หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 12.2 จดจำได้ (2)
“เจ้าจะไม่ปลอบใจข้าหน่อยหรือ?” พ่อครัวเทพเป้ากล่าวด้วยความขุ่นเคือง พลางมองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งไม่รู้สึกสะทกสะท้านอันใด
อวี๋หวั่น “เอ่อ…”
พูดมาเสียยาวเหยียด ที่แท้ระบายความในใจเช่นนี้ ก็เพราะอยากให้ปลอบหรอกหรือ?
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร
“พ่อครัวเทพเป้า” อวี๋หวั่นเค้นสมองอย่างหนัก แล้วถอนหายใจเบาๆ “ที่จริงแล้วคนที่สูญเสียคนในครอบครัวไปไม่ได้มีแค่ท่าน ท่านพ่อข้าเขาก็…ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของปู่ข้า เขาพรากจากครอบครัวตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าคนที่บ้านไม่ต้องการเขา หรือว่าเพราะเหตุผลอื่น แต่สรุปว่าตอนนี้พ่อข้าก็โตแล้ว มีลูกสองคนแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองคือใคร”
“หึ! ลูกข้าอายุสองเดือนก็หายไปแล้ว”
“พ่อข้าก็ถูกเก็บมาตอนที่ยังอยู่ในห่อผ้าเหมือนกัน”
“ลูกข้าขาดสารอาหาร อ่อนแอมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่”
“พ่อข้าก็ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนกัน! ท่านลุงใหญ่บอกว่า พ่อข้าป่วยบ่อย เกือบจะเลี้ยงไม่โตแล้ว!”
“นายท่านกับแม่นางท่านนั้นเล่า?” บ่าวหนุ่มยกจานขนมซึ่งเพิ่งทำเสร็จมา พร้อมกับเอ่ยถามน้องสาว
สาวใช้ชี้ไปยังห้องหนังสือ “อยู่ด้านใน กำลังแข่งว่าใครน่าเวทนากว่ากันอยู่”
บ่าวหนุ่ม “…”
“ข้าๆๆ …ลูกชายข้าน่าสงสารกว่าพ่อเจ้า!”
“ใครบอกกัน? พ่อข้าไปออกรบ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้! ตอนที่เขาไป ท่านแม่ข้ายังท้องอยู่เลย เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีลูก!”
พ่อครัวเทพเป้าสู้ไม่ได้จึงหยุดพูด
บ่าวหนุ่มใช้โอกาสนี้นำขนมเข้าไปวาง ไม่กล้ามองใบหน้าอันโมโหโกรธาของเจ้านายบ้านตน แล้วค่อยๆ ย่องออกไป
อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบขนมมันม่วงขึ้นมาค่อยๆ กิน
พ่อครัวเทพเป้าโกรธตาเขียว เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม หยิบขนมมันม่วงขึ้นมาแล้วกัดด้วยความขุ่นเคือง
คนหนึ่งนิ่งสงบ อีกคนเคลื่อนไหว คนหนึ่งกินช้า อีกคนหนึ่งกินเร็ว กินได้เพียงครึ่งเดียว ก็คล้ายกับจะนึกอะไรบางอย่างออกพร้อมกัน พวกเขาหยุดขนมในมือ แล้วมองไปยังอีกฝ่าย
“พ่อเจ้าอายุเท่าไหร่?”
“ลูกชายท่านอายุเท่าไหร่?”
ทั้งคู่เอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน
“สามสิบสี่?”
“สามสิบห้า!”
ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน
อวี๋หวั่นเคยชินกับการนับอายุแบบโลกปัจจุบัน แต่พ่อครัวเทพเป้ายังใช้การนับอายุแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด คำตอบก็เหมือนกัน
อวี๋หวั่นพูดต่อ “พ่อข้าถูกเก็บได้ในฤดูใบไม้ผลิ”
พ่อครัวเทพเป้าพูดว่า “ลูกข้าเกิดเดือนหนึ่ง”
เกิดเดือนหนึ่ง หายไปตอนอายุสองเดือน บังเอิญว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิจริงด้วย
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ “คะ…คงไม่ได้บังเอิญขนาดนั้นหรอก?”
พ่อครัวเทพเป้าพยายามรักษาความเยือกเย็น ทว่าตัวของเขาสั่นเล็กน้อย “ตอนที่…ตอนที่พ่อเจ้าถูกเก็บมา ในห่อผ้ามีของอะไรหรือ?”
“ตำราอาหารเล่มหนึ่ง” อวี๋หวั่นตอบ
พ่อครัวเทพเป้าตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขายกมือสั่นๆ ขึ้นมา “ตะ…ตอนที่ลูกชายข้าหายตัวไป ตำราอาหาร…ก็หายไปด้วย…”
แม้แต่เรื่องนี้ก็ตรงกัน…ที่แท้ลูกชายที่หายตัวไปของพ่อครัวเทพเป้าก็คือพ่อของเธอหรือ?
พ่อของเธอไม่ได้ถูกคนที่บ้านทอดทิ้ง คนที่บ้านตามหาเขามาตลอด ตามหาไปสุดหล้าฟ้าเขียว ตามหาจนแก่เฒ่าก็ยังไม่หยุดตามหา…
“ระ…รีบ…รีบพาข้าไปหาพ่อเจ้าเร็ว…” พ่อครัวเทพเป้ากล่าวอย่างร้อนรน
อวี๋หวั่นพยายามใจเย็น “พ่อครัวเทพเป้า พ่อข้าไปรบ”
พ่อครัวเทพเป้าชะงัก ประหนึ่งมีน้ำเย็นทั้งกะละมังราดรดลงมา
อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “แต่ว่าตำราอาหารเล่มนั้นยังอยู่ ท่านแค่เห็นตำราเล่มนั้น ก็น่าจะรู้แล้วว่าพ่อข้าเป็นลูกชายของท่านจริงหรือไม่”
จะรีบตัดสินตอนนี้ก็ออกจะเร็วไปสักหน่อย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตำราอาหาร หากของสิ่งนั้นยังตรงกันอีก ก็นับว่าเรื่องนี้คลี่คลายแล้ว
พ่อครัวเทพเป้าตามหามานานหลายปี ไม่เคยพบผู้ใดที่มีลักษณะตรงกับลูกชายของเขาทุกประการ คนที่มีลักษณะตรงกัน กลับมีตำราที่ไม่ตรงกับเล่มที่หายไป ดังนั้นสิ่งที่อวี๋หวั่นพูดจึงนับว่าถูกต้อง บัดนี้จะดีใจก็ออกจะเร็วไปสักหน่อย
“มีคนแสร้งเป็นลูกชายของท่านหรือ?” อวี๋หวั่นถามหยั่งเชิง
พ่อครัวเทพเป้าเงียบ ไม่เพียงแค่มี ทว่ามีจำนวนมาก วันนี้ก็มีหนึ่งคน เขารู้ว่าแปดเก้าส่วนล้วนโกหก
“จะมาหลอกลวงข้า ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก” พ่อครัวเทพเป้ากล่าวอย่างขึงขัง
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าก็หวังว่าข้าคงไม่ได้หาญาติผิดคนให้เขา”
……
อวี๋หวั่นกล่าวลาพ่อครัวเทพเป้า แล้วกลับมายังถนนฉีหลิน
ไป๋ถังเดินอยู่กับอวี๋เฟิงครู่หนึ่ง เมื่อหันมาแล้วไม่พบอวี๋หวั่น ก็ตื่นตกใจจนต้องตามหาให้วุ่น อวี๋หวั่นมาพบกับทั้งคู่ข้างสระน้ำ
“ไอ้หยา เจ้านี่นะ…” ไป๋ถังหายใจหอบ
“เจ้าหายไปไหนมา?” อวี๋เฟิงถามด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษ
อวี๋หวั่นตอบตามความจริง “เมื่อครู่ข้าเจอพ่อครัวเทพเป้า”
“อะไร? ใครนะ?” ปฏิกิริยาตอบสนองของไป๋ถังเมื่อได้ยินชื่อนี้รวดเร็วกว่าอวี๋เฟิงมาก สมกับที่ทำกิจการภัตตาคาร
“พ่อครัวเทพเป้า” อวี๋หวั่นตอบ
ไป๋ถังพูดต่อว่า “พ่อ…พ่อครัวเทพเป้าแห่งหอเทียนเซียง?”
อวี๋หวั่น “อื้ม”
ไป๋ถังตะลึงจนอ้าปากค้าง
อวี๋หวั่นมิได้เห็นไป๋ถังเป็นคนนอก ดังนั้นจึงเล่าเรื่องที่พบกับพ่อครัวเทพเป้าให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด เพียงแต่ละเรื่องที่ตนเจอกับเหยียนหรูอวี้ ไม่ใช่เพราะเล่าไม่ได้ แต่เป็นเพราะขี้เกียจเล่าต่างหาก
“อา…พ่อเจ้า…พ่อเจ้าคือลูกชายของพ่อครัวเทพเป้า?” เป็นครั้งแรกที่ไป๋ถึงได้ยินอวี๋หวั่นบอกว่าพ่อของเธอไม่ใช่ลูกในไส้ของนายท่านอวี๋ ข้อมูลนี้ออกจะหนักอึ้งเกินไปสักหน่อย ที่หนักไปกว่านั้นคือพ่อของพ่อของอวี๋หวั่น ที่แท้ก็คือพ่อครัวเทพเป้าซึ่งพวกเขาทาบทามแล้วทาบทามอีกแต่ก็ไม่เป็นผล คุณหนูไป๋ผู้ซึ่งมีปฏิภาณไหวพริบ บัดนี้ได้พูดจาติดอ่างเป็นที่เรียบร้อย
ปฏิกิริยาตอบสนองของอวี๋เฟิงก็มิได้ดีไปกว่านางเท่าไรนัก ต่อให้รู้ว่าอาสามไม่ใช่คนสกุลอวี๋โดยกำเนิด แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะเป็นคนสกุลเป้ากันเล่า…
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ในตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป…เรื่องทั้งหมด ต้องรอให้พ่อครัวเทพเป้ามาดูหลักฐานแล้วค่อยว่ากัน”
ไป๋ถังกล่าวว่า “แต่ถ้าเขาเป็นปู่ของเจ้าจริง เจ้าก็จะได้รับมรดกจากเขา”
มรดกของพ่อครัวเทพเป้า เป็นสิ่งที่ผู้คนต่างอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ เด็กคนนี้โชคดีเกินไปแล้ว!
ไป๋ถังก็รู้สึกริษยาเล็กน้อย
…………….
ลุงใหญ่หลับจนถึงกลางดึก อวี๋เฟิงเล่าเรื่องของพ่อครัวเทพเป้าให้พวกลุงใหญ่ฟัง ลุงใหญ่ตกใจจนนอนไม่หลับไปอีกครึ่งค่อนคืน แม้แต่เรื่องที่ตนอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงดูไม่ละม้ายคล้ายกับโรงเตี๊ยมก็ลืมถามไปเสียสนิท
เมื่อฟ้าสาง ลุงใหญ่ก็เร่งเร้าให้อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงพากลับหมู่บ้าน
“อะไรนะ? เจอครอบครัวของน้องสามแล้วหรือ?” ณ บ้านเดิม ป้าสะใภ้ใหญ่ซึ่งได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากลุงใหญ่ ก็ตะลึงงันจนตาโต
“ครอบครัวของอาสามยังอยู่อีกรึ?” อวี๋ซงเลิกคิ้ว
ป้าสะใภ้ใหญ่ตบด้านหลังศีรษะบุตรชาย!
ป้าสะใภ้ใหญ่พูดว่า “เรื่องนี้ต้องบอกน้องสะใภ้หรือไม่เล่า?”
ลุงใหญ่จึงบอกกับป้าสะใภ้ใหญ่ว่า “อาหวั่นบอกแม่นางแล้ว ตอนนี้ก็ยังยืนยันไม่ได้ อีกครู่เขาจะมา พวกเจ้าก็อย่ากลัวเขาแล้วกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ รถม้าของพ่อครัวเทพเป้าก็เคลื่อนมาถึงหน้าบ้าน ป้าสะใภ้ใหญ่วางมือจากงานที่กำลังทำ แล้วไปชงชา ทอดขนม ทำเล่าปิ่ง[1] เนื้อพะโล้สองสามจิน อาหารทั้งหมดล้วนแต่ถูกนำมาจัดวางลงบนโต๊ะจนเต็มประหนึ่งเป็นอาหารเย็นในคืนส่งท้ายปี
แน่นอนว่าก็เพื่อเฉลิมฉลองที่รู้ว่าน้องสามมิได้ถูกทอดทิ้ง แล้วก็เพื่ออีกฝ่ายที่ลำบากลำบนตามหาน้องสามมานาน
แต่เพื่อที่จะลดความยุ่งยาก ลุงใหญ่ก็มิได้ป่าวประกาศออกไปว่าอีกฝ่ายคือพ่อครัวเทวดาผู้มีชื่อเสียงระบือไกล ป้าสะใภ้ใหญ่และอวี๋ซงจึงคิดว่าเขาเป็นเพียงชายชราทั่วไป
ป้าสะใภ้ใหญ่เชื้อเชิญพ่อครัวเทพเป้าเข้าบ้าน แล้วพูดกับบุตรสาวว่า “นี่คือท่านปู่เป้า”
เจินเจินร้อง ‘โอ้’ แล้วหยิบขนมที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งจากปากออกมา “ท่านปู่ กิน”
เถี่ยตั้นน้อยก็มาแล้วเช่นกัน เมื่อเขาเข้ามา ก็เห็นว่ามีชายชราผมสีดอกเลานั่งอยู่ “ป้าสะใภ้ใหญ่ บ้านเรามีแขกมาหรือ?”
เขาเดินไปเบื้องหน้าของพ่อครัวเทพเป้า แล้วพูดอย่างรู้มารยาทว่า “สวัสดีขอรับท่านปู่ ข้าชื่อเถี่ยตั้นน้อย!”
พ่อครัวเทพเป้ามองเจินเจิน แล้วก็มองไปยังเถี่ยตั้น สีหน้าตกใจอยู่บ้าง
เมื่ออวี๋หวั่นพยุงนางเจียงเข้ามา ลุงใหญ่ก็หยิบตำราอาหารออกมาพอดี “ผู้อาวุโสเป้า ท่านดูว่าใช่เล่มนี้หรือไม่”
สองแม่ลูกหยุดฝีเท้าลง สายตามองไปยังพ่อครัวเทพเป้าพร้อมกัน
พ่อครัวเทพเป้าสูดหายใจเข้าลึกๆ มือสั่นเทิ้มค่อยๆ เปิดตำราเล่มนั้น
………………………………………….
[1] เล่าปิ่ง ขนมจำพวกแป้ง ทำจากแป้งสาลี มีลักษณะเป็นแผ่นคล้ายโรตี