หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 15.2 จบลงแล้ว ชัยชนะครั้งใหญ่ ณ ชายแดน (2)
ทั้งสองคนไม่เคยออกไปข้างนอก ไม่เคยเห็นหยกไขแพะชั้นดี หากนำชิ้นหนึ่งไปขาย ก็เพียงพอให้พวกเขามีกินไปทั้งชีวิต กระนั้นนี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้มีพระคุณมอบให้ อีกทั้งยังเป็นคู่ ทั้งสองคนย่อมต้องทะนุถนอมเป็นอย่างดี
แม้แต่พ่อครัวเทพเป้ายังเห็นด้วยกับเรื่องของทั้งสอง ชาวบ้านก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านได้
ระหว่างทางกลับไปบ้านเดิม หมู่บ้านนั้นเงียบสงบราวกับว่าทุกสิ่งล้วนหลับใหล
ลมราตรีพัดผ่านใบหน้า นำพาความหนาวเหน็บกัดกินถึงกระดูก
อวี๋หวั่นเดินอยู่กับพ่อครัวเทพเป้า มิได้พูดอะไร
เมื่อเข้าใกล้บ้านเดิม พ่อครัวเทพเป้าก็เอ่ยขึ้นว่า “จะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าเหตุใดให้ของที่มีค่าเช่นนั้นแก่พวกเขา?”
“อ้อ เหตุใดท่านถึงให้ของมีค่าเช่นนั้นแก่พวกเขาล่ะ?” ที่เงียบมาตลอดทาง ทั้งยังโยงเข้าหาเรื่องเศร้าในอดีตอย่างนี้ ที่แท้ก็รอให้เธอถามสินะ อัดอั้นมาตลอดทาง ถ้าทนไปอีกก็คงไม่ไหวละมั้ง
พ่อครัวเทพเป้ากล่าวว่า “เป็นของขวัญแต่งงานใหม่ของย่าเจ้า”
พูดจบ เขาก็ส่งสายตาให้อวี๋หวั่น บอกเป็นนัยว่า ‘เจ้ารีบถามข้าต่อเร็ว!’
อวี๋หวั่นถอดรหัสสายตาของเขาได้ จึงถามต่อว่า “ของแพงขนาดนี้ ท่านยอมให้ไปได้อย่างไร?”
พ่อครัวเทพเป้าแหงนหน้ามองฟ้าพลางทอดถอนหายใจ “ก่อนที่จะแต่งงานกับข้า นางก็เป็นแม่หม้ายมาก่อน”
อวี๋หวั่นตื่นตะลึง ในสมัยที่พ่อครัวเทพเป้ายังหนุ่ม แม่หม้ายที่แต่งงานใหม่ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคม เขาต้องกล้าหาญมากเท่าไร จึงจะกล้าแต่งงานกับแม่หม้าย
“ครอบครัวข้าไม่เห็นด้วย ครอบครัวนางก็ไม่ยินดีให้นางแต่งงาน ต้องการให้นางมีสามีเพียงคนเดียวไปจนตาย เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องซุ้มประตูเกียรติคุณ[1]กระมัง”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
“ข้าฟันซุ้มประตูเกียรติคุณทิ้ง”
อวี๋หวั่น “…”
นี่มันท่านประธานเอาแต่ใจภาคโบราณนี่นา!
ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป้าจะเข้าพิธีแต่งงาน สามีของนางก็ด่วนจากไปอย่างกะทันหัน ตามธรรมเนียมในท้องถิ่น ฮูหยินผู้เฒ่าเป้าก็จำต้องแต่งเข้าไป และเป็นดังคาด นางต้องก้มหน้ารับชะตาซึ่งกำหนดให้นางเป็นแม่หม้ายไปตลอดชีวิต
เป็นบุรุษผู้นี้ที่มาช่วยชีวิตนางเอาไว้
นางเองก็เติมเต็มชีวิตเขา
ถึงบ้านเดิมแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ออกมาต้อนรับ “ผู้อาวุโส ข้าเก็บกวาดห้องเรียบร้อยแล้ว เถี่ยตั้นก็อยู่ด้านใน วันนี้เขาจะมานอนกับท่าน”
พ่อครัวเทพเป้ามิได้ปฏิเสธ
……
ฟ้ายังไม่สว่าง พ่อครัวเทพเป้าก็ตื่นแล้ว เขามองไปยังเด็กน้อยซึ่งกำลังหลับสบาย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่พบเห็นได้ยากยิ่ง
เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้เถี่ยตั้นน้อย ค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ
คนสกุลอวี๋ยังคงหลับใหล พ่อครัวเทพเป่าไม่ได้ส่งเสียงดังจนพวกเขาตื่น เขาเพียงปลดกลอนประตูแล้วเดินออกไป
เขามองบ้านสกุลอวี๋เป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินกลับไปยังทางเข้าหมู่บ้านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ที่น่าประหลาดใจก็คือ เขากลับเห็นอวี๋หวั่นที่ทางเข้าหมู่บ้าน “นางหนู?”
อวี๋หวั่นซึ่งนั่งอยู่บนบ่อน้ำเก่าลุกขึ้นยืน มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “จะไปโดยไม่บอกลาหรือ?”
“เจ้า…” พ่อครัวเทพเป้าพูดไม่ออก ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยความผิดหวังว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้ารู้แล้วหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “พ่อข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านใช่ไหม?”
พ่อครัวเทพเป้าสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร? ”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยเข้าไปในห้องหนังสือของท่าน เคยเห็นตัวหนังสือที่ท่านเขียน ข้ายังถามท่านอีกว่าคืออะไร ท่านบอกว่าเป็นชื่อที่ท่านตั้งให้ลูก”
หากช่วงเวลาห่างกันหลายสิบปี ลายมืออาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่เท่าไร หากจะบอกว่าลายมือเปลี่ยนแปลงได้มากถึงเพียงนั้นก็คงจะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
พ่อครัวเทพเป้าถอนหายใจ “ข้าไม่รอบคอบเอง…เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่เปิดโปงข้าเล่า?”
“กว่าจะเกาะขาพ่อครัวเทพเป้าได้ช่างยากเย็น ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไร?” เรื่องจริงก็คือ อวี๋หวั่นเองก็มีความสุขไปกับครอบครัวที่กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง จนลืมคิดถึงเรื่องนั้นไป จนเธอกลับห้องไปในตอนดึก นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงก็พลันนึกขึ้นได้
ชีวิตยากลำบาก ระหกระเหินมาครึ่งชีวิต ไม่รู้ว่าพบเจอกับความโดดเดี่ยวและการหลอกลวงมามากเพียงใด พ่อครัวเทพเป้าหวังจะมีครอบครัวของตนเอง ครั้นเมื่อเห็นคนสกุลอวี๋ครั้งแรก เขาก็รู้สึกประหนึ่งเมื่อตนเองกลับบ้านไปแล้วยังมีภรรยาอยู่
แม้ว่าจะมีเวลาเพียงวันเดียว แต่เขาก็ยังอยากลิ้มลองว่าการมีครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร
จริงอยู่ว่า ด้วยฐานะของเขา ขอเพียงเขายินดี ผู้คนมากมายก็พร้อมจะมาเป็นครอบครัวเดียวกับเขา ทว่ามีเพียงคนสกุลอวี๋ ที่มิได้ต้อนรับเขาเพราะฐานะ แต่ต้อนรับเขาเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ครอบครัว’
อวี๋หวั่นเอ่ยถามว่า “ทำไมท่านไม่ปิดบังไปเรื่อยๆ เล่า?”
ข้าไม่เปิดโปงท่านหรอก
พ่อครัวเทพเป้ายิ้มอย่างขมขื่น มองไปยังเส้นขอบฟ้าไกล “รอเจ้ามีลูกของตัวเอง แล้วเจ้าจะเข้าใจ เรื่องบางเรื่องเจ้าก็วางไม่ลง จนตายก็ยังวางไม่ลง”
ลูก…อวี๋หวั่นรู้สึกปวดใจราวกับถูกอะไรชนเข้า
“เจ้าไม่ต้องผิดหวังไปหรอก มันจะไปง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้าตามหามาตั้งกี่ปี?”
“ข้าไม่ได้ผิดหวังนะ…”
“หนังสือเล่มนั้น…” พ่อครัวเทพเป้าหมายถึงหลักฐานยืนยันตัวตนที่อยู่ในห่อผ้า “ที่จริงดูไม่ค่อยเหมือนกับตำราอาหารเท่าไหร่นัก ปู่แท้ๆ ของเจ้าน่าจะมีปูมหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าข้า”
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจเรื่องนี้
อวี๋หวั่นส่งห่อผ้าให้เขา “ซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งเสร็จ ท่านวางใจได้ ท่านลุงใหญ่ข้าทำกับมือ ข้าก็แค่เอาไปอุ่น”
พ่อครัวเทพเป้าจึงรับมา
ผู้อื่นทำอาหารหมายจะเอาเงิน เด็กคนนี้ทำอาหารหมายจะเอาชีวิตคนกิน
อวี๋หวั่นมองไปยังด้านหลังของเขาซึ่งดูอ้างว้าง ในตอนนั้นเอง เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีอายุมากแล้วจริงๆ
ผมของเขาเป็นสีดอกเลา หลังงองุ้ม ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน ดวงตาของเขาก็คงจะมองไม่เห็น หูฟังไม่ได้ยินเสียง เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะตามหาลูกชายไม่ได้อีกต่อไป
อวี๋หวั่นจึงกล่าวว่า “การประลองพ่อครัวเทวดาจะทำอย่างไร?”
ท่านอยู่ที่นี่ต่อได้ไหม?
ข้าจะช่วยท่านตามหาลูกเป็นอย่างไร?
พ่อครัวเทพเป้าโบกมือโดยไม่หันหน้ามามอง “หึ ฝีมือของพ่อหนุ่มนั่นยังเทียบข้าไม่ได้! ให้เขาไปฝึกฝนอีกสัก
สามสี่ปีก็แล้วกัน!”
งั้นก็แปลว่าท่านยังจะอยู่ต่อไปอีกสามสี่ปีสินะ?
“ท่านปู่ รักษาตัวด้วย” อวี๋หวั่นพึมพำ
พ่อครัวเทพเป้าไม่หันหลังกลับไปมอง และไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง เขาปาดขอบตาชื้น แล้วก้าวขึ้นรถไปอย่างแน่วแน่
อวี๋หวั่นมองไปยังรถม้าที่กำลังเคลื่อนออกไป เธอโบกมือแล้วพูดเบาๆ ว่า “ท่านปู่ รักษาตัวด้วย”
……
จวบจนรถม้าหายลับไปบนถนนสายเล็ก อวี๋หวั่นจึงหันหลังเดินกลับ
ลุงใหญ่หอบห่อผ้าเดินกะโผลกกะเผลกตามมา “อาหวั่น ผู้อาวุโสเป้ากลับเมืองหลวงไปแล้วหรือ? เขาลืมของ!”
อวี๋หวั่นพยายามกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ “ท่านลุงใหญ่ เขาไม่ได้ไปเมืองหลวง เขาไปหาลูกแล้ว”
ลุงใหญ่ตะลึงงัน
อวี๋หวั่นเปิดห่อผ้าออก ด้านในมีหนังสือสองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นบันทึกของพ่อครัวเทพเป้า ด้านในจดบันทึกสูตรอาหารทั้งชีวิตของเขา
เขาไปแล้ว แต่นี่เป็นมรดกที่เขาทิ้งเอาไว้
‘ให้เขาไปฝึกฝนอีกสักสามสี่ปีก็แล้วกัน!’
“ฝึกฝนสิ่งนี้เหรอ…” อวี๋หวั่นรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา
อีกเล่มหนึ่งเป็นตำราแพทย์ เป็นเล่มที่อวี๋หวั่นหยิบดูในห้องหนังสือของเขา
ดูแล้ว ไม่ใช่เพียงอวี๋หวั่นเท่านั้นที่สังเกตเห็นลายมือของพ่อครัวเทพเป้า พ่อครัวเทพเป้าเองก็สังเหตเห็นว่าอวี๋หวั่นมองหนังสือบนชั้นเหมือนคนบ้า
“ช่างเป็น…” อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
รถม้าวิ่งไปไกลแล้ว ในที่สุดพ่อครัวเทพเป้าก็เลิกม่านขึ้น เขาหันหลังไปมองและพบว่าตนมองไม่เห็นเงาของหมู่บ้านแล้ว
“นายท่าน จะกลับไปหรือไม่?”
“ไม่ต้อง” พ่อครัวเทพเป้าส่ายหัว ปล่อยม่านลง แล้วเปิดห่อผ้าที่อวี๋หวั่นให้มา ด้านในมีกล่องสองใบ ใบหนึ่งบรรจุซาลาเปาร้อนๆ ส่วนอีกใบหนึ่งมีหนังสือที่หมึกยังไม่แห้ง เขียนว่า ‘ตกหลุมรักประธานเอาแต่ใจ’
“เด็กคนนี้…” พ่อครัวเทพเป้าหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาเล็ด
……
การไม่มีพ่อครัวเทพเป้าเปรียบประหนึ่งการสูญเสียของการประลอง และการดวลฝีมือของพ่อครัวอวี๋และพ่อครัวเทพเป้าก็เป็นที่เรียกร้องของผู้คนจำนวนมาก
“ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาประชันฝีมือกับพ่อครัวอวี๋แห่งหอจุ้ยเซียนของพวกเรา” นายท่านฉินนั่งหัวเราะร่าอยู่ในโรงน้ำชา
หอจุ้ยเซียนซึ่งมีพ่อครัวอวี๋กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาทันที ไม่จำเป็นต้องมีอาหารแนะนำ ข่าวแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวงว่าพ่อครัวเทพเป้าออกจากหอเทียนเซียงก็เพราะหอเทียนเซียงขโมยสูตรอาหารจากผู้อื่น อีกทั้งคนที่ถูกขโมยสูตรอาหารก็คือพ่อครัวอวี๋ผู้นี้เอง
เมื่อเขารู้ว่าตนเองกำลังถูกหลอกใช้ จึงสะบัดแขนเสื้อหนีไปจากหอเทียนเซียง
สวี่เซ่าก็ทุกข์ระทม โมโหจนล้มป่วย
หอเทียนเซียงสาขาที่แปดต้องปิดตัวลงทั้งที่ยังไม่ได้เปิดกิจการ
ขณะที่ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยข่าวร้าย ก็มีข่าวดีส่งมาจากชายแดนว่าชาวซยงหนูถูกตีจนถอยทัพไปแล้ว!
……………………………………
[1] ซุ้มประตูเกียรติคุณ ซุ้มประตูที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับขุนนางหรือสตรีพรหมจรรย์เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล