หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 134 แผนร้ายของพี่จิ่ว
ในเวลาอันสั้น ข่าวว่าองค์ชายรองและคุณชายเยี่ยนตะลุมบอนกันกลางถนนก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง คุณชายเยี่ยนมีชื่อเสียงในทางลบอยู่แล้ว มีเรื่องทะเลาะวิวาทไม่นับว่าแปลกอันใด ที่น่าแปลกก็คือองค์ชายรองเข้าไปร่วมประสมโรงได้อย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายผู้นี้รู้ความ ไม่ยักเหมือนกับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยไว้หน้าผู้ใด แน่นอนว่าความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือคุณชายเยี่ยนยั่วยุเขา กระนั้นภาษิตโบราณก็กล่าวไว้ว่า ‘ตบมือข้างเดียวไม่ดัง’ เห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉารังแกคนอยู่เป็นนิจเช่นนี้ แต่ผู้ที่เขารังแกมักจะหาใช่คนดีเด่อันใดไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หรือว่าเป็นเพราะองค์ชายรองอาจไปทำอะไรให้เยี่ยนจิ่วเฉาบันดาลโทสะ?
ฮ่องเต้ทรงทราบข่าวยามดึก เดิมทีคิดว่าจะไปพักผ่อนในห้องของกุ้ยเหรินสักนาง ทว่าเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็โมโหจนนอนไม่หลับ
ตอนเช้าแจกไข่ไก่สีแดง ตอนบ่ายไปท้าต่อยกับองค์ชาย…
“ชีวิตเขายุ่งเหลือเกิน ยุ่งกว่าเราเสียอีก!”
ขันทีวังรีบบอกว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงอย่าเกรี้ยวโกรธพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่โกรธได้อย่างไร? ขันทีวังพูดไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับคิดอีกอย่างหนึ่ง ในใจพระองค์ทรงรู้ดีกว่าผู้ใด โอรสถูกคนทุบตี ไม่โกรธก็แปลกแล้ว เรียกให้น่าฟังสักหน่อยก็คือตะลุมบอน แต่เยี่ยนจิ่วเฉามิได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย ทว่าเยี่ยนไหวจิ่งกลับจมูกช้ำตาบวม ใบหน้ายับเยิน บิดามารดาบังเกิดเกล้าแทบจะจำเขาไม่ได้แล้ว
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่องค์ชายรองถูกเยี่ยนจิ่วเฉารังแกจริงๆ
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ใช่องค์ชายสี่ที่ไร้ความสามารถ แต่เขาคือองค์ชายรองที่ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญ
หากเป็นผู้อื่น คงถูกฮ่องเต้สั่งประหารทั้งตระกูลไปแล้ว แต่พระองค์ตระหนักได้ว่า หากจะสังหารล้างตระกูลของเยี่ยนจิ่วเฉา พระองค์ก็ต้องตายก่อน ดังนั้นฮ่องเต้จึงโมโหโกรธยิ่งกว่าเดิม
“เรื่องครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด?” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยโทสะ
ขันทีวังตอบอย่างลำบากใจ “ดูเหมือนว่าหลังจากที่องค์ชายรองออกจากวังไปแล้ว ทรงมิได้มุ่งหน้าไปยังคุกหลวง แต่กลับ…”
“แต่กลับอันใดเจ้าพูดมา!” ฮ่องเต้ทรงหมดความอดทน
ขันทีวังตอบว่า “องค์ชายรองไปหาฮูหยินของคุณชายเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เปิดเผยออกไปว่าเยี่ยนไหวจิ่งยังคงตามวอแวอวี๋หวั่นไม่เลิกรา หากว่ากันตามตรง เรื่องนี้เป็นความผิดของเยี่ยนไหวจิ่ง แต่ความยุติธรรมบนโลกนี้มักจะเอียงหาบุรุษเสมอ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็คงหนีไม่พ้นคำครหานินทาว่าอวี๋หวั่นไม่ปฏิบัติตามหลักของภรรยาที่ดี แต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉาไปแล้ว แต่ยังมายั่วยวนเยี่ยนไหวจิ่ง
ขันทีวังสืบหาข้อมูลได้มาไม่ยาก เขาไปจวนขององค์ชายรองคราหนึ่ง จับตัวสารถีรถม้ามาทรมาน จนสารถีสารภาพออกมา
สารถีไม่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด แต่คล้ายจะมีคำว่า ‘ข่มขู่’ อะไรสักอย่าง
แสดงว่าโอรสของพระองค์ไปข่มขู่ชายาของเยี่ยนจิ่วเฉาก่อน เยี่ยนจิ่วเฉาจึงลงไม้ลงมือเช่นนี้?
เอาเถอะ โอรสของพระองค์หาเรื่องใส่ตัวเอง ฮ่องเต้อยากโมโหแต่ก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะโมโหต่อไป
ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเอง สวี่เสียนเฟยก็เข้ามาในห้องทรงพระอักษร
นางก็ได้ยินเรื่องของเยี่ยนไหวจิ่ง ทว่านางถูกฮองเฮาจับตามองอยู่ ไม่อาจลอบหนีออกนอกวังได้ จึงทำได้เพียงให้ขันทีคนสนิทไปยังจวนองค์ชายรอง ตามคำรายงานของขันทีคนสนิท องค์ชายรองบาดเจ็บหนัก ถูกต่อยตีจนหน้าบวมเป็นหัวหมู ทันทีที่รู้ข่าว นางเกือบลมจับ
นางรู้อยู่เต็มอกว่าบุตรชายยังตัดใจจากอวี๋หวั่นไม่ได้ แปดเก้าส่วนของเรื่องในครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายของนางก็เป็นถึงองค์ชาย มีที่ไหนบุตรชายของท่านอ๋องทุบตีองค์ชายกลางถนน? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป บุตรชายของนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
เยี่ยนจิ่วเฉาทำร้ายหลานชายของนาง หลังจากนั้นก็ทำร้ายลูกชายของนาง ครานี้ฝ่าบาทจักต้องมีวิธีจัดการให้นาง!
“ฝ่าบาท…”
นางเดินมายังห้องทรงพระอักษรด้วยน้ำตานองหน้า
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีสาส์นม้วนหนึ่งลอยมากระแทกหน้าผากของนาง!
“เจ้ายังมีหน้ามาอีกหรือ? ดูแลลูกชายของตนให้ดี!”
โทสะของฮ่องเต้ไร้ที่ระบาย สวี่เสียนเฟยมาเข้าเฝ้าตอนนี้มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?
สวี่เสียนเฟยไม่ทันเห็นแม้แต่พระพักตร์ของฮ่องเต้ ก็ถูกโทสะของพระองค์ทำให้กลัวจนวิ่งหนีไป
……
อีกด้านหนึ่ง คุณชายผู้ซึ่งรังแกเยี่ยนไหวจิ่งก็กลับจวนมา
ที่ว่าถึงข้ารังแกเจ้า เจ้าก็ยังต้องเรียกข้าว่านายท่านอะไรนั่น เห็นทีจะเป็ความจริง
เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว แต่อวี๋หวั่นยังไม่ได้กินข้าว เธอได้แต่นั่งรอเขากลับมา
จะว่าไปก็น่าแปลก ในโลกก่อนหน้าเธอคงไม่ทำเช่นนี้ เมื่อมาเป็นอาหวั่นของสกุลอวี๋ จึงตระหนักได้ว่าครอบครัวนั้นสำคัญ
อาหารถูกนำไปอุ่นเป็นรอบที่สาม เยี่ยนจิ่วเฉาก็เข้ามา
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งรถเข็นมาระยะหนึ่ง ข้างนอกว่ากันว่าเขาพิการ บัดนี้เดินได้แล้วผู้คนกลับไม่รู้สึกแปลกใจ
อวี๋หวั่นนั่งอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง ที่หน้าต่างมีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงหน้าตาน่าอัปลักษณ์ แต่เธอก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทำให้ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้นดูราวกับมีมนตร์สะกดขึ้นมา
เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นนิ่งๆ ยากที่จะเชื่อมโยงเธอกับสตรีในคืนนั้นเข้าด้วยกัน นี่คือภรรยาของเขา ภรรยาของเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นจิตใจล่องลอย ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า แต่เธอสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมา จึงหันไปมอง รอยยิ้มจางๆ วาดผ่านใบหน้า “ท่านกลับมาแล้ว”
ประโยคแสนเรียบง่าย แต่กลับทำให้ที่นี่รู้สึกเหมือนบ้าน
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียง ‘อืม’ พลางมองไปยังอาหารบนโต๊ะ “ทำไมยังไม่กินข้าว?”
“รอท่าน” อวี๋หวั่นตอบพลางยิ้มน้อยๆ
ตกกลางคืน ในห้องจุดตะเกียงไม่กี่ดวง แสงตะเกียงสีเหลืองนวล ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายตา
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามานั่งที่โต๊ะ
อวี๋หวั่นให้เถาเอ๋อร์ยกน้ำเข้ามาให้เยี่ยนจิ่วเฉาล้างมือและเช็ดหน้า จากนั้นอวี๋หวั่นจึงคีบอาหารให้เขา
อวี๋หวั่นเคยฟังจากวั่นมามาว่าในจวนท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องคีบอาหารเอง สาวใช้คีบสิ่งใดให้ก็ต้องกิน หนึ่งคำก็ไม่ควรกินมาก เยี่ยนจิ่วเฉาคำนึงถึงความรู้สึกของอวี๋หวั่น จึงไม่ได้ให้คนในจวนเคร่งครัดกับเรื่องนี้
“นี่คือเนื้อกวางตุ๋นซันเย่า”
เสริมหยางของไตและสมรรถภาพ
เมื่อคืนรุนแรงถึงเพียงนั้น อวี๋หวั่นกลัวว่าเขาจะไม่ไหว จึงให้ห้องครัวทำอาหารชนิดนี้ให้
เยี่ยนจิ่วเฉาลองชิมเข้าไปหนึ่งคำ แต่ไม่ได้รสชาติอันใดมากนัก แต่ก็ไม่แปลก เขาต้องคำสาปมานาน ร่างกายซึ่งบอบช้ำมานานมิใช่ว่าจะฟื้นฟูได้ภายในชั่วข้ามคืน มีหลายเรื่องที่จำต้องค่อยๆ ปรับตัว ไม่อาจรีบร้อน
อวี๋หวั่นคีบหน่อไม้ให้เขาแผ่นหนึ่ง “หน่อไม้หน้านี้ไม่นุ่มเท่าไร ฤดูของหน่อไม้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
ในสกุลอวี๋ อวี๋หวั่นเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ตั้งแต่มาที่นี่ เธอกลายเป็นคนพูดมากไปเสียอย่างนั้น
อย่างไรเสียก็ใช้พลังไปมาก วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉากินข้าวมากกว่าปกติหนึ่งชาม
ครั้นมีเด็กๆ อยู่ ทั้งสองมักไม่ค่อยได้อยู่เงียบๆ เท่าไรนัก พวกเขาไปเดินเล่นบริเวณสระน้ำ จากนั้นก็ไปเก็บอิงเถาในสวนผลไม้ อวี๋หวั่นกอดตะกร้าอิงเถาเอาไว้ หยิบกินบ้างเป็นครั้งคราว แก้มของเธอป่องออก ราวกับกระรอกซึ่งกำลังหาอาหาร
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความงุนงง
“ไม่มีอะไร” เยี่ยนจิ่วเฉาหุบยิ้ม พลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าขึงขัง
อวี๋หวั่นหยิบอิงเถาสดมาผลหนึ่ง แล้วใส่เข้าปากของเยี่ยนจิ่วเฉา
“หวานไหม?”
“หวาน”
ไม่รู้ว่าเป็นอิงเถา หรือปลายนิ้วของนาง
เดิมทีคิดว่าอยากเดินย่อยสักหน่อย สุดท้ายกลับกินอิงเถาไปครึ่งตะกร้า อวี๋หวั่นท้องอืด นอนไม่หลับอยู่เสียนาน
เยี่ยนจิ่วเฉาอาบน้ำเสร็จก็กลับห้องมา เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นยังไม่นอน เขาจึงเดินมานั่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่ควรทำมากเกินไป ต้องรู้จักควบคุม”
อวี๋หวั่นงุนงงไปครู่หนึ่ง
ผู้ชายคนนี้เอาอะไรมาพูด? เธอก็แค่ท้องอืดเท่านั้น
เยี่ยนจิ่วเฉากระแอมเบาๆ “แม้จะเพิ่งแต่งงาน แต่ต้องทำอย่างพอเหมาะ อย่าโลภมาก สี่วันครั้งก็พอ”
อย่าโลภมาก? เมื่อคืนใครกันที่จะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด!
“เมื่อคืนเป็นการถอนคำสาป” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
อวี๋หวั่น “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อ “มากเกินไปจักทำร้ายตนเอง ไม่ควรปล่อยไปตามความปรารถนา”
อวี๋หวั่นจับมือของเขา “ชะ…เช่นนั้นสี่วันก็ไม่ควร…”
ไม่ควรทำครั้งเดียว
อย่าทำให้ข้าอัดอั้นสิ!
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นว่าสีหน้าของอวี๋หวั่นไม่สู้ดี จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เขายอมถอยหลังให้ก้าวหนึ่ง “สามวัน”
“เช่นนั้นวันนี้นับเป็นหนึ่งวันไหม?”
“ไม่นับ”
อวี๋หวั่น “…”
อวี๋หวั่นบอกว่า “แต่พิษในร่างของท่านยังไม่หมดไป ข้าไม่ได้ทำเพื่อความสุขของตนเอง ข้าทำเพื่อถอนคำสาปให้ท่านนะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง “…โอ้ ก็จริง”
ทั้งสอง ‘ถอนคำสาป’ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในห้องครัวต้มน้ำร้อนรอพวกเขาทั้งคืน
ในตอนที่อยู่บนเรือ ทั้งสองยังไม่มีประสบการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงค่อนข้างสับสนอลหม่าน ทว่าวันนี้อวี๋หวั่นกลับค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความสุขสม เพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายก็มีมากเช่นกัน
เมื่อตื่นขึ้นในวันถัดมา อวี๋หวั่นก็รู้สึกราวกับเอวของตนหักครึ่ง ทันใดนั้นเองก็นึกได้ว่าเขาพูดได้ถูกต้อง เรื่องพรรค์นี้ไม่ควรทำมากเกินพอดี ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง
ในตอนนี้เอง เธอก็ตระหนักได้ถึงข้อดีของการไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับแม่สามี ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาตั้งกฎระเบียบ ถ้าหากแม่สามีอยู่ที่นี่ ลูกสะใภ้อย่างเธอก็คง…
เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปสร้างเรื่องข้างนอกอีกแล้ว
อวี๋หวั่นลากร่างอันปวดเมื่อยไปล้างหน้าบ้วนปาก กินอาหารเช้าเล็กน้อย จากนั้นบ่าวก็มารายงานว่าแม่นางชุยมาที่นี่
แม่นางชุยรับพระเสาวนีย์ของฮองเฮามาเชิญอวี๋หวั่นเข้าวังไปวัดตัวตัดชุด ในวันงานของเฉิงอ๋อง อวี๋หวั่นต้องสวมอาภรณ์ทางการของพระชายาของเยี่ยนอ๋อง ฝีมือการปักเย็บของชาวบ้านทั่วไปไม่เพียงพอ จึงต้องไปยังกองพระราชสำนัก
…………………………………..