หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 124 พี่จิ่วกินอิ่ม
เรื่องที่จื่อซูได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งจวนภายในเวลาอันรวดเร็ว
ปั้นซย่าเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามาในห้อง แล้วบอกกับจื่อซูซึ่งกำลังจัดของอยู่ว่า “ยินดีด้วยเจ้าค่ะคุณหนู เพิ่งจะเข้ามาในจวนก็ได้เป็นหัวหน้าสาวใช้แล้ว”
หัวหน้าสาวใช้ของจวนคุณชายเชียวนะ มีหน้ามีตากว่าสาวทั่วไปไม่รู้เท่าไร
จื่อซูกลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต้น้อย นางปัดเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “มีอะไรน่ายินดีหรือ? หัวหน้าสาวใช้ก็คือสาวใช้ อย่างไร ก็ยังเป็นบ่าว อีกอย่าง หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนูแล้ว ตอนนี้ข้าก็เป็นสาวใช้เหมือนกับเจ้า”
ปั้นซย่ารู้ดีว่าคุณหนูบ้านตนยังคิดไม่ตกเรื่องตกเป็นนักโทษเพราะความผิด นางไม่รู้ว่าจะปลอบคุณหนูอย่างไรดี นางไม่กล้าพูดอะไรต่อ บรรยากาศในห้องจึงเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
ทันใดนั้นจื่อซูก็เอ่ยขึ้นว่า “จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว”
ปั้นซย่าพูดว่า “ข้าจะไปยกอาหาร…”
“ข้าไปเอง!” ฝูหลิงที่เพิ่งเข้ามาได้ยินว่ามีอาหารต้องไปยก จึงสาวเท้ารีบออกไป
แน่นอนว่าสาวใช้ห้องอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกันว่าจื่อซูได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ การได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ของจวนคุณชายนั้นมิได้หมายความว่าสถานะจะสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เงินเดือนก็จะมากขึ้นเป็นเท่าตัว เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์อายุยังน้อย ยังไม่รู้สึกอิจฉาริษยา และไม่ได้รู้สึกว่าการที่จื่อซูซึ่งเข้ามาหลังพวกนาง แต่ข้ามหน้าข้ามตาพวกนางนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ทว่าหากเลือกได้ พวกนางก็ชอบซูมู่มากกว่า
ซูมู่พูดน้อย แต่เป็นคนจริงจัง ขยันขันแข็ง และไม่เย่อหยิ่ง เมื่อเช้าพวกนางออกไปล้างหน้าบ้วนปาก เมื่อกลับมาก็พบว่าซูมู่เก็บกวาดห้องจนสะอาด อาหารเช้าก็ไปยกมาให้พวกนางเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้ข้าคุยกับจื่อซู นางไม่สนใจข้าเลย” เถาเอ๋อร์นั่งอยู่ที่ขอบเตียง กระซิบกระซาบกับหลีเอ๋อร์ซึ่งกำลังเย็บกางเกงอยู่
หลีเอ๋อร์กางเกงขาด นางไม่ได้ถอดออก แต่กลับเย็บขณะที่กำลังสวมอยู่ ใช้เวลาเย็บนานโขก็ยังเย็บไม่สำเร็จ ซูมู่จึงเดินไปหา “ข้าทำให้”
ซูมู่ได้ยินคำพูดของเถาเอ๋อร์ แต่นางไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้มหน้าก้มตาเย็บกางเกงให้หลีเอ๋อร์
หลีเอ๋อร์บอกกับเถาเอ๋อร์ว่า “เจ้าพูดเบาหน่อย ระวังนางได้ยินเข้า”
เถาเอ๋อร์ตกใจจนหันไปมองที่ปากประตู เมื่อประตูห้องปิดอยู่ นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ ได้ จึงถามซูมู่ที่อยู่ตรงหน้าว่า “ท่านพี่ซู ท่านกับนางเข้าจวนมาพร้อมกัน ก่อนหน้านี้ที่หอซือเยวี่ย นางก็ไม่สนใครเช่นนี้หรือ?”
ซูมู่ชะงักไป นางกัดปลายด้ายแล้วพูดว่า “ข้ากับนางไม่ค่อยได้คุยกัน นางอยู่ห้องเดียวกับปั้นซย่า ข้ากับฝูหลิงก็แยกกันอยู่คนละห้อง”
ความหมายโดยนัยก็คือนางก็ไม่ค่อยรู้จักจื่อซู
หลีเอ๋อร์พูดว่า “เมื่อวานฮูหยินบอกไม่ใช่หรือว่าเมื่อก่อนนางเคยเป็นคุณหนูจากตระกูลข้าราชการ จะเอาแต่ใจสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”
กางเกงเย็บเสร็จแล้ว ซูมู่ส่งเข็มคืนให้หลีเอ๋อร์ “ข้าจะไปยกอาหาร”
เถาเอ๋อร์มองตามหลังซูมู่ซึ่งเดินออกจากห้องไป นางยิ้มพลางคล้องแขนของหลีเอ๋อร์ “พี่ซูดีเหลือเกิน!”
อาหารการกินที่จวนคุณชายนั้นดีเหลือเกิน วันนี้มีอาหารสามชนิด น้ำแกงอีกหนึ่ง ได้แก่ซี่โครงน้ำแดง เนื้อสามชั้นตุ๋นผักกาดขาว ผักจี้ผัด น้ำแกงถั่วเขียว เถาเอ๋อร์คีบซี่โครงน้ำแดงให้หลีเอ๋อร์หนึ่งชิ้น จากนั้นก็คีบให้ซูมู่อีกหนึ่งชิ้น
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังกินข้าวอยู่นั้น ก็มีเสียงดังสนั่นคล้ายกับของตกดังมาจากห้องข้างๆ หลังจากนั้นก็มีเสียงของปั้นซย่ากรีดร้อง “ว้ายยย ฝูหลิง!”
ฝูหลิงเกิดเรื่องแล้ว นางไปยกอาหารในห้องครัวใหญ่มา เพิ่งวางชามลงบนโต๊ะ ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด แล้วล้มลงไปกับพื้น
ห้องของพวกนางอยู่ห่างจากห้องโถงใหญ่ไม่มาก อวี๋หวั่นกำลังกินข้าวกับบุรุษทั้งสี่ เธอเพิ่งแกะกุ้งให้เสี่ยวเป่า ยังไม่ทันได้ป้อนเข้าปาก ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
เสี่ยวเป่าอ้าปาก หมายจะเข้าไปงับกุ้งในมือของอวี๋หวั่น
“เกิดอะไรขึ้น?” อวี๋หวั่นชะงักไป
เสี่ยวเป่าชะเง้ออยู่นานก็ยังไม่ได้กินกุ้งสักที
อวี๋หวั่นไม่ทันได้ตั้งสติ จึงป้อนกุ้งเข้าปากต้าเป่า
ต้าเป่าที่ถูกป้อนกุ้งไปแล้วสามครั้ง “…”
เสี่ยวเป่าน้ำตารื้น
อวี๋หวั่นรีบไปยังห้องของพวกปั้นซย่า ทว่าในตอนที่เธอไปถึงนั้น ฝูหลิงก็ไม่เป็นไรแล้ว นางนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตักข้าวคำโตเข้าปาก ในห้องเต็มไปด้วยบรรดาสาวใช้ที่มามุงดูเหตุการณ์ พวกนางล้วนแต่คำนับอวี๋หวั่นครั้งหนึ่ง
“เมื่อครู่ทำไมถึงเอะอะเสียงดัง?” อวี๋หวั่นถามปั้นซย่า เธอจำเสียงของนางได้
ปั้นซย่าก้มหน้า “ฝูหลิงเป็นลมไป บ่าวตกใจกลัวเจ้าค่ะ…แต่ว่าซูมู่ช่วยแล้ว ซูมู่บอกว่าฝูหลิงหิวข้าว จึงเอาข้าวของนางให้ฝูหลิงกิน”
อวี๋หวั่นจับชีพจรฝูหลิง ชีพจรของนางไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ว่าถึงกับหิวข้าวจนเป็นลมไป ก็หมายความว่านางไม่ได้อดเพียงมื้อสองมื้อ ที่หอซือเยวี่ยนางคงไม่ได้กินอะไร เมื่อคืนเข้าจวนมาก็ต้องช่วยดับเพลิง จึงหมดเรี่ยวหมดแรง
ฝูหลิงตอบอย่างลังเล “ข้า…ข้ากินไม่เยอะ…”
เจ้านายคนก่อนหน้าล้วนแต่ไล่นางออกเพราะนางกินเยอะ จวนคุณชายนี้ดีเหลือเกิน นางไม่อยากถูกไล่ออก
“เจ้ากินได้กี่ชาม?” อวี๋หวั่นถาม
“ก็…หนึ่ง…หนึ่งชามครึ่ง…สองชาม” ฝูหลิงนับนิ้วอย่างอ่อนแรง เมื่อเห็นอวี๋หวั่นมองตาอย่างไม่ค่อยเชื่อ นางจึงก้มหน้า “สาม…อืม…อืม…”
นางพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนี้ก็ทำมือเป็นจำนวนตัวเลขพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ
อวี๋หวั่นบอกกับหลีเอ๋อร์ว่า “ไปตักข้าวมาสิบชาม ตักกับข้าวมาสำหรับสิบคน”
“…จะ…เจ้าค่ะ!” หลีเอ๋อร์เดินออกไปด้วยความตกตะลึง
“ซูมู่ เจ้ามากับข้า” อวี๋หวั่นเรียกซูมู่ออกไป
บ่าวคนอื่นไม่กล้าตามไป แต่เดากันว่าซูมู่มีความดีความชอบ ฮูหยินต้องตบรางวัลนางเป็นแน่
“เจ้าชื่อซูมู่จริงหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม “มู่ (木)ในคำว่ามู่โถว(木头)น่ะหรือ? ”
ซูมู่หลุบตาลง “คำว่ามู่(莯)ในมู่เฉ่า(莯草)เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ใช้ชื่อเดิม” อวี๋หวั่นบอก
“ขอบคุณฮูหยิน” ซูมู่คำนับครั้งหนึ่ง
“อีกเรื่องหนึ่ง” อวี๋หวั่นมองนางพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องเอาข้าวของเจ้าให้ฝูหลิง จวนคุณชายไม่ได้ถึงกับดูแลสาวใช้คนเดียวไม่ไหว หลังจากนี้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
“บ่าวจะจำไว้เจ้าค่ะ” ซูมู่ตอบด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
อวี๋หวั่นกลับห้องไปกินข้าวต่อ ซูมู่ยังคงทำท่าคำนับจนอวี๋หวั่นเดินออกไป แล้วนางค่อยเดินกลับห้อง
เถาเอ๋อร์รีบเข้าไปหา “พี่ซู ฮูหยินให้รางวัลท่านหรือเปล่า?”
“เปล่า” ซูมู่ส่ายหน้า
เถาเอ๋อร์ผิดหวัง “อ๋า? ท่านมีความดีความชอบตั้งสองครั้ง เหตุใดฮูหยินไม่ให้รางวัลท่านบ้างนะ? ข้ายังคิดเสียอีกว่าท่านจะได้เป็นหัวหน้าสาวใช้เหมือนพี่จื่อซู”
“กินข้าวเถอะ” ซูมู่บอก
……
อวี๋หวั่นตื่นสาย เธอจึงไม่ได้กินอาหารกลางวัน และตรงดิ่งไปยังหลันฟางเก๋อเพื่อเรียนกับวั่นมามา
คาบเรียนในวันนี้ยังคงเกี่ยวกับการวางตัว ท่าทางการยืน นั่ง เดิน และคุกเข่า แต่ละท่าอวี๋หวั่นซ้อมมากกว่าหนึ่งร้อยรอบจนขาแข็งไปหมด ในที่สุดวั่นมามาก็พึงพอใจ
หลังเลิกเรียน อวี๋หวั่นพาสาวใช้สองคนไปเก็บอิงเถาในสวนผลไม้
อวี๋หวั่นกินอิงเถาสดจนเบื่อแล้ว เธอจึงทำขนมอิงเถากรอบ ห้องครัวใหญ่อยู่ข้างสวนผลไม้ อวี๋หวั่นจึงนำวัตถุดิบไปที่นั่นทันที
“ฮูหยินมาแล้วหรือขอรับ” พ่อครัวหลูกล่าวทักทายพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาเป็นพ่อครัวใหญ่ของจวนคุณชาย ในตอนที่อวี๋หวั่นเข้าครัวครั้งแรก เขาตกใจแทบแย่ บัดนี้เขาคุ้นเคยแล้ว “วันนี้ฮูหยินจะทำอะไรหรือ?”
“ข้าอยากทำขนมอิงเถากรอบ” อวี๋หวั่นบอก
วิธีทำขนมอิงเถากรอบซับซ้อนกว่าขนมซานจามาก ต้องนำอิงเถาสดไปล้าง นำเมล็ดออก แล้วบดเนื้อจนละเอียด แล้วจึงนำน้ำมันหมูไปละลาย ผสมกับน้ำตาล น้ำอุ่น ไข่แดง เทลงในแป้ง นวดจนเข้ากันประมาณครึ่งชั่วยาม จากนั้นแบ่งแป้งสองส่วน ผสมกับน้ำและน้ำมัน หลังจากที่ทำแป้งส่วนที่ผสมกับน้ำให้แบนแล้วจึงห่อด้วยส่วนที่ผสมกับน้ำมัน บีบให้เป็นรูปดอกไม้ จากนั้นจึงนำไปทอดในน้ำมัน
คนทั่วไปอาจไม่มีความอดทนมากถึงเพียงนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจทำจริงหรือเสแสร้งเพียงเพื่อเอาใจคุณชาย พ่อครัวหลูย่อมมองออก ฮูหยินท่านนี้จริงจังกับการเข้าครัวทำอาหารเหลือเกิน เรียกว่าคลั่งไคล้ก็คงได้ พ่อบ้านหลูไม่เคยเห็นผู้ใดชื่นชอบการทำอาหารมากเพียงนี้มาก่อน ถึงแม้นางจะไม่มีพรสวรรค์แม้แต่น้อยก็เถอะ
อวี๋หวั่นนำขนมอิงเถากรอบกลับไปยังเรือนชิงเฟิง
เด็กๆ กินอาหารกลางวันไปไม่มาก ตอนนี้พวกเขาคงจะหิวแล้ว คนอื่นป้อนให้กินพวกเขามักโยเย เมื่ออวี๋หวั่นคิดได้เช่นนี้ จึงเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเดินข้ามประตูวงพระจันทร์มา ก็เห็นว่าเด็กน้อยทั้งสามนั่งอยู่บนม้านั่งหินอย่างว่าง่าย มือเล็กวางอยู่บนตัก อ้าปากรออาหาร
ซูมู่ถือจาน ค่อยๆ ป้อนขนมพวกเขา
สายลมพัดอย่างแผ่วเบา พัดผ่านเส้นผมดำขลับ อาภรณ์พลิ้วไหว นางดูงดงามดังอิสตรี เยือกเย็นดุจสายน้ำ
น้อยครั้งที่อวี๋หวั่นจะตกตะลึงกับความงามของผู้หญิง ครั้งนี้ต้องยอมรับว่าซูมู่มีพลังบางอย่างที่ทำให้คนต้องตกตะลึง
“กินอีกหรือไม่เจ้าคะ?” ซูมู่ป้อนขนมไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงเอ่ยถามเด็กน้อยทั้งสาม
เด็กทั้งสามทำตาโต พยักหน้าหงึกๆ
มุมปากของซูมู่ยกขึ้น แล้วใช้ช้อนตักขนมซึ่งหอมหวานนุ่มลิ้นป้อนเด็กทั้งสาม
ทั้งสามเคี้ยวขนมแก้มป่อง ดูไปก็คล้ายกับลูกกระรอกสามตัว
แต่ไหนแต่ไรมาเด็กๆ ไม่เคยเชื่อฟังคนนอกเช่นนี้ ซูมู่เป็นคนแรก แม้แต่เด็กๆ ยังชอบนาง นางคงจะเป็นคนที่ดีมากๆ ก็เป็นได้
ซูมู่หันมาเห็นอวี๋หวั่นยืนอยู่ที่ประตูวงพระจันทร์ ก็ลุกขึ้น แล้วคำนับอย่างนอบน้อม
คนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ลุกขึ้นเช่นกัน
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในศาลา ลูบศีรษะน้อยๆ ของเด็กๆ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อร่อยไหม?”
เด็กทั้งสามพยักหน้าหงึกๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าว
“เจ้าทำเองหรือ?” อวี๋หวั่นถามซูมู่ รูปลักษณ์ภายนอกของขนมนี้ดูด้อยไปสักหน่อย ไม่ยักคล้ายกับเป็นขนมที่พ่อครัวของจวนคุณชายทำ
ซูมู่ก้มหน้า
นางหลี่ซึ่งเป็นแม่นมของเสี่ยวเป่ายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในครัวเล็กทำขนมเกาลัด คุณชายน้อยไม่ชอบกิน เป็นแม่นางซูที่คิดหาวิธีได้ จึงนำน้ำอิงเถามาราดเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่อวี๋หวั่นแต่งเข้ามาในจวนคุณชาย ก็ควบคุมปริมาณน้ำตาลในอาหารของเด็กน้อยทั้งสามอย่างเคร่งครัด ขนมเกาลัดคงจะไม่หวานพอ แต่เมื่อราดน้ำอิงเถาซึ่งมีรสหวานอมเปรี้ยวลงไป จะทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้นมาก
“ทำได้ดี” อวี๋หวั่นบอก
“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ ฮูหยิน” ซูมู่ก้มหน้า
แม้จะมีฐานะที่ต่ำกว่า แต่ท่าทางของนางกลับไม่ได้ถ่อมตัวนัก อวี๋หวั่นรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้เหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าเคยพบเห็นที่ไหน
ในเมื่อลูกๆ กินขนมไปแล้ว อวี๋หวั่นก็จะไม่บังคับให้พวกเขากินอีก จึงเดินถือขนมอิงเถากรอบไปยังห้องหนังสือของเยี่ยนจิ่วเฉา
ณ ห้องหนังสือ
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบขนมชิ้นสุดท้ายในจานขึ้นมา ขนมราดด้วยน้ำอิงเถารสหวานอมเปรี้ยว ถูกปากเขาเหลือเกิน เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมากินอีกทีละชิ้นๆ สุดท้ายกินหมดจานเสียอย่างนั้น
อิ่งลิ่วกำลังรายงานข่าวสารล่าสุดกับเยี่ยนจิ่วเฉา “คุณชาย ราชทูตจากอาณาจักรหนานจ้าวกำลังจะมาถึงแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘โอ้’ แล้วพูดต่อ “พวกเขามาทำไม?”
อิ่งลิ่วตอบว่า “ได้ยินว่ามาร่วมงานแต่งงานของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนูขอรับ”
อันที่จริงงานแต่งงานของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนูออกจะฉุกละหุกไปสักหน่อย กระนั้นองค์ชายรองแห่งซยงหนูก็ต้องอยู่จนผ่านพ้นงานแต่งงานจบจึงจะกลับซยงหนู เขาไม่อาจรั้งอยู่ที่ต้าโจวต่อไปได้อีก แต่ก็เป็นเพราะความฉุกละหุก จึงทำให้ส่งเทียบเชิญไปยังดินแดนโดยรอบไม่ทัน ทว่าอาณาจักรหนานจ้าวกลับมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง
“ข่าวสารของพวกเขารวดเร็วนัก” เยี่ยนจิ่วเฉาค่อนแคะ เขากินขนมชิ้นสุดท้ายไปแล้ว ยังรู้สึกอยากกินอีก ทว่าท้องกลับอิ่มเสียแล้ว
อิ่งสือซันครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหมายความว่า…พวกเขาไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีหรือ?”
“หรือว่าจะมาตามหาราชันสัตว์พิษ?” อิ่งลิ่วถาม
ราชันสัตว์พิษยังคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรหนานจ้าว เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หายไป พวกเขาก็ย่อมต้องออกตามหาเป็นธรรมดา อาณาจักรหนานจ้าวปิดข้อมูลได้เป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะอวี้จื่อกุยพูดออกมา พวกเขาคงไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรหนานจ้าวหายไป
ได้ยินว่าในตอนนั้นอาณาจักรหนานจ้าวลงทุนไปมหาศาล เพื่อที่จะตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ ส่วนรายละเอียดว่าพวกเขาจ่ายไปด้วยสิ่งใดนั้น พวกเขาไม่อาจตามสืบได้แล้ว กระนั้นก็มีข้อมูลมาว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตี้จีแห่งหนานจ้าว ไม่รู้ว่าเป็นตี้จีองค์เล็กผู้เป็นดาวล้อมเดือน หรือว่าจะเป็นตี้จีองค์โตซึ่งถูกทอดทิ้งตั้งแต่เยาว์วัย
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดของอาณาจักรหนานจ้าวต่างก็บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ การหายไปของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีผลอย่างมากต่อราชวงศ์หนานจ้าว พวกเขาจึงต้องการที่จะนำมันกลับไป
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “เช่นนั้นฮูหยิน…”
เอ่ยถึงเฉาเชา เฉาเชาก็มา
อวี๋หวั่นถือกล่องอาหารเข้ามา
“ฮูหยิน” อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วต่างคำนับครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่
อวี๋หวั่นมองสองคนที่ออกไป แล้วมองไปยังเก้าอี้มีล้อของเยี่ยนจิ่วเฉา “ข้ามาขัดการสนทนาของพวกท่านหรือเปล่า?”
“เปล่า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ สายตาไปหยุดที่กล่องอาหาร “ทำอาหารหรือ?”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นจานซึ่งมีขนมเกาลัดและน้ำอิงเถาเหลืออยู่เล็กน้อย “ท่านก็กินแล้วหรือ?”
กินหมดแล้วด้วย
เขานี่แหละ ที่กินยากยิ่งกว่าเด็กน้อยทั้งสามคน
“อร่อยไหม?” อวี๋หวั่นถาม
“พอกินได้” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ ขนมเกาลัดไม่มีรสชาติ แต่เมื่อราดด้วยน้ำอิงเถาแล้วอร่อยยิ่งนัก
อุตส่าห์ตั้งใจทำตั้งนาน ปรากฏว่าทั้งสี่คนกลับกินอิ่มแล้ว
เฮ้อ รู้สึกผิดหวังเหมือนกันแฮะ
……………………………………