หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 13.1 จดจำได้ (1)
ตัวอักษรในตำราค่อนข้างเลือนราง แต่ถ้าหากเป็นลายมือของตนเอง ก็คงจะจดจำได้ไม่ยาก
พ่อครัวเทพเป้าพลิกดูหน้าแรกก็ชะงักไป
ทุกคนล้วนจับจ้องเขาด้วยความวิตก ก่อนที่เขาจะหยิบตำราเล่มนี้ออกมา คนสกุลอวี๋ต่างตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าอวี๋เซ่าชิงเป็นลูกชายที่หายสาบสูญของพ่อครัวเทพเป้า ทว่าวินาทีที่ส่งหลักฐานให้พ่อครัวเทพเป้านั้น ในใจก็พลันรู้สึกตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา
ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ล้วนเหงื่อตกไปตามๆ กัน
อวี๋เฟิงไม่กล้าส่งเสียง แม้แต่อวี๋ซงผู้ซึ่งงอแงอยู่เป็นนิจ ก็ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
เถี่ยตั้นน้อยและเจินเจินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นผู้ใหญ่กำลังเคร่งเครียด พวกเขาทั้งสองก็นั่งเงียบเชียบอย่างรู้ความ
อวี๋หวั่นจับมือนางเจียงแน่น
พ่อครัวเทพเป้าอ่านตำราเล่มนั้นอยู่นานเท่าไร สายตาของแม่ลูกทั้งสองก็จับจ้องอยู่ที่เขานานเท่านั้น
ในห้อง ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกคันจมูกและจามออกมา พ่อครัวเทพเป้าจึงจะได้สติกลับมา เขาค่อยๆ ปิดตำราเก่าคราคร่ำนั้นลง
ลุงใหญ่เอ่ยถามด้วยคอแห้งผากว่า “ปะ…เป็นอย่างไร? เป็นของที่ท่านวางเอาไว้ในห่อผ้าหรือไม่?”
แน่นอนว่าพ่อครัวเทพเป้าไม่ได้วางของเอาไว้ในห่อผ้าด้วยตนเอง ลุงใหญ่ถามเช่นนี้ก็เพราะเขากังวลจนพูดจาสะเปะสะปะ เมื่อคืนอวี๋หวั่นได้สืบสาวราวเรื่องจากพ่อครัวเทพเป้าแล้ว ในปีนั้น มารดาของฮูหยินผู้เฒ่าเป้าล้มป่วย หมอบอกว่ามิอาจยื้อชีวิตนางได้แล้ว ทั้งครอบครัวจึงพาบุตรชายวัยทารกในห่อผ้าไปพบหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อไปถึง อาการป่วยของมารดาฮูหยินผู้เฒ่าเป้ากลับดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
มารดาของฮูหยินผู้เฒ่าเป้ารั้งให้บุตรสาวและหลานชายอยู่ต่ออีกสักพัก ด้วยเหตุผลเรื่องงาน พ่อครัวเทพเป้าจึงกลับมาก่อน
ระหว่างทางที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป้าพาบุตรชายเดินทางกลับนั้น ก็เกิดน้ำท่วม น้ำซัดจนสะพานขาด องครักษ์ว่ายน้ำเป็น จึงช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเป้าและบุตรชายขึ้นฝั่ง น่าเสียดายที่หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ถูกขโมยของไปอีก ขณะที่กำลังตกใจกลัว นางก็เป็นลมไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าบุตรชายและสัมภาระต่างๆ ล้วนหายไปหมด
และตำราอาหารยาซึ่งมูลค่ามิอาจประเมินได้ก็อยู่ในสัมภาระเหล่านั้นด้วย
ขโมยเงินไป แต่เหลือตำราอาหารยาเอาไว้ มิใช่เรื่องน่าแปลกใจ
“พ่อเจ้า…เก็บน้องสามของเจ้าได้ที่ไหนหรือ?” พ่อครัวเทพเป้าเอ่ยถามพร้อมกับมองไปยังลุงใหญ่
ลุงใหญ่ตอบว่า “ที่ตำบลหลิ่ว”
ตำบลหลิ่วอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยหลี่ ในตอนนั้นนายท่านสกุลอวี๋เป็นคนงานระยะยาวในตำบลหลิ่ว ระหว่างทางผ่านหุบเขา ก็เห็นเด็กนอนอยู่ข้างทาง
ลุงใหญ่เอ่ยถามด้วยความประหม่า “น้องสามของข้าเป็นลูกของท่านหรือไม่?”
พ่อครัวเทพเป้าหลับตาลง พยายามควบคุมความรู้สึกท่วมท้นในอก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบว่า
“…ใช่!”
หัวใจของคนสกุลอวี๋ซึ่งลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม บัดนี้ได้กลับขึ้นมาอยู่ที่เดิมแล้ว จากนั้นคลื่นแห่งความปีติยินดีก็โหมซัดใส่พวกเขา น้องสามไม่ได้ถูกทิ้ง พวกเขาพบครอบครัวของน้องสามแล้ว อีกทั้งยังเป็นพ่อที่รักเขาสุดใจ…
ขอบตาของลุงใหญ่แดงก่ำ
ป้าสะใภ้ใหญ่หันหลังกลับไปปาดน้ำตา
อวี๋หวั่นมองไปยังพ่อครัวเทพเป้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ป้าสะใภ้ใหญ่เห็นท่าทางตื่นตะลึงของอวี๋หวั่น นางก็หัวเราะ แล้วดึงเธอเข้ามา “ตกใจอะไรกัน? รีบเรียกท่านปู่สิ!”
เถี่ยตั้นน้อยยังคงงุนงง ผู้ใหญ่เป็นอะไรกัน? ร้องไห้แล้วก็หัวเราะ!
“แล้วก็เจ้า!” ป้าสะใภ้ใหญ่ตบไหล่เถี่ยตั้นน้อยเบาๆ “เรียกท่านปู่เร็ว!”
“ข้าเรียกไปแล้วนะ!” เถี่ยตั้นน้อยพูดอย่างไม่เข้าใจ
เด็กยังเล็กอยู่ ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี จึงพูดด้วยความร้อนรนว่า “เรียกอีกครั้งหนึ่งสิ!”
“อ้อ” เถี่ยตั้นน้อยเชื่อฟัง เขามองไปยังพ่อครัวเทพเป้า แล้วพูดเสียงใสว่า “ท่านปู่”
พ่อครัวเทพเป้ายกมือย่นๆ ขึ้นมาจับใบหน้าเล็ก แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “…เจ้าชื่ออะไร?”
เถี่ยตั้นน้อยยืดอก “เถี่ยตั้น!”
“ดีๆ!” พ่อครัวเทพเป้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน น้ำตาใสเอ่อล้นที่ขอบตา
“นี่คืออาหวั่น” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวแนะนำอย่างตื่นเต้น
พ่อครัวเทพเป้ามองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยิ้ม “ท่านปู่”
พ่อครัวเทพเป้าขอบตาแดงก่ำ
ป้าสะใภ้ใหญ่ดึงนางเจียงเข้ามา “นี่คือเสี่ยวเจียง ภรรยาของน้องสาม!”
สายตาของพ่อครัวเทพเป้าไปตกอยู่บนใบหน้าซึ่งละม้ายคล้ายกับอวี๋หวั่น
ป้าสะใภ้ใหญ่รีบพูดว่า “เสี่ยวเจียงเป็นคนเมืองหลวง รู้งานและมีความสามารถ นิสัยดี น้องสามแต่งงานกับนาง นับว่าโชคดีมาก!”
พ่อครัวเทพเป้าพยักหน้าพร้อมกับกล่าวเสียงสั่นว่า “ดีๆ”
“ไอ้หยา” ป้าสะใภ้ใหญ่หันหลังไปปาดน้ำตา “น่าเสียดายที่น้องสามยังไม่กลับมา รอเขากลับมา พวกเราจะได้พร้อมหน้าพร้อมตากัน!”
“เขาไปรบหรือ…” พ่อครัวเทพเป้าอึ้งไป
เรื่องนี้ อวี๋หวั่นเคยบอกกับพ่อครัวเทพเป้าไปแล้ว
ลุงใหญ่ซึ่งเพิ่งจะตั้งสติได้เอ่ยขึ้นว่า “น้องสามมีชะตาเป็นของตัวเอง เขาจะต้องกลับมาได้อย่างแน่นอน!”
…….
นอกจากเจินเจินและเถี่ยตั้นน้อยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่เหลือล้วนดีใจอย่างยิ่งยวด ป้าสะใภ้ใหญ่ฆ่าไก่หนึ่งตัว ไก่ตัวนั้นมิใช่ไก่ของบ้านพวกเขา เพราะเมื่อนางคิดจะฆ่าพวกมัน ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเข้าไปในเล้าไก่ ก็พบว่าไก่ป่าทั้งสองตัวล้วนนอนสภาพร่อแร่อยู่ที่พื้น
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ยังกระโดดโลดเต้นอยู่ดีๆ บัดนี้กลับดูประหนึ่งไก่ป่วย!
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่กล้าฆ่าไก่ซึ่งป่วยเป็นโรค ดังนั้นจึงไปขอซื้อแม่ไก่แก่หนึ่งตัวจากป้าหลัวบ้านข้างๆ
อวี๋เฟิงเข้าตัวตำบลไปซื้อเนื้อซี่โครงชั้นดี อวี๋ซงขึ้นเขาไปจับปลาหลี่อวี๋ตัวใหญ่อวบอ้วนในสระมา และอวี๋หวั่นก็ไปขุดหน่อไม้ในสวนหลังบ้าน
เป็นลุงใหญ่ที่เข้าครัว
แม้จะดูเหมือนเป็นการแสดงฝีมือต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญอย่างพ่อครัวเทพเป้า แต่เขาก็ไม่อาจให้ผู้อาวุโสลงมือเองมิใช่หรือ?
ลุงใหญ่ตุ๋นหน่อไม้กับไก่หนึ่งหม้อ ทำปลานึ่งขิงซอยหนึ่งจาน เนื้อสามชั้นน้ำแดงหนึ่งชาม และขาหมูรมควันอบรากบัว กลิ่นหอมรันจวนใจพวยพุ่งออกมาจากห้องครัว
หลังจากเฉลิมฉลองวันสิ้นปี สกุลอวี๋ก็มิได้มีอาหารหลายหลากชนิดเช่นนี้มานาน
ลุงใหญ่ยังคลุกถั่วงอก และผัดกุยช่ายกับถั่วปากอ้า
อวี๋หวันเป็นคนกตัญญู จึงเข้าครัวด้วยตนเองเช่นกัน เธอทำน้ำแกงฟักกับลูกชิ้น
พ่อครัวเทพเป้าไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาคึกคักเช่นนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีภรรยา แต่หลังจากภรรยาเสียไป ก็ทิ้งให้เขาโดดเดี่ยวและเหงาหงอยแต่เพียงผู้เดียว
พ่อครัวเทพเป้ามองไปยังอาหารบนโต๊ะ แต่รออยู่เนิ่นนานก็ยังมิได้ขยับตะเกียบ
อวี๋หวั่นคีบหมูสามชั้นน้ำแดงให้เขา “ลุงใหญ่ข้าเชี่ยวชาญการทำเนื้อพะโล้เป็นที่สุด เนื้อสามชั้นจานนี้นำไปต้มพะโล้ก่อน แล้วจึงนำไปผัด ไม่มันแม้แต่นิดเดียว ท่านลองชิมดู”
หมูสามชั้นตุ๋นจนเปื่อย หนังหมูใสดุจแก้ว นุ่มแต่เด้ง รสชาติของน้ำตาลกรวดและเนื้อต้มเค็มผสมผสานกันอย่างลงตัว มันแต่ไม่เลี่ยน หวานแต่ไม่หวานแหลม
แต่สิ่งที่ตราตรึงใจมิใช่รสชาติของอาหาร หากแต่เป็นรสชาติของความเป็นครอบครัวที่อยู่ในอาหารนั่นเอง
พ่อครัวเทพเป้ากินไปพลางรู้สึกอยากร้องไห้
“ท่านลองชิมที่ข้าทำสิ!” อวี๋หวั่นคีบฟักและลูกชิ้นให้เขา
พ่อครัวเทพเป้าตัดสินใจลองชิม
หลังจากกินเข้าไป เขาก็รู้สึกอยากร้องไห้
ไอ้หยา…ไฉนรสชาติจึงแย่เช่นนี้!
……
หลังจากที่อวี๋ซงเริ่มคุ้นเคยแล้วก็ร่าเริงขึ้นมา เริ่มพูดจาไร้สาระจนป้าสะใภ้ใหญ่ต้องไล่ตีเขาอีกครั้ง อวี๋ซงกุมหัววิ่งหนี ส่วนป้าสะใภ้ใหญ่ก็ถือไม้กวาดวิ่งไล่ตาม ในลานบ้านวุ่นวายกันเสียยกใหญ่!
ไก่ที่ ‘ป่วย’ ก็ตีปีกพลางดูเหตุการณ์
“กะต๊ากกก”
“กะต๊ากกก”
ป้าสะใภ้ใหญ่ไล่ไปไล่มาก็รู้สึกแปลกๆ จึงรีบหันไปมอง “เอ๋? ไก่หายป่วยแล้วรึ?”
ไก่ทั้งสองตัวกลอกตา แล้วล้มตึงลงไปบนพื้นอีกครั้ง
ป้าสะใภ้ใหญ่ “…”
ฟ้ามืดแล้ว ลุงใหญ่ให้พ่อครัวเทพเป้าพักอยู่ที่บ้านก่อน โชคดีที่คนสกุลกัวย้ายออกไปแล้ว จึงมีห้องว่าง “…เดิมทีเป็นห้องของน้องสาม หลังจากที่พวกเขาย้ายบ้านไป ห้องนี้ก็ว่างลง ท่านได้โปรดอย่ารังเกียจ พักอยู่สักคืนเถิด”
ห้องของลูกชาย คนเป็นพ่อไหนเลยจะไม่อยากพักอยู่สักหน่อย
เป็นเช่นนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของลุงใหญ่ พ่อครัวเทพเป้าซึ่งกำลังก้าวขาข้ามธรณีประตูออกไปก็หยุดชะงัก เขามองไปยังห้องที่ลุงใหญ่ชี้ไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ท่านปู่ ท่านพักอยู่ก่อนเถอะ!” เถี่ยตั้นน้อยจูงมือท่านปู่ ป้าสะใภ้ใหญ่ให้เถี่ยตั้นน้อยใกล้ชิดสนิทสนมกับปู่ของเขา เถี่ยตั้นน้อยเป็นเด็กรู้ความ ตลอดทั้งบ่ายก็ตามติดเขาตลอด
“อยู่ก่อน” เจินเจินพูดตามเถี่ยตั้น
พ่อครัวเทพเป้ามองเด็กน้อยน่ารักทั้งสอง สายตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที
“ท่านปู่”
‘ปู่จะไปแล้ว วันหลังค่อยมาหาพวกเจ้า’ คำพูดนี้ยังมิทันได้พูดออกไป ระฆังก็ดังขึ้น เสียงดังอึ้ออึงก็ดังมาจากหน้าหมู่บ้าน พ่อครัวเทพเป้าสีหน้านิ่ง และหันไปมองตามต้นเสียง ก็พบว่าชาวบ้านไม่น้อยกำลังวิ่งมาอย่างหน้าตาตื่น
“เกิดอะไรขึ้น? ดึกดื่นป่านนี้ ใครเคาะระฆังอีก?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ที่กำลังเก็บครัวอยู่เดินออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
คนสกุลอวี๋สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี ชาวบ้านมักไม่เคาะระฆัง แต่เมื่อเคาะระฆังก็หมายความว่าต้องมิใช่เรื่องเล็ก…
“ไอ้หยา! แย่แล้วละ!”
เสียงร้องดังกังวานของป้าไป๋ดังมาจากหน้าหมู่บ้าน
“ข้าจะไปดู!” อวี๋หวั่นวางไม้กวาดลง
“ข้าไปเองดีกว่า!” อวี๋เฟิงบอก
ทว่าอวี๋ซงกลับเร็วกว่าพี่ชายก้าวหนึ่ง เขาวิ่งพรวดออกไปประหนึ่งสายฟ้า แต่วิ่งไปได้เพียงไม่เท่าไร ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับใบหน้าขาวซีด เขารีบปิดประตูลงกลอนทันที
อวี๋เฟิงกำลังรอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
อวี๋ซงตั้งสติ “มะ…มีคนมาเยอะแยะเลย! ”
“ไอ้หยา…”
เป็นเสียงร้องของป้าจาง
“พวกเจ้าทำอะไร! ปล่อยข้านะ!”
เป็นเสียงร้องของชุ่ยฮวาซึ่งกำลังขัดขืน
“อุแว้…”
ทั้งยังมีเสียงร้องของเด็กดังขึ้นอีก เสียงดังระงมจนจำแนกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร
“พวกอันธพาลจากหมู่บ้านซิ่งฮวามาอีกแล้วหรือ?” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวด้วยความโกรธ
“ไม่รู้ว่า…” อวี๋ซงเอ่ยขึ้น
ทันใดนั้น อวี๋หวั่นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้า ไม่ใช่เพียงหนึ่งตัว หากแต่เป็นหนึ่งฝูง นี่ต้องไม่ใช่คนจากหมู่บ้านซิ่งฮวาอย่างแน่นอน หมู่บ้านซิ่งฮวาไม่ได้มีเงินมากพอที่จะซื้อม้าจำนวนมากถึงเพียงนี้
อวี๋หวั่นจับมือน้องชายและน้องสาว “ท่านแม่ ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ พวกท่านพาเถี่ยตั้นกับเจินเจิน แล้วก็ท่านปู่เข้าบ้านก่อน อย่าเพิ่งออกมา”
สายไปแล้ว ประตูด้านหน้าถูกถีบเข้ามาเสียแล้ว
……………………………………