หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 129.2 พี่จิ่ว : ไม่มีผู้ใดรังแกนางได้ (2)
เยี่ยนจิ่วเฉากลับห้องไป อวี๋หวั่นนั่งเงียบๆ อยู่บนเตียง ไม่เจอกันไม่กี่วัน นางคล้ายกับผอมลงกว่าเดิม ร่างผอมบางของนางพาดอยู่บนเตียง ราวกับเป็นเด็กน้อยน่าสงสารที่ถูกทิ้งขว้าง
แม้ว่าจะเป็นแม่ของเด็กน้อยสามคน แต่นางก็เพิ่งอายุสิบเจ็ด มืออันบอบบางต้องแบกรับความรับผิดชอบที่ไม่พึงได้รับ ทำให้บ่อยครั้งผู้คนมักจะหลงลืมไปว่านางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดเคยถามนางว่าในตอนที่คลอดลูกเจ็บปวดหรือไม่ เลี้ยงลูกยากหรือไม่ แต่งงานแล้วรู้สึกเปล่าเปลี่ยวหรือไม่ นั่นคงเป็นเพราะว่านางเป็นสตรี เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นบัญชาสวรรค์
เยี่ยนจิ่วเฉาเข็นเก้าอี้ไปตรงหน้าของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรู้ว่าเขามาแล้ว เธอเหลือบตาไปมอง แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เอาแต่มองปลายเท้าของตนเองอยู่อย่างนั้น
เก้าอี้มีล้อของเยี่ยนจิ่วเฉาเคลื่อนไปหยุดที่เบื้องหน้าของเธอ เขามองเธอ ทว่ามิได้รีบร้อนพูดอะไร
แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา ผู้ชายคนนี้เพียงมายืนอยู่ที่นี่ ตรงหน้าเธอ ขอบตาของอวี๋หวั่นก็ค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมา
“เยี่ยนจิ่วเฉา…”
ทันทีที่เธอเอ่ยปากพูด น้ำเสียงของเธอก็สั่น ความโศกเศร้าที่หลายวันมานี้ไม่อาจแสดงให้ผู้ใดเห็น บัดนี้กลับพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ เอ่อล้นท่วมร่างของเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉายื่นมือไป ค่อยๆ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าไปเพียงไม่กี่วัน เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว อวี๋อาหวั่น ถ้าวันใดข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
……
อวี๋หวั่นร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอบวม จมูกแดง ทว่าสภาพจิตใจของเธอดีขึ้นมาก ในตอนนี้เองเธอสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อก่อนแม้แต่จะจับมือเขาตอนกลางวันยังทำไม่ได้
อวี๋หวั่นยังคงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ทำเรื่องอย่างว่าตอนกลางวันแสกๆ…ท่านไม่กลัวแล้วหรือ?”
“เงียบ!”
อวี๋หวั่นไม่ตอบ สองมือจับแขนเสื้อของเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นมาเช็ดน้ำตา ขณะที่กำลังจะเช็ดน้ำมูกนั้น
“ห้ามเช็ดน้ำมูก!”
อวี๋หวั่นวางแขนเสื้อเขาลงอย่างขุ่นเคืองใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดขึ้นมาผืนหนึ่ง หมายจะเช็ดหน้าให้อวี๋หวั่น แต่อวี๋หวั่นหยิบผ้าไป
“ลุกขึ้น” เยี่ยนจิ่วเฉาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งโอบกอดกันอีก กลางวันแสกๆ มะ…ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
อวี๋หวั่นไม่ลุก
“อวี๋อาหวั่น!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงดุดัน อวี๋หวั่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาก้มลงไปมอง ก็พบว่าอวี๋หวั่นหลับไปเสียแล้ว
คิ้วซึ่งขมวดอยู่ของเขาพลันคลายลง เยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ จับเธอวางลงบนเตียง ถอดรองเท้าและถุงเท้า จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้เธอ
ลมหายใจของอวี๋หวั่นสม่ำเสมอ เธอกำลังหลับสบาย
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็ค้อมตัวลง จุมพิตบนหน้าผากของอวี๋หวั่นอย่างแผ่วเบา
ในตอนนั้นเอง ใบหูของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
……
เยี่ยนจิ่วเฉาต้องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวน แน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธี เมื่อได้ฟังสิ่งที่อิ่งลิ่วรายงานจนจบ เยี่ยนจิ่วเฉาก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา
เขาไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เมื่อไรที่ฮูหยินจวนคุณชายจะถึงกับโมโหสาวใช้ได้
ทั้งยังมีเจ้าลิงน้อยทั้งสาม เกรงว่าพวกเขาก็คงดื้อเองกระมัง
ไม่มีใครทำให้เธอเสียใจได้ เด็กทั้งสามก็ทำไม่ได้
ผ่านไปครึ่งเค่อ เยี่ยนจิ่วเฉาก็นั่งลงบนเก้าอี้ในเรือนชิงเฟิง เหล่าแม่นมต่างช่วยกันยกชามโจ๊กร้อนๆ ออกไป เมื่อเห็นเยี่ยนจิ่วเฉา พวกนางก็รีบคำนับ
“จะไปไหนกัน?” เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังชามโจ๊กในมือของทั้งสามพลางเอ่ยถาม
นางหลี่ซึ่งอาวุโสที่สุดในบรรดาแม่นมสามคนก้าวขึ้นมาด้านหน้า ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เรียนคุณชาย ไปเรือนจู๋เยวี่ย คุณชายน้อยไม่ยอมกินข้าวเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กินข้าวไยต้องไปถึงเรือนจู๋เยวี่ยด้วย?”
นางหลี่ยิ้มแดกดัน “คุณชายน้อย…ไม่กินข้าว ต้องให้แม่นางซูป้อนเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉากับอิ่งสือซันมองหน้ากัน อิ่งสือซันก้าวออกไป อีกครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับเด็กน้อยที่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่
“วางลง” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อิ่งสือซันวางเด็กน้อยทั้งสามลง
เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งให้แม่นมออกไปก่อน เก้าอี้และโจ๊กล้วนแต่อยู่ข้างเขา เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงไม่บังคับแต่ก็มิได้ใจดี “กินข้าว”
เด็กทั้งสามไม่กิน
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงขู่ว่า “กินข้าว หรือจะกินกำปั้น?”
…กินข้าววว
เด็กน้อยทั้งสามนั่งลงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ยกช้อนขึ้นมา ภายใต้การควบคุมของท่านพ่อ เด็กน้อยทั้งสามกินข้าวจนหมดเกลี้ยง
กินหมดแล้ว ไปได้แล้วใช่ไหม?
“หยุดก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกพวกเขาไว้ “เล่นที่นี่แหละ”
ทั้งสามคนร้อง ‘โอ้’ ออกมา แล้วเดินไปยังชิงช้าที่ซูมู่ผูกไว้ เยี่ยนจิ่วเฉาเพียงส่งสายตา อิ่งสือซันก็เข้าไปตัดชิงช้าออกทันที
เด็กน้อยทั้งสามมองท่านพ่อด้วยใบหน้ามึนงง ไม่มี…ไม่มีชิงช้าแล้ว จะเล่นอะไรเล่าทีนี้?
ในตอนนั้นเอง อิ่งลิ่วก็ถือม้าไม้เก่าๆ สามตัวออกมา ทั้งผุทั้งพัง หนึ่งนั้นไม่มีหัวด้วย
เด็กทั้งสามตัวสั่น แง้! น่าเกลียดถึงเพียงนี้! พวกเขาไม่เอาหรอก!
เยี่ยนจิ่วเฉาสายตาเย็นเยียบ “จะขี่ม้า หรือจะถูกตี?”
…ขะ…ขี่ม้าาาา
ทั้งสามขึ้นไปขี่ม้าไม้ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาเหยียบบนม้าไม้ “ทำหน้าให้มีความสุขหน่อย อย่าทำให้ท่านแม่เห็นท่าทางโศกเศร้าของพวกเจ้า”
ฮือๆ บังคับให้เล่นม้าไม้ไม่พอ ยังบังคับให้มีความสุขอีก…พวกข้ายังเด็กอยู่นะ…
……
อวี๋หวั่นนอนหลับไปจนตะวันตกดิน เด็กน้อยทั้งสามเล่นจนเหนื่อยและหลับไปแล้ว เพียงแต่พวกเขาตื่นมาก่อนอวี๋หวั่น
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนเก้าอี้มีล้อ เด็กน้อยทั้งสามยืนอยู่ข้างเขา ดูแล้วเด็กๆ น่าจะถูกอบรมไปยกหนึ่ง
อวี๋หวั่นมองทั้งสี่คนด้วยความมึนงง “นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบตามองพวกเขา พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าบอกท่านแม่เอง สรุปแล้วหลายวันมานี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า”
อวี๋หวั่นมองเด็กน้อยที่น่าสงสารทั้งสาม แล้วพูดขึ้นอย่างปวดร้าวใจว่า “ท่านลงโทษพวกเขาหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ อย่างเย็นชา “ถ้าไม่ลงโทษจะยอมบอกความจริงหรือ?”
อวี๋หวั่นหายใจเข้าดัง ‘เฮือก’ แล้วกล่าวว่า “ท่าน…”
เด็กๆ เผชิญกับความยากลำบากมามากครั้นอยู่กับเหยียนหรูอวี้ ทำไมเขาต้องลงโทษพวกเขาด้วย?
เด็กน้อยทั้งสามยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ไม่กล้าเงยหน้ามองอวี๋หวั่น
“นี่คืออะไรหรือ?” อวี๋หวั่นมอง กระดาษในมือของพวกเขา เธอไม่ได้ให้พวกเขาเขียนหนังสือมาตั้งนานแล้วนี่ เด็กทั้งสามคนไม่ได้ถูกท่านพ่อทำให้กลัวจนวิ่งไปเขียน ‘คนเกิดม้า’ มาหรอกนะ?
ทั้งสามมิได้ส่งเสียงใดๆ
“ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?” อวี๋หวั่นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เด็กทั้งสามลังเล
อวี๋หวั่นลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “ไม่อยากให้แม่ดูก็ไม่เป็นไร…”
ยังไม่ทันพูดจบ ทั้งสามก็ยื่นกระดาษสีขาวออกมา
น้ำหมึกบนกระดาษนั้นดูคล้ายกับรอยหนอนคลาน ยึกๆ ยือๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงของของตัวอักษรอยู่ เป็นคำที่พวกเขาเพิ่งเรียนมา…
สุขสันต์วันเกิด ท่านแม่
หัวใจของอวี๋หวั่นราวกับกระตุกวูบ
เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นตะลึงไปตั้งแต่แรกแล้ว บัดนี้เขาใจเย็นลงแล้ว เขาแค่นเสียง ‘หึ’ แล้วกล่าวว่า “วันเกิดของตัวเองใกล้เข้ามาแล้ว ไม่รู้หรือ?”
นางคิดว่าเขาห้อตะบึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้เพื่ออะไรกัน? ตากลมเล่นรึ?
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่รู้ว่าใกล้ถึงวันเกิดของตนแล้ว ในความทรงจำของเธอไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันเกิดหลงเหลืออยู่เลย
อย่างไรก็ดี อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจวันเกิดของตนเองแต่อย่างใด เธอสนใจแต่คำว่าท่านแม่ พวกเขาเรียกเธอว่าท่านแม่ สำหรับพวกเขา เธอไม่ใช่หวั่นหวั่นหรือแม่นางอวี๋อีกต่อไป แต่เธอคือแม่ของพวกเขา พวกเขายอมรับเธอแล้ว…
เป็นเพราะพวกเขาพูดไม่ได้ จึงต้องเขียนบนกระดาษ
เธอไม่ให้พวกเขาคัดตัวหนังสือ คนในจวนจึงไม่มีผู้ใดกล้าสอนพวกเขาเขียนหนังสือ เว้นแต่…ซูมู่
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะรออีกสองสามวันแล้วค่อยบอกเจ้า แต่เห็นเจ้าเศร้าสร้อยเช่นนี้…”
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะออกมา เธอไม่เศร้าแล้ว ไม่เศร้าเลยสักนิด
“พวกเจ้าก็ไม่ต้องเศร้าไป” อวี๋หวั่นมองไปยังลูกๆ
เด็กน้อยทั้งสามอยากทำให้อวี๋หวั่นประหลาดใจ แต่แผนการกลับถูกท่านพ่อทำลายสิ้น ย่อมต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา
เป็นไปดังคาด สีหน้าของพวกเขาย่ำแย่เหลือเกิน
แต่หลังจากถูกท่านพ่ออบรมไปยกหนึ่ง พวกเขาก็รู้ว่าแท้จริงแล้วการกระทำของพวกเขาทำร้ายจิตใจของอวี๋หวั่น ทั้งสามได้แต่ทำคอตก
……………………………………………