หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 123 พี่จิ่วปกป้องภรรยา
เรือนชิงเฟิงไฟไหม้ ทั้งยังมิได้ไม่น้อยๆ ห้องด้านหลังไหม้ไปครึ่งหนึ่ง ห้องด้านหลังล้วนแต่เป็นที่พักของบ่าว แต่บ่าวก็คือคน อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉารีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเรียกลุงวั่นมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ลุงวั่นเห็นสีหน้าของคุณชายก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว คิดในใจว่าไฟไหม้ตอนไหนไม่ไหม้ ดันมาไหม้ในค่ำคืนอันแสนพิเศษของคุณชายและฮูหยินน้อย เขาเป็นขันทียังรู้เลยว่าเรื่องพรรค์นี้ บุรุษนั้นยากที่จะอดกลั้นไว้ได้
เขากัดฟันกล่าวออกไปว่า “ห้องด้านหลังไม่รู้ว่าไฟไหม้ได้อย่างไร ข้ากำลังจะไปสืบหาต้นเพลิง”
“ดับไฟก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ลุงวั่นเอ่ย
เยี่ยนจิ่วเฉามองตามลุงวั่นไปด้วยสายตาเย็นเยียบ ลุงวั่นปาดเหงื่อ ไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายเช่นนี้มาหลายปีแล้ว หากเกิดเรื่องแบบนี้อีก เกรงว่าเขาคงจะรักษาตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
เรือนชิงเฟิงวุ่นวายกันยกใหญ่
ไฟครั้งนี้มิได้ลามมาถึงห้องด้านหน้าและห้องปีก ทว่ากลิ่นควันไฟที่พวยพุ่งทำให้แสบจมูกเหลือเกิน นอกจากนั้นแล้วอวี๋หวั่นก็ยังกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน อวี๋หวั่นจึงให้แม่นมอุ้มเด็กๆ ซึ่งกำลังหลับสบายไปพักที่เรือนเล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
เธอเข็นเก้าอี้ของเยี่ยนจิ่วเฉาออกมาข้างนอก แล้วสอบถามสาวใช้ที่หนีออกมาได้
เถาเอ๋อร์เป็นคนแรกที่พบว่าไฟไหม้ นางตกใจกลัว ตอนนี้นั่งร้องไห้ โดยมีหลีเอ๋อร์คอยปลอบ
ซูมู่ จื่อซู และปั้นซย่ายืนตกใจอยู่ด้านข้าง พวกนางล้วนแต่รีบหนีออกมา จึงไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมเพียงชุดนอนบางๆ ก็เท่านั้น อวี๋หวั่นจึงให้คนไปนำชุดคลุมไปให้พวกนางใส่
ส่วนฝูหลิงรุดรีบไปช่วยดับไฟทันที นางยกน้ำสองถังอย่างง่ายดาย วิ่งอย่างรวดเร็วจนทิ้งห่างจากเหล่าบ่าวชายด้านหลัง
“เจ้ารู้ว่าไฟไหม้ได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นถามเถาเอ๋อร์
เถาเอ๋อร์ร่ำไห้ด้วยความกลัว “ซูมู่รู้เป็นคนแรกเจ้าค่ะ นางปลุกข้า…บอกว่าด้านหลังเหมือนมีบางอย่างไหม้… ข้าจึงเปิดหน้าต่างดู…ก็เห็นไฟไหม้สูง…”
“เจ้าไม่ได้นอนหรือ?” อวี๋หวั่นถามซูมู่
ซูมู่ส่ายหน้า “เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เช่นนี้ ข้านอนไม่หลับ”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
แสงเพลิงโชติช่วง ส่องสว่างท้องฟ้าเหนือจวนคุณชาย คืนนี้ลมแรง ควันหนาปกคลุมไปครึ่งค่อนจวน อวี๋หวั่นค้อมกาย แกะผ้าคลุมของตนแล้วคลุมให้เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องหน้าเธอ
เธอผูกเชือกของผ้าคลุมไปพลางพูดว่า “ข้าไม่หนาว”
เหล่าสาวใช้ต่างอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ คุณชายและฮูหยินรักกันเหลือเกิน ที่เรียกกันว่าคู่ข้าวใหม่ปลามันก็คงเป็นพวกเขาสินะ เมื่อคิดแล้ว ฮูหยินมีชาติกำเนิดที่ไม่สูง แต่โชคเช่นนี้มิใช่ว่าสตรีทุกคนจะมีได้
สายตาของซูมู่จับจ้องอยู่ที่ทั้งสอง สายตาของทั้งสองคู่มีเพียงกันและกัน ราวกับไม่มีผู้ใดแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้
ซูมู่เบือนสายตาไปทางอื่น
พวกเขาสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ต้นเพลิงก็สืบจนรู้แล้ว เป็นเพราะสาวใช้สองคนซึ่งเฝ้าประตูด้านหลังเรือนต้มเหล้ากินในห้องข้างประตู ทว่าในตอนนั้นประตูทั้งสองบานเปิดเอาไว้ ลมแรงพัดพาสะเก็ดไฟไป ทั้งสองมิได้สนใจ คิดเพียงว่าสะเก็ดไฟลอยไปประเดี๋ยวก็คงมอด ไหนเลยจะรู้ว่าสะเก็ดไฟจะลอยไปตกที่กองฟืนของห้องด้านหลัง กองฟืนมีหญ้าแห้ง สะเก็ดไฟเพียงน้อยนิดก็เป็นต้นเพลิงได้
กว่าทั้งสองจะรู้ตัว ไฟจากกองฟืนก็ลุกไหม้แล้ว และเมื่อลมแรง ไฟก็ลุกลามไปห้องด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“มีใครได้รับบาดเจ็บไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ลุงวั่นตอบว่า “มีองครักษ์ที่ไฟลวกแขนขณะดับไฟ บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ”
สาวใช้ทั้งสองถูกเยี่ยนจิ่วเฉาเรียกตัวมา จวนคุณชายไม่มีวันรับบ่าวเช่นนี้เอาไว้อีกแล้ว
เรือนชิงเฟิงถูกเก็บกวาดจนเสร็จในครึ่งคืน ห้องด้านหลังไหม้ไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งยังอยู่รอดปลอดภัย กระนั้นสาวใช้ล้วนแต่อยู่ในภาวะตื่นตระหนก เกรงว่าเมื่อเข้าไปในห้องตอนนี้ก็คงมิอาจข่มตานอน อวี๋หวั่นจึงให้พวกนางเข้าไปอยู่ในห้องปีกที่ด้านหน้า นอนกันห้องละสามคนดังเดิม
เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ทั้งสองก็หมดอารมณ์ อวี๋หวั่นลากสังขารอันอ่อนแรงไปล้มตัวลงนอนข้างเยี่ยนจิ่วเฉา คิ้วโก่งของเขาก็เผยความเหน็ดเหนื่อยให้เห็น อวี๋หวั่นยกมือขึ้นมาลูบมือของเขาเบาๆ “นอนเถอะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมือของเธอเอาไว้
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ เยี่ยนจิ่วเฉาก็หลับตาลง
……
อวี๋หวั่นนอนหลับเต็มอิ่ม ลืมตาตื่นขึ้นมาก็สายแล้ว เมื่อขยับตัวก็พบว่ามือของเธอถูกฝ่ามือใหญ่กอบกุมเอาไว้ เธอ เลิกผ้าห่มออก ผู้ชายคนนี้จับมือของเธอไว้ทั้งคืนเลยหรือ?
อวี๋หวั่นดึงมือออก แต่กลับดึงไม่ออก
จับไว้แน่นเหลือเกิน
จะว่าไป เขาเคยชินกับการตื่นเช้า หาได้ยากมากที่จะนอนเพลินและตื่นพร้อมเธอ
อวี๋หวั่นจับมือเขาแน่นเช่นกัน เธอนอนตะแคงมองเขา สายตาไปหยุดที่หูแดงระเรื่อของเขา แล้วหยอกเย้าว่า “เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านตื่นแล้วใช่ไหม?”
ขนตาของเยี่ยนจิ่วเฉาไหวเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
อวี๋หวั่นลอบบ่นในใจว่าสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม ทำไมประทานใบหน้าเช่นนี้ให้ผู้ชาย ที่บอกว่าตื่นมาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้ามันแผล็บอะไรเทือกนั้น…เขาไม่ยักจะเคยมี ใบหน้าของเขาขาวใสเนียนนุ่ม ราวกับเป็นเทพเซียนลงมาเกิด
อวี๋หวั่นเม้มปาก ขยับเข้าไปใกล้เขา แล้วกระซิบว่า “เยี่ยนจิ่วเฉา ทำไมท่านถึงจับมือข้าเอาไว้? ท่านชอบข้ามากจนถอนตัวไม่ขึ้นใช่ไหม?”
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องหน้าเธอเขม็ง ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ดึงผ้าห่มออก
อวี๋หวั่นมองไป จึงเห็นว่ากระดุมเสื้อของเขาไม่ได้ติดอยู่
เอ…
เธอคงไม่ได้เป็นคนปลดหรอกมั้ง…
อวี๋หวั่นกระแอมเล็กน้อย “งั้น…งั้นข้าก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นกับท่านใช่ไหม?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า!”
หลับไปแล้วยังคิดไม่ซื่อ มือยังไปลูบๆ คลำๆ เขาอีก
อวี๋หวั่นหน้าแดง
นั่นมัน…นั่นมันน่ากระอักกระอ่วนเกินไปแล้ว แต่ว่าเธอหลับไปแล้ว เธอไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นนี่ ใช่ไหม?
อวี๋หวั่นดึงมือกลับมา แต่ก็ยังคงไม่หลุด
“ข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” เธอพูด
เยี่ยนจิ่วเฉาปล่อยมืออย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
อวี๋หวั่นลุกขึ้นนั่ง แล้วติดกระดุมเสื้อที่ตนเองปลดไว้ ช่วงที่เขาล้มป่วย ร่างกายซูบผอมกว่าปีที่แล้วอยู่บ้าง ทว่ายังคงมีกล้ามเนื้อแน่น เห็นได้ชัดเจน
เขาต้องแอบออกกำลังกายอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่หุ่นดีขนาดนี้ อวี๋หวั่นคิดในใจ
เมื่อติดกระดุมเสื้อให้เขาเรียบร้อยแล้ว อวี๋หวั่นก็ผูกผ้าคาดเอวให้เขา ทันทีที่เธอจับผ้า เยี่ยนจิ่วเฉาก็ยื่นมือมา “ข้าทำเอง”
“โอ้” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว มองเขาอย่างมีเลศนัย “ที่จริงข้าก็เห็นหมดแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาอยากจะมุดหน้าหนีจริงๆ!
อวี๋หวั่นเข้ามากระซิบเย้าหยอกข้างหู “ที่ท่านตื่นแต่เช้าทุกวัน ก็เพราะกลัวข้าเห็นใช่ไหม?”
เยี่ยนจิ่วเฉาหูแดงกว่าเดิมเสียอีก
อวี๋หวั่นคิดในใจว่านี่เป็นเรื่องธรรมดามาก สามีของเธอรู้สึกเขินอายเพราะเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของอวี๋หวั่นจึงแอบรู้สึกดีใจ
“เยี่ยนจิ่วเฉา ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยแตะต้องสตรีเลยหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นสุขบนความทุกข์ของข้าหรืออย่างไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่เคยจริงด้วย” อวี๋หวั่นลอบยิ้มมุมปาก ดีจังเลย ผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ เป็นของเธอทั้งตัวและหัวใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาผูกผ้าคาดเอว แล้วใช้มือพยุงตนเองขึ้นนั่ง
สองนิ้วของอวี๋หวั่นไต่ไปบนเตียง ไต่ไปจนถึงขาของเขา ไต่ไปไต่มา…ก็ถูกเขาจับไว้
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “รู้แล้วๆ ไม่ทำตอนกลางวันก็ได้”
……
แม้จะตื่นสาย แต่อวี๋หวั่นก็ไม่รู้สึกหิวเท่าไร จึงนั่งกินโจ๊กฟักทองเป็นเพื่อนเยี่ยนจิ่วเฉา กินไปได้ครึ่งชามก็กินไม่ลง เยี่ยนจิ่วเฉายังคงชอบกินเปรี้ยวเป็นชีวิตจิตใจดังเคย กินหัวผักกาดดองไปสองสามจาน อวี๋หวั่นกลัวเหลือเกินว่าเขาจะท้องเสีย
หลังจากกินอาหารเช้า พ่อบ้านจากจวนสกุลเซียวก็มาที่จวน เขาแซ่เซียวเช่นกัน เป็นคนสนิทของเซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยน
อวี๋หวั่นเคยพบเขาที่หมู่บ้านเหลียนฮวา และแน่นอนว่าเขาก็เคยพบอวี๋หวั่น แต่เขาจำเธอไม่ได้
แม้รูปร่างหน้าตาของอวี๋หวั่นตอนอยู่ในหมู่บ้านจะนับว่างดงามโดดเด่น แต่ก็มิได้ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้เฉกเช่นตอนนี้ ดูสูงส่งราวกับกลับมาเกิดใหม่ก็มิปาน
“ฮูหยิน” พ่อบ้านคำนับครั้งหนึ่ง
อวี๋หวั่นกล่าวทักทายด้วยความเกรงอกเกรงใจ “พ่อบ้านเซียวไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด”
พ่อบ้านเซียวนั่งลง “อิงเถาที่ฮูหยินส่งไปให้ นายท่านและฮูหยินได้ชิมแล้ว ชื่นชอบมาก บอกว่าลูกใหญ่และหวานกว่าของวังหลวงเสียอีก ข้าก็ได้ลองชิมไปบ้าง อร่อยจริงๆ”
อวี๋หวั่นยิ้มแล้วตอบว่า “ที่จวนยังมีอยู่ ประเดี๋ยวพ่อบ้านเซียวนำกลับไปอีกสักหน่อย”
พ่อบ้านเซียวรีบตอบว่า “ไม่ต้องหรอกขอรับ ที่จวนสกุลเซียวยังกินไม่หมด วันนี้ฮูหยินให้ข้ามา เพราะอยากรู้ว่าสุขภาพของคุณชายเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เขากำลังถามเธออยู่ว่าถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาหรือยัง อวี๋หวั่นไหนเลยจะไปกล้าบอกเขา ทั้งสองแต่งงานกันมานานถึงเพียงนี้แต่กลับได้ร่วมหอกันเพียงสองครั้ง ครั้งแรกมีเพียงเธอที่กินอิ่ม ครั้งที่สองแม้แต่เธอก็ยังไม่ทันได้กินด้วยซ้ำ
“ร่างกายข้าแข็งแรงดี เจ้าบอกนางว่าไม่ต้องกังวลไป”
เยี่ยนจิ่วเฉาเข็นเก้าอี้มีล้อเข้ามา
พ่อบ้านเซียวรีบยืนขึ้นมา “คุณชาย”
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปหา แล้วรับเก้าอี้ของเยี่ยนจิ่วเฉา เข็นรถเขาเข้ามา “ท่านมาทำไมหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่มาแล้วเจ้าจะตอบเขาว่าอย่างไร?”
สิ่งที่แม่สามีกังวลก็คงไม่พ้นทั้งสองเข้าหอกันแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะเพื่อถอนคำสาปก็ดี สืบทอดวงศ์ตระกูลก็ดี แต่งงานกันมานานแต่ยังมิได้หลับนอนกัน หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปจะไม่ดีนัก
อวี๋หวั่นเข้าใจเหตุผลของนาง แต่ว่าเธอไม่ใส่ใจเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าการที่เธอไม่ใส่ใจ ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่ใส่ใจเหมือนกัน
เยี่ยนจิ่วเฉาทำสีหน้าจริงจัง “เจ้าบอกนางว่าไม่ต้องแทรกแซงเรื่องของข้า ข้ารู้ว่าข้าควรทำอย่างไร”
“เอ่อ…ขอรับ เข้าใจแล้วขอรับ” พ่อบ้านเซียวตอบ นายน้อยปกป้องฮูหยินถึงเพียงนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่มีปัญหา กลับไปเขาก็เพียงใช้คำพูดให้ดีสักหน่อย เพื่อให้ฮูหยินสบายใจ
“จริงสิขอรับ” เมื่อนึกเรื่องหนึ่งได้ พ่อบ้านก็เอ่ยขึ้น “ฮูหยินบอกว่านางคิดถึงคุณชายน้อย ให้ข้ารับคุณชายน้อยไปค้างด้วยสามสี่วัน ฮูหยินยังบอกอีกว่า คุณชายกับฮูหยินเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามัน มีเด็กๆ อยู่ด้วยคงไม่สะดวก”
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่า “ไม่ต้องหรอก จวนนี้กว้างขวางนัก จะไม่มีคนดูแลเด็กๆ เลยหรือ?”
อวี๋หวั่นเข้าใจได้ทันที เยี่ยนจิ่วเฉายังคงติดใจเรื่องที่ซั่งกวนเยี่ยนปล่อยให้เหยียนหรูอวี้พาเด็กๆ ไป ครั้งนั้นทำเด็กทั้งสามตกใจกลัวแทบแย่ เหยียนหรูอวี้เกือบโยนเสี่ยวเป่าลงน้ำ จวบจนทุกวันนี้เสี่ยวเป่าก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สระน้ำ อาบน้ำก็ใช้กะละมังหรือถังน้ำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะร้องไห้งอแง
เมื่อพ่อบ้านเซียวถูกปฏิเสธทางอ้อมหลายครั้ง เขาก็ยกของขวัญที่ซั่งกวนเยี่ยนนำมาให้แล้ว แล้วลุกขึ้นกล่าวอำลา
พ่อบ้านเซียวคาดคิดเอาไว้แล้วว่าคุณชายเจรจาด้วยไม่ง่าย ดังนั้นจึงมาหาฮูหยินเพียงคนเดียว เดิมทีคิดว่าฮูหยินจะคุยด้วยง่าย ไหนเลยจะรู้ว่าคุณชายกลับไม่วางใจ และตามเข้ามาเช่นนี้
พ่อบ้านเซียวส่ายหน้า แล้วกลับจวนไปอย่างจนปัญญา
อวี๋หวั่นค้อมกายลงเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเยี่ยนจิ่วเฉา เธอยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านมากนะ เยี่ยนจิ่วเฉา”
“เจ้าดีใจมากรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยความแปลกใจ
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ท่านรักข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็ต้องดีใจสิ”
“เรื่องเล็กแค่นี้ก็ต้องดีใจด้วยรึ!” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วจึงเข็นเก้าอี้ออกไปด้วยตนเอง
อวี๋หวั่นมองตามหลังเขาออกไป รอยยิ้มวาดผ่านใบหน้าของเธอ
……
วันนี้ต้องเรียนกับวั่นมามา ก่อนคาบเรียนเธอจึงต้องแบ่งงานของสาวใช้ที่มาใหม่
ลุงวั่นรีบหาคนมา นอกจากเพราะว่าอวี๋หวั่นต้องการสาวใช้ที่มีพละกำลังมากแล้ว ฝางมามาซึ่งประจำที่เรือนชิงเฟิงกำลังจะลากลับบ้านเกิด ลุงวั่นต้องการเลือกสาวใช้ที่มีแรงมาช่วยพ่อบ้านจัดการเรื่องต่างๆ
เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ตัวเล็กเกินไป ทางที่ดีจึงควรเลือกระหว่างฝูหลิง จื่อซู ปั้นซย่าและซูมู่
จื่อซูเคยเป็นคุณหนูสกุลใหญ่มาก่อน นางเป็นคนที่รู้งานมากที่สุด ปั้นซย่ารับใช้นางมาหลายปี ย่อมมีประสบการณ์ ทว่าคนที่หนักแน่นมากที่สุดเห็นจะเป็นซูมู่
ซูมู่มีความคล้ายคลึงกับอวี๋หวั่น มิใช่ด้วยรูปร่างหน้าตา หากแต่เพราะนางค่อนข้างเย็นชา และดูไม่ธรรมดาจนสามัญเกินไป
อวี๋หวั่นขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เลือกระหว่างซูมู่และจื่อซูก็แล้วกัน ฝางมามาจะอยู่ถึงเมื่อไหร่หรือ?”
“ถึงสิ้นเดือนนี้” ลุงวั่นตอบ
“งั้นก็อีกไม่กี่วันแล้ว” อวี๋หวั่นพูด
ไม่มีเวลาค่อยๆ คิดแล้วสิ
“จื่อซูก็แล้วกัน” อวี๋หวั่นบอก
ลุงวั่นตกใจ “เหตุใดไม่ใช่แม่นางซู?”
นั่นสิ ทำไมไม่ใช่ซูมู่? เมื่อคืน คนแรกที่เห็นว่าไฟไหม้ก็คือนาง นางสร้างความดีความชอบเอาไว้ เธอก็ควรจะให้ความสำคัญกับนางถึงจะถูก
“แม่นางจื่อซูอารมณ์เสียง่าย” ลุงวั่นเตือน
“จื่อซูนั่นแหละ” อวี๋หวั่นตอบ
ลุงวั่นชอบแม่นางซูมากกว่า ในความคิดของเขา แม่นางซูหนักแน่น อารมณ์ไม่แปรปรวน แม่นางจื่อซูดีก็จริงแต่ยังมีความเย่อหยิ่ง ทว่าในเมื่อฮูหยินตัดสินใจไปแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเตือนเท่านั้น
…………………………………………..