หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 151.2 ไปไม่กลับ (2)
จื่อซูตกตะลึง สมกับเป็นสามีภรรยายิ่งนัก แม้กระทั่งข้ออ้างก็ยังกล่าวเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อเด็กอ้วนทั้งสามถูกปลอบโยนจนหายดี ก็ให้จื่อซูพาออกไป เหลือเพียงอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาภายในห้อง
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉายากจะอธิบายออกมาเป็นคำกล่าวสั้นๆ
อวี๋หวั่นกะพริบตาอย่างประหลาดใจ “มีอันใดหรือ? หรือว่ามีเรื่องไม่คาดฝันที่น่าตกใจเกิดขึ้น?”
เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อืม จะกล่าวเช่นนั้นก็มิผิด”
อวี๋หวั่นนึกถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับตนเองในสองสามวันที่ผ่านมา สิ่งแรกที่คิดคือเธอตั้งครรภ์ แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป “ข้าท้องจริงหรือ?”
“ไม่ใช่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
อวี๋หวั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อวี๋อาหวั่น!” เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่อยากอุ้มท้องบุตรคุณชายเพียงนี้เลยรึ?!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องไม่คาดฝันที่น่าตกใจ สิ่งแรกที่เธอนึกถึงก็คือการตั้งครรภ์!
คุณชายเยี่ยนเกิดโทสะ!
“ทั้งต้าเป่าและเอ้อร์เป่ายังเด็กนัก มิใช่เพราะข้ากลัวจะละเลยพวกเขาหรอกหรือ? แน่นอนว่าข้าเต็มใจมีบุตรกับท่าน…” อวี๋หวั่นอธิบายด้วยความรู้สึกผิด
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัด “มิน่าถึงได้รีบเร่งทุกค่ำคืน!”
อวี๋หวั่น “…”
ยังจะสามารถครองคู่กันอย่างมีความสุขได้หรือไม่?
“เช่นนั้นมันเรื่องอันใดกัน?” อวี๋หวั่นย้อนกลับเข้าประเด็นหลัก
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หมอหลวงมาตรวจเจ้า และบอกว่าร่างกายของเจ้าขาดสมดุลเกินไป”
นี่ต่างหากเรื่องไม่คาดฝันที่น่าตกใจ อายุยังน้อยร่างกายก็ขาดสมดุลเสียแล้ว โชคดีที่รู้ทันเวลา มิเช่นนั้นนานวันเข้า สาเหตุที่แท้จริงของโรคจะยิ่งแย่ลง
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างงวยงง “ข้าก็มิได้ทำงานหนักอย่างงานในสวนดังเช่นเมื่อก่อนแล้วนี่นา”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวต่อ “มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับการทำงานในสวน ทว่าเพราะเจ้าอายุยังน้อย และไม่อาจทนต่อความต้องการที่แรงกล้าเกินไป”
ความหมายคือความปรารถนาทางกามารมณ์มากเกินไป จึงควรลดการเสพสังวาส?
อวี๋หวั่นหน้าแดงฉาน “อ้อ เช่นนั้น…สี่วันครั้งหนึ่งได้รึไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เอ่ยสิ่งใด
อวี๋หวั่นผงะ “ห้าวัน?”
เยี่ยนจิ่วเฉาขยับนิ้ว “สิบวัน”
อวี๋หวั่นนอนลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ก็…ก็เป็นเรื่องไม่คาดฝันที่น่าตกใจจริงๆ…”
……………………
ในจวนอื่น เห้อเหลียนฉีตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ แม้พิษกู่ในร่างกายของเขาจะได้รับการชำระล้างโดยราชครูแล้ว ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายไม่ง่ายที่จะรักษา กำลังภายในของเขาลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งของยุครุ่งเรือง แม้ใช้เวลาสามปีห้าปีก็ยังไม่อาจทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้
คิดดูแล้วตนเองเพียงแค่ล่วงเกินสาวใช้ตัวเล็กๆ ทว่ากลับต้องมาสูญเสียกำลังภายในไปมากถึงเพียงนี้…แน่นอนว่ายังมีใบหน้าของเขาที่ไม่ต้องเอ่ยถึง เห้อเหลียนอึดอัดคับแค้นใจ หากเป็นหนานจ้าว เขาคงจับตัวคนร้ายได้นานแล้ว ทว่านี่เป็นดินแดนของต้าโจว!
ทว่าแม้จะไม่ได้สืบ เขาก็พอเดาได้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด หลังจากข่มขู่เยี่ยนจิ่วเฉา ถัดมาก็เกิดเหตุร้ายเช่นนี้กับเขา หากบอกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่ก้างขวางคอ เขาก็ไม่มีทางเชื่อ!
ไม่แน่ว่าแม้แต่สาวใช้ผู้นั้นก็อาจอยู่ในแผนการของเยี่ยนจิ่วเฉาแต่แรก เพื่อทำให้เขาติดกับดักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น!
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยได้ยินบางเรื่องมาโดยบังเอิญ” ผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพเวยหย่วนเข้ามาในห้องเพื่อรายงาน
“เรื่องใด?” เห้อเหลียนฉีเอ่ยอย่างเย็นชา
ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวว่า “เดิมทีข้าไปสืบหาตัวคนร้ายที่หอจุ้ยเซียน ทว่าบังเอิญได้ยินว่า ฮูหยินเยี่ยนเป็นรองผู้ดูแลของที่นั่น”
หากเป็นเช่นนี้ หอจุ้ยเซียนก็คือดินแดนครึ่งหนึ่งของจวนคุณชาย ดูเหมือนว่าคนร้ายจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉาจริงๆ
เห้อเหลียนฉีกัดฟันกรอด “ดีเจ้าเยี่ยนจิ่วเฉา เจ้ากล้าเริ่มก่อน อย่าโทษข้าที่ต้องใช้ไม้แข็งแล้วกัน!”
…………………..
ด้านตะวันตกของตำหนักมีสวนล่าสัตว์ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ทุกครั้งเมื่อถึงสารทฤดูฮ่องเต้จะนำบรรดาราชนิกุลและข้าราชบริพารทั้งหลายไปล่าสัตว์ แม้จะเป็นช่วงต้นคิมหันตฤดู ทว่าเพื่อเป็นการต้อนรับทูตทั้งสองประเทศ ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ลานล่าสัตว์เปิดก่อนกำหนด
เมื่อรู้ว่ากำลังจะไปเยี่ยมชมสวน เด็กอ้วนทั้งสามก็ตื่นขึ้นก่อนอาทิตย์จะโผล่ขึ้นฟ้า พวกเขาใช้ศีรษะมุดในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา เพื่อปลุกให้ตื่น ทว่าอวี๋หวั่นที่นอนอยู่ข้างๆ ยังคงหลับสนิท บิดาและบุตรทั้งสี่จึงไม่ได้ปลุกเธอไปโดยปริยาย
เยี่ยนจิ่วเฉาสวมเสื้อผ้าให้เด็กอ้วนทั้งสาม จากนั้นเด็กอ้วนก็ไปล้างหน้าล้างตาอย่างมีความสุขสดชื่น!
กระทั่งจัดการอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เด็กชายตัวอ้วนทั้งสามก็มาที่เตียง และพรมจูบลงบนหน้าผากเล็กๆ ของอวี๋หวั่นเพื่อปลุกให้เธอตื่น
สิ่งแรกที่อวี๋หวั่นเห็นเมื่อลืมตาตื่น คือหัวเล็กกลมๆ สามหัว เธอมีความสุขยิ่งนัก เมื่อมองเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่รออยู่ตรงโต๊ะอาหาร พลันรู้สึกว่าสิบวันครั้งหนึ่งก็มิได้ยากลำบากอย่างที่คิด
หลังจากทานอาหารเช้า ทั้งหมดก็ไปขึ้นรถม้าเข้าสู่เมืองหลวง
ระหว่างทาง เยี่ยนจิ่วเฉาถามเรื่องการสอบของอวี๋ซง
อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ เธอไม่ได้เอ่ยถึงการสอบของอวี๋ซงแม้แต่น้อย และเขาเองก็ไม่เคยถามข่าวของอวี๋ซงตั้งแต่เข้าเรียนที่สำนักบัณฑิต เธอคิดว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ทว่าที่แท้ก็เก็บไว้ในใจหรอกหรือ?
อวี๋หวั่นรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ก่อขึ้นในหัวใจ ความรักที่ขาดหายไปในโลกก่อน คล้ายกับค่อยๆ ถูกเติมเต็มกลับมาในชาตินี้ “เมื่อวานข้าไปหาเขา แล้วถามว่าการสอบเป็นอย่างไร เขาบอกว่าอีกสามวันจึงจะประกาศผล”
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบรับ
เพียงเสียงที่แผ่วเบานี้ กลับทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเขาห่วงใยอวี๋ซง เด็กชายตัวอ้วนสามคนเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง สายตาทอดมองไปที่ถนนอย่างร้อนใจ อวี๋หวั่นดึงแขนเสื้อกว้างลงมาคลุมทั้งแขนจนปิดสนิท และค่อยๆ ใช้มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อดึงมือเขามาจับเบาๆ
ดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉาสั่นไหว
“อย่าขยับ” อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ “กลางคืนก็ไม่อนุญาตให้แตะต้องแล้ว กลางวันก็ไม่อนุญาตให้จับมืออีกด้วยหรือ?”
ปลายนิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาขยับ ฝ่ามือใหญ่ผละออกจากใต้ฝ่ามือเธอ หัวใจของอวี๋หวั่นพลันจมดิ่ง ทว่าวินาทีถัดมา ฝ่ามือใหญ่ก็กลับมาเกาะกุม พลันดึงมือเล็กๆ มาไว้ที่ฝ่ามือของเขาอย่างแนบแน่น
…
รถม้าขับไปที่ประตูตะวันตกของวังหลวง และจากที่นั่นตรงไปที่สวนล่าสัตว์ ฮองเฮาและสตรีในราชนิกูลก็มาถึงแล้วเช่นกัน มีสวี่เสียนเฟยที่ไม่พบมาหลายวัน เจินเฟยพระมารดาอุปถัมภ์ขององค์ชายสี่ อวี้เฟยพระมารดาเฉิงอ๋อง พระชายาจินและพระชายาหลิงที่อวี๋หวั่นเคยพบในตำหนักเฟิงชีในวันอภิเษกสมรสของเฉิงอ๋อง
นอกจากนี้ยังมีบุตรีของบรรดาองค์ชายและขุนนางอีกหลายท่าน อวี๋หวั่นเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของบุตรีเหล่านั้น
อวี๋หวั่นพยักหน้าให้พวกนางเล็กน้อย
หานจิ้งซูก็เห็นอวี๋หวั่นเช่นกัน อันที่จริงนางเห็นอวี๋หวั่นก่อนอีกฝ่ายเสียอีก วันนี้อวี๋หวั่นสวมกระโปรงบางเบารัดเอวแขนกว้างสีฟ้าอมเขียว เสื้อคลุมตัวนอกเป็นสีเงินโปร่งแสงครึ่งหนึ่ง และไม่มีปิ่นมุกประดับเต็มศีรษะ มีเพียงฮัวเตี่ยน[1]หยกเขียวสองคู่ ทว่าไม่อาจทัดเทียมความงามของเธอได้ เมื่อเธอไปยืนอยู่ที่นั่น สตรีญาติต่างถูกเธอกลบความเฉิดฉายจนหมดสิ้น ราวกับแสงสว่างบนฟากฟ้าทั้งหมดล้วนตกอยู่บนร่างของเธอ ทั่วทั้งเรือนร่างงดงามเปล่งประกาย
เยี่ยนจิ่วเฉาที่ยืนอยู่ข้างเธอ ก็มีรูปพรรณที่ดีไม่เหมือนผู้ใดในใต้หล้า ทว่าหานจิ้งซูมีเยี่ยนไหวจิ่งอยู่ในใจแล้ว นางจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับเยี่ยนจิ่วเฉาอีก
หานจิ้งซูค้อมตัวไปทางอวี๋หวั่น
เซียวจื่อเยว่ที่แย่งบุรุษคนเดียวกัน กลับสามารถวางความไม่พอใจและเข้าหาเธอได้ ทว่าหานจิ้งซูไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น อย่างที่หานจิ้งซูกล่าว พวกนางพยักหน้าเป็นการทักทายเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ในอ้อมแขนของฮองเฮามีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ผิวพรรณผุดผ่องเนียนละเอียดราวกับหยกขัดเงาอยู่คนหนึ่ง นางก็คือองค์หญิงจิ่วที่มีอายุหกขวบ
องค์หญิงจิ่วเล่นส่งสายตากับฮ่องเต้ที่อยู่ข้างๆ ทันทีที่ฮ่องเต้ส่งสายตากลับไป นางก็จะหลบซ่อนอยู่ในอ้อมแขนของฮองเฮาด้วยท่าทีเขินอาย ไม่นานนางก็ส่งสายตากลับไปหาฮ่องเต้อีก เป็นเช่นนี้อยู่หลายครา ทำให้ฮองเฮารู้สึกขบขันยิ่งนัก
แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ต้องการพบฮองเฮา ทว่าตั้งแต่มีจิ่วน้อย ฮ่องเต้ก็ทรงพักอยู่ที่ตำหนักเจาหยางมาหลายวันแล้ว เห็นได้ว่าการตัดสินใจในตอนแรกนั้นถูกต้อง ฮ่องเต้มิได้ขาดแคลนองค์ชายหรือองค์หญิง ทว่าในใจของพวกเขา เห็นว่าเขาคือกษัตริย์ก่อนแล้วจึงเป็นบิดา มีเพียงองค์หญิงจิ่วที่โง่เขลามองฮ่องเต้เป็นบิดาที่น่าเคารพยำเกรงเท่านั้น
ไม่ช้าองค์หญิงจิ่วก็เห็นอวี๋หวั่น จึงละทิ้งฮ่องเต้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฮองเฮา
เมื่อฮ่องเต้ส่งสายตาหาบุตรสาวของเขาอีกครั้ง เอ่อ…บุตรสาวเล่า?
องค์หญิงจิ่วยื่นศีรษะเล็กๆ ออกมาจากด้านหลังฮองเฮาและมองไปที่อวี๋หวั่นอย่างขวยเขิน
ฮ่องเต้พระพักตร์มืดหม่น สตรีผู้นี้อีกแล้ว แย่งหลานเขาไปไม่พอ ยังมาแย่งบุตรสาวเขาไปอีก!
สมาชิกทั้งห้าของครอบครัวถวายบังคมฮ่องเต้
เด็กอ้วนตัวน้อยยอมให้ฮ่องเต้กอดอย่างเชื่อฟัง ฮ่องเต้รู้สึกอุ่นใจ สมกับที่เป็นคนของสกุลเยี่ยน รู้จักเข้าหาเขา เอาละ เห็นแก่ความดีความชอบที่สตรีผู้นี้ให้กำเนิดบุตรชาย จะไม่ถือสาหาความกับนางอีก
อวี๋หวั่นเดินไปข้างกายฮองเฮา “ถวายบังคมฮองเฮา”
องค์หญิงจิ่ววิ่งไปฝั่งฮ่องเต้อย่างเขินอาย
ฮองเฮาหัวเราะ “เด็กผู้นี้ กำลังรอให้เจ้ามา นางขี้อายยิ่งนัก ยิ่งชอบมากก็ยิ่งเขินอาย กับเสด็จพ่อของนางก็เช่นกัน”
อวี๋หวั่นกับองค์หญิงจิ่วพบกันไม่กี่ครั้ง ยังไม่ถึงกับผูกพัน ทว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ทั้งสวยและน่ารัก ก็ทำให้ผู้คนชื่นชอบได้อย่างง่ายดาย “หม่อมฉันก็ชอบองค์หญิงจิ่วเช่นกันเพคะ”
ฮองเฮาแย้มยิ้มพึงใจ “อีกครู่หนึ่งเหล่าบุรุษทั้งหลายจะออกไปล่าสัตว์ พวกเราพาเด็กๆ ไปเดินเล่นที่สวนแล้วกัน”
พื้นที่ล่าสัตว์ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับการล่าสัตว์เท่านั้น ทว่ายังเป็นสวนให้ชมสัตว์อีกด้วย ซึ่งสัตว์หายากนานาชนิดถูกกักขังไว้ที่นี่
อวี๋หวั่นไม่เคยไปที่นั่น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
ในไม่ช้าทหารองครักษ์ก็นำม้าเข้ามา ฮ่องเต้เลือกม้าที่สูงใหญ่และทรงพลังที่สุด หลังจากนั้นบรรดาองค์ชายก็เลือกม้าตัวโปรดของพวกเขา เมื่อมาถึงเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉากลับเลือกม้าตัวหนึ่งที่ดูผอมโซขาดสารอาหาร
ทุกคนต่างหัวเราะคิกคัก ขยะก็คือขยะ แม้แต่สายตาการเลือกม้าก็ยังอ่อนด้อย ไม่เห็นหรือว่าม้าตัวนั้นซูบผอมจนซี่โครงแทบจะหลุดออกมา? นี่จะล่าได้จริงหรือ? ยังไม่ทันจะจับเหยื่อได้ ก็คงตกใจตายไปก่อนแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เห้อเหลียนฉีกับองค์ชายรองแห่งซยงหนูก็มาเช่นกัน พวกเขาขี่ม้าของตนเอง ซึ่งดูแล้วแข็งแรงกว่าม้าของต้าโจวมาก
เห้อเหลียนฉีควบม้าไปด้านหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา และมองดูม้าที่ซูบผอมที่คล้ายจะล้มลงได้ตลอดเวลา พลันหัวเราะเยาะ “ต้าโจวของพวกเจ้าไม่มีม้าแล้วหรือไร? ให้แม่ทัพผู้นี้ส่งม้ามาให้เจ้าสักตัวดีหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างดุดัน “ส่งม้ามามีอันใดน่าประทับใจ หากมีความสามารถก็ส่งชีวิตเจ้ามาสิ”
เห้อเหลียนฉีหรี่ตา
สองขาของเยี่ยนจิ่วเฉาหนีบท้องม้า ขณะที่ควบผ่านเห้อเหลียนฉี เห้อเหลียนฉีก็คว้าบังเหียนของเขา “ข้าได้ยินมาว่าสวนล่าสัตว์ของราชวงศ์ต้าโจวอันตรายมาก ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกเช่นเจ้าอย่าไปเลยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแม่ทัพผู้นี้คงกังวลว่าเจ้าจะไปไม่กลับ”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเนือยๆ “เจ้าแน่ใจหรือว่า ผู้ที่ไปไม่กลับจะเป็นข้า?”
…………………………………………………….
[1] ฮัวเตี่ยน คือ การวาดลวดลายดอกไม้ไว้หว่างคิ้วเพื่อประดับใบหน้าให้สวยงาม