงก็จำได้ว่าเป็นพี่เขยของนาง สายตาของนางตกกระทบกับขาที่ไม่ปัญหาใดๆ ของลุงใหญ่ นางปากอ้าตาค้าง “ขะ..ขาของพี่เขย…ไม่พิการแล้วรึ?”
ตอนนี้อวี๋เฟิงและอวี๋ซงกลับมาจากตำบลแล้ว ไก่เป็ดปลาหมูล้วนไม่ใช่ของหายากอีกต่อไป พวกเขาซื้อผักและผลไม้ตามฤดูกาล เนื้อแพะหั่นห้าจิน ขาแพะสองตัว เนื้อลาสิบจิน ห่านขาวตัวโตหนึ่งตัว และปลากุ้ยอวี๋ตัวอวบอ้วนอีกสองตัว
อาหารมีคนมาส่ง จากนั้นทั้งสองก็รีบนำตะกร้าผลไม้เข้าหมู่บ้านไปหาน้องสาว
ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ซื้อมาจากร้านขายผ้าขนาดใหญ่ในเมืองหลวง เสื้อผ้าใหม่ราคาสูงเสียดฟ้า จากคำกล่าวของป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าผู้มีความเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้อยู่ดี มิอาจทำให้อวี๋หวั่นต้องขายหน้า ไม่ว่าแพงแค่ไหนก็ต้องซื้อ!
ทั้งสองเป็นเด็กหนุ่มน่ารักที่หาได้ยากในพื้นที่แถบนี้ อีกทั้งยังติดต่อกับคนอย่างนายท่านฉินและผู้จัดการชุย ได้เห็นโลกกว้าง กลิ่นอายของความต๊อกต๋อยและเด็กกะโปโลก็ค่อยๆ สลายไปจากร่างกายของพวกเขา บวกกับเสื้อผ้าที่ดูดีเหล่านี้ ก็ดูราวกับเป็นสองพี่น้องคุณชายจากสกุลใหญ่โตเสียจริง!
กัวอวิ๋นเหนียงพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
“เข้ามานั่งเถิด” ป้าสะใภัใหญ่กล่าว อาหวั่นกลับมาบ้าน นางไม่อยากสร้างปัญหาให้น่าเกลียดเกินไป
กัวอวิ๋นเหนียงพาหลัวเฉิงเข้ามาในบ้าน
บ้านยังทรุดโทรมถึงเพียงนี้ คงไม่ใช่ว่าปลอมแต่เปลือกหรอกนะ?
ความคิดนี้ทำให้กัวอวิ๋นเหนียงรู้สึกดีขึ้น
ตั้งแต่เด็กจนโต พี่สาวคนนี้เป็นสิ่งที่เสริมราศีให้นางมาตลอด นางเป็นเมฆบนท้องฟ้า พี่สาวเป็นโคลนใต้เท้า คุ้นเคยกับท่าทีที่ต่ำต้อย ดังนั้นจึงไม่อาจยอมรับได้เมื่อนางปีนขึ้นมาถึงหัว
ป้าสะใภ้ใหญ้ไม่อยากให้แม่ลูกกัวอวิ๋นเหนียงแปดเปื้อนสายตาของเขยคนใหม่ จึงให้อวี๋หวั่นพาเยี่ยนจิ่วเฉากลับห้อง อวี๋หวั่นไม่อยากอยู่ในห้อง จึงพาเยี่ยนจิ่วเฉาออกไปที่สวนหลังบ้านแทน
ลุงใหญ่และพี่ชายทั้งสองไปที่ห้องครัว นางเจียงก็ไปช่วยเช่นกัน
ห้องโถงที่มีชีวิตชีวากลับว่างเปล่าขึ้นทันตา
ทันใดนั้นกัวอวิ๋นเหนียงที่ถูกทอดทิ้ง ดูราวกับคนโง่เขลาเล็กน้อย
หลัวเฉิงบุตรชายคนเล็กไม่อาจอดกลั้นความโกรธ มีสีหน้าราวกับคนถูกขับไล่
กัวอวิ๋นเหนียงไม่ลืมว่าตนมาที่นี่เพื่ออะไร นางยิ้มและหันไปทางป้าสะใภ้ใหญ่ “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าอาหวั่นแต่งงานแล้ว ไยท่านไม่บอกเรื่องใหญ่เช่นนี้กับข้าเล่า?”
ป้าสะใภ้ใหญ่เย้ยหยัน “เอ๊ ไม่ใช่เพราะข้ากระมัง ครอบครัวเรายังเชิญเจ้าน้อยไปอีกหรือ? กัวอวิ๋นเหนียง เจ้าตอบมาสิ ว่าเจ้ามากี่ครั้ง? ครั้งก่อนเริ่มสร้างบ้าน ข้าไม่ได้ให้คนไปส่งข่าวรึ? เจ้ามาหรือไม่ละ?”
กัวอวิ๋นเหนียงไม่รู้จะไปต่ออย่างไร สกุลอวี๋จัดงานเลี้ยง เหตุผลในการขี้เกียจของนาง คือหนึ่งระยะทางที่ห่างไกล สองสกุลอวี๋ยากจน ไปมาหาสู่ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งใช้จ่ายเงินไป คราก่อนละเลยเพียงนั้นทำเอาป้าสะใภ้ใหญ่เสียหน้า หากเปลี่ยนเป็นนาง นางจะต้องจดจำป้าสะใภัใหญ่ไปชั่วชีวิต เพียงแต่ป้าสะใภัใหญ่มักจะเป็นคนที่ถูกย่ำยีเสมอ กัวอวิ๋นเหนียงคิดว่า แม้ว่านางจะทำให้พี่สาวคนโตขุ่นเคือง แต่พี่สาวคนโตก็ยังจะให้อภัยนางอย่างไม่มีเงื่อนไข
กัวอวิ๋นเหนียงขายผ้าเอาหน้ารอด “ไม่ใช่เพราะข้าได้ยินคำพูดเพ้อเจ้อจากพี่ชายและพี่สะใภ้ จึงเข้าใจผิดว่าท่านพี่ไม่ต้องการติดต่อกับเราแล้วหรอกหรือ?”
…………………………………..
[1] ม้าเหงื่อโลหิต 汗血马 เป็นม้าสายพันธุ์หนึ่ง ตามตำนานกล่าวกันว่าม้าพันธุ์ดังกล่าว ยามที่ออกวิ่ง บริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมา เป็นสีแดงสดคล้ายเลือด