หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 125 อดีตของนางเจียง (1)
อวี๋หวั่นตัดสินใจนำขนมไปส่งให้อวี๋ซง เดิมทีอวี๋หวั่นทำไว้ให้อวี๋ซงแล้วหนึ่งส่วน คิดไว้ว่าจะใส่อิงเถาสดไปด้วย และให้บ่าวนำไปส่งให้ แต่ตอนนี้เธอกลับอยากไปด้วยตนเอง
สารถีรถม้าคือเจียงเสี่ยวอู่และเจียงไห่
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับภารกิจสำคัญของจวน เจียงเสี่ยวอู่รู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดเป็นน้ำไหลไฟดับไปตลอดทาง คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนให้เจียงไห่ฟัง ด้วยเหตุนี้อวี๋หวั่นจึงรู้ว่าเจียงไห่ไม่ใช่คนเมืองหลวง เจียงไห่เงียบกว่าเจียงเสี่ยวอู่ เจียงเสี่ยวอู่พูดไปห้าประโยค เจียงเสี่ยวอู่พูดไปได้เพียงประโยคเดียว
หากเป็นเมื่อก่อน อวี๋หวั่นก็คงอดรู้สึกรำคาญไม่ได้ แต่เมื่อมีเถี่ยตั้นน้อยจอมเจื้อยแจ้วมาทำให้หูของอวี๋หวั่นไม่ได้พัก เธอจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเจียงเสี่ยวอู่พอสมควร
สำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนอยู่ห่างจากจวนคุณชาย แต่ก็ไม่นับว่าไกล หากรถม้าวิ่งเร็วสักหน่อยจะใช้เวลาประมาณสองเค่อ แต่อวี๋หวั่นอยากซื้อชุดเขียนหนังสือให้เถี่ยตั้นน้อย จึงให้เจียงเสี่ยวอู่บังคับรถม้าไปยังถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่ง
ขณะที่รถม้าเลี้ยวเข้าไปในตรอก ก็มีเงาสีฟ้าพุ่งเข้ามาหยุดรถม้าเอาไว้ ผู้มาเยือนถือกระบี่ยาว ดูน่าเกรงขาม ราวกับเป็นพยัคฆ์ขวางถนน ทันใดนั้นเอง เจียงไห่ซึ่งนั่งอยู่ข้างเจียงเสี่ยวอู่ก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ กำปั้นข้างหนึ่งพุ่งเข้าใส่ศีรษะของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายตวัดกระปี่หมายฟาดฟันกำปั้นที่พุ่งมายังตน เจียงไห่ยื่นอีกมือหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วอ้อมผ่านกระบี่ไปยังแขนของเขา
กำปั้นของเจียงไห่มีพลังมหาศาล เห็นได้ชัดว่าเล็งเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย อีกฝ่ายยื่นมือมาสกัด ทั้งสองประมือกัน จนต่างคนต่างกระเด็นถอยหลังไปสิบกว่าก้าว
“ฮูฮูฮูฮู…ฮูหยินน้อยท่านอย่าออกมาขอรับ!” เจียงเสี่ยวอู่กลัวจนหน้าซีดเผือด ใจนึกอยากกางแขนออกมาบังตัวรถเอาไว้ น่าเสียดายที่ร่างกายไม่ยอมทำตาม จึงยื่นมือออกมาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ดูแล้วน่าหัวร่อยิ่งนัก
อวี๋หวั่นแง้มม่านดู
ให้ตายเถอะ อวี้จื่อกุยตามมารังควานไม่เลิกราสักที
ดูแล้วอาการบาดเจ็บของอวี้จื่อกุยไม่ได้เป็นอุปสรรคแล้ว บาดเจ็บหนักขนาดนั้น อวี๋หวั่นยังคิดว่าเขาคงไปตายที่ไหนสักแห่งแล้ว ไม่คิดเลยว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันเขาก็กลับมาเป็นปกติ สมแล้วที่เป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า
แต่ว่า มือกระบี่อันดับหนึ่งก็ไม่ยักจะได้เปรียบเมื่อประมือกับสารถีรถม้าของเธอ
อวี้จื่อกุยเคลื่อนไหวได้เฉียบขาดหมายเอาชีวิต เจียงไห่ก็มิได้ด้อยกว่ากัน อวี้จื่อกุยใช้กระบี่ เจียงไห่ใช้มือเปล่า แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สู้กันได้อย่างสูสี
อวี้จื่อกุยเห็นว่าเจียงไห่ไม่มีทางถอยง่ายๆ จึงหันไปอีกทางเพื่อหลอกล่อเขา ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าไปคว้าเจียงเสี่ยวอู่เอาไว้
“มารดามัน——”
อวี้จื่อกุยจ่อปลายประบี่เข้าที่คอของเจียงเสี่ยวอู่
“หยุดเดี๋ยวนี้!” อวี๋หวั่นเปิดม่านออก
อวี้จื่อกุยและเจียงไห่หยุดมือพร้อมกัน
อวี๋หวั่นบอกกับเจียงไห่ว่า “พาเจียงเสี่ยวอู่ออกไป กันปากตรอกเอาไว้ ถ้าข้าไม่ได้สั่ง ห้ามใครเข้ามาใกล้”
“ขอรับ” เจียงไห่ตอบรับ เขาเดินไปหยุดตรงหน้าอวี้จื่อกุยด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ในตอนนี้อวี้จื่อกุยสามารถใช้โอกาสนี้โจมตีเขากลับได้ กระนั้นเขาก็ยังเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
อวี้จื่อกุยเพ่งพินิจเจียงไห่อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มิได้โจมตีเขาแต่อย่างใด และโยนเจียงเสี่ยวอู่ให้เขา
เจียงไห่พาร่างอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงของเจียงเสี่ยวอู่ออกไปที่ปากตรอก
ในตรอกร้างผู้คน อวี๋หวั่นนั่งอยู่บนรถม้า มองไปยังอวี๋จื่อกุยซึ่งยืนอยู่ด้านนอก ห่างออกไปสิบก้าวเห็นจะได้ เธอพูดกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือว่าอย่าได้มาให้ข้าเห็นหน้าอีก?”
อวี้จื่อกุยยกกระบี่ขึ้นชี้อวี๋หวั่นพร้อมกับเดินเข้ามา
เจียงไห่กำหมัดแน่น
อวี้จื่อกุยหยุดฝีเท้าลงเมื่อเขาอยู่ห่างจากอวี๋หวั่นประมาณสามก้าว เขามองอวี๋หวั่น “ราชันสัตว์พิษอยู่ที่เจ้าใช่หรือไม่?”
ผู้ชายคนนี้รู้เข้าจนได้
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าเอาอะไรมาบอกว่าเป็นข้า?”
อวี้จื่อกุยนัยน์ตากระตุกวูบ “เพราะเจ้ามีเลือดพลังหยินเข้มข้นอย่างไรเล่า!”
อวี๋หวั่นรู้ดีว่าวันนั้นตนถามมากเกินไป ในตอนนั้นอวี้จื่อกุยกำลังโกรธจนหน้ามืดตามัว แต่เมื่อใจเย็นลงแล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าหมอชาวจงหยวนจะรู้เรื่องของหนอนพิษมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
เพียงแต่อวี๋หวั่นไม่คิดว่าเขาจะเดาออกว่าเธอมีเลือดพลังหยินเข้มข้น
บนสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ ก็คงจะไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใด อวี๋หวั่นเลิกคิ้วเล็กน้อย “แล้วอย่างไร? เจ้ายังอยากจะนำของกลับไปอีกหรือ? อย่าหาว่าข้าไม่เตือน เจ้ายังสู้สารถีรถม้าของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
อวี้จื่อกุยนัยน์ตาเย็นเยียบ “ใครบอกว่าข้าสู้ไม่ได้!”
เพียงแต่เอาชนะได้ไม่ง่ายก็เท่านั้น แต่หากอวี๋หวั่นวางแผนโจมตีเขาอีก เขาก็ไม่มีโอกาสชนะ
อวี้จื่อกุยจึงยอมแพ้ที่จะใช้กำลังต่อสู้ เขาถอนหายใจ กล่าวว่า “มันไม่ใช่ของที่เจ้าสามารถครอบครองได้ ข้าอยากให้เจ้ารู้ ราษฎรเดิมทีไร้ความผิด แต่ผิดเมื่อครอบครองหยก หากไม่อยากนำหายนะมาสู่ตนก็จงคืนของนั่นมาให้ข้า”
อวี๋หวั่นมองไปยังอวี๋จื่อกุยอย่างปราศจากความร้อนรน เธอไม่ได้คิดว่าจะเชื่อเขาตั้งแต่แรก
อวี้จื่อกุยขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดว่าข้าจะทำร้ายเจ้าจริงหรือ?”
อวี๋หวั่นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พูดอย่างกับว่าเจ้าไม่เคยทำร้ายข้า”
อวี้จื่อกุยชะงักไป “เจ้าไม่พูดเรื่องในอดีตได้หรือไม่เล่า?”
อวี๋หวั่นพูดต่อ “แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเป็นผลที่เกิดจากเหตุการณ์ในอดีต เจ้านึกอยากให้ของข้าก็ให้ นึกอยากมาเอาคืนก็มา เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร?”
ความหวาดกลัวพาดผ่านดวงตาของอวี้จื่อกุย เขาอยากให้อวี๋หวั่นรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าราชันสัตว์พิษคืออะไร?”
“คืออะไร?” อวี๋หวั่นถามโดยมิได้เกรงกลัว
อวี้จื่อกุยตอบว่า “เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรหนานจ้าว” วิชาพิษเป็นที่เลื่องลือในหนานเจียง คนอาณาจักรหนานจ้าวทั้งหมด ตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงชาวบ้านทั่วไปต่างก็ให้ความสำคัญกับราชันสัตว์พิษเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินเยี่ยนจิ่วเฉาพูดถึง อวี๋หวั่นมองไปยังอวี้จื่อกุยด้วยความสงสัย
“เจ้าต้องเชื่อข้า” อวี้จื่อกุยบอก “เจ้าคงรู้เกี่ยวกับที่มาของราชันสัตว์พิษสินะ?”
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่รู้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราชันสัตว์พิษคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
“เดิมทีราชันสัตว์พิษเป็นของเผ่าปีศาจแห่งหนานเจียง ราชาเผ่าปีศาจมอบให้กับอาณาจักรหนานเจ้าเพื่อเป็นสินสอดสำหรับแต่งพระธิดาของฮ่องเต้หนานจ้าว”
“เจ้าหมายถึงประมุขหญิงของหนานจ้าวหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“ไม่ใช่” อวี้จื่อกุยส่ายหน้า “เป็นตี้จีองค์โตคนที่ถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งแต่เด็ก”
“แล้วนางยินยอมแต่งงานหรือ?” อวี๋หวั่นรู้สึกแปลกใจว่าตนเองถามคำถามเช่นนี้ไปทำไม คนที่ไม่รู้จักกัน จะยินยอมหรือไม่ยินยอมแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?
อวี้จื่อกุยมิได้ใส่ใจ เขาคิดเพียงว่าดรุณีน้อยเกิดความสงสัย จึงตอบคำถามอย่างใจเย็น “ถ้าหากนางยินยอม…ก็คงไม่หนีงานแต่งงานหรอก”
ตี้จีองค์โตคนนั้นน่าสงสารเหลือเกิน เกิดมาก็เป็นกาลกิณี ถูกตระกูลของตนทอดทิ้ง เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ถูกครอบครัวที่ไม่เคยแม้แต่จะเลี้ยงนางขายทิ้ง สำหรับคนพวกนั้นแล้ว นางก็เป็นเพียงแมลงตัวหนึ่ง
เมื่อคิดขึ้นตรงนี้ อวี๋หวั่นก็พลันรู้สึกปวดใจแทนตี้จีองค์นี้เหลือเกิน
เธอโชคดีที่ไม่มีพ่อแม่อย่างนี้ และโชคดีที่แม้ว่าในบ้านมีลูกสองคน แต่ท่านแม่ของเธอก็มีความยุติธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากถามว่าท่านแม่รักใครมากกว่ากัน คำตอบก็คงจะเป็นตัวเธอ
ในภาวะที่ครอบครัวตกระกำลำบาก ท่านไม่ก็ไม่ขายเธอทิ้งเพียงเพื่อให้น้องชายมีชีวิตที่ดีขึ้น
อวี๋หวั่นใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
อวี้จื่อกุยเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า “ราชวงศ์หนานจ้าวจะมาแล้ว พวกเขามาเพื่อตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพวกเขาตามมาถึงตัวเจ้า เมื่อนั้นเจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย”
อวี๋หวั่นมองออกว่าอวี้จื่อกุยไม่ได้โกหก ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอเดือดร้อนมาไม่รู้กี่ครั้ง ครั้งนี้เขาคงอยากช่วยจริงๆ แต่น่าเสียดาย ที่อวี๋หวั่นไม่สามารถส่งมอบราชันสัตว์พิษให้เขาได้
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าต้องการใช้มันชั่วคราว รอให้ข้าใช้เสร็จแล้วข้าจะหาวิธีจัดการเอง”
“เจ้า…”
อวี้จื่อกุยยังมีบางอย่างอยากพูดต่อ แต่อวี๋หวั่นก็ปิดม่านลงไปแล้ว
…………………………………………………