หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 153.1 แผนการของพี่จิ่ว เด็กอ้วนชมนก (1)
ตอนที่อิ่งสือซันพบเบาะแสที่ซ่อนตัวของเห้อเหลียนฉี เห้อเหลียนฉีก็ถูกพวกตะกร้าสาน[1]ยิงจนพรุนเสียแล้ว ส่วนองค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องก็เดินทางหาเหยื่อตัวอื่นต่อไป ขณะที่จากไปยังไม่วายใช้วาจาจิกกัดฟาดฟันอีกฝ่าย ว่าฝีมือการใช้ธนูเลวร้ายเกินบรรยาย แม้กระทั่งขนสักเส้นก็ยิงไม่โดน…
อิ่งสือซันพาเห้อเหลียนฉีที่หายใจรวยรินไปอยู่ต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉามองดูร่างพรุนที่อยู่ต่อหน้า “…”
“ผู้ใดเป็นคนทำ” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งสือซันยกมือคำนับ “เป็นลูกธนูขององค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องขอรับ”
ก่อนเข้าสู่สนาม ทุกคนจะได้รับธนูและลูกธนู ซึ่งลูกธนูจะมีป้ายกำกับว่าเป็นของผู้ใด เพื่อให้ง่ายต่อการแยกแยะว่าผู้ใดเป็นคนยิงเหยื่อ อิ่งสือซันกล่าวเพียงลูกธนูเป็นของเฉิงอ๋องกับองค์ชายใหญ่เท่านั้น เขาหาได้บอกว่าทั้งสองเป็นคนทำ เพราะอย่างไรตะกร้าสานของคุณชายก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา มือใหม่เช่นพวกเขาทั้งสองก็นับว่ามีฝืมือใช้ได้ ไม่อย่างนั้นยอดฝีมืออย่างเห้อเหลียนฉีจะถูกมือใหม่สองคนยิงจนเป็นเยี่ยงนี้ได้หรือ? หรือจะเป็นดั่งในตำนานที่ว่านอนเฉยๆ ธนูก็พุ่งเข้าปัก เช่นนั้นก็คงจะโชคร้ายเกินไปกระมัง?
สิ่งที่อิ่งสือซันไม่รู้ก็คือเห้อเหลียนฉีนอนเฉยๆ ธนูก็พุ่งเข้าปักจริงๆ!
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้ใดนำลูกธนูของพวกเขามาเพื่อใส่ความพวกเขา?” อิ่งสือซันถาม
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยท่าทางเย็นชา “นอกจากคุณชายผู้นี้ ยังมีผู้ใดอาจหาญถึงเพียงนี้?”
การปองร้ายทูตหนานจ้าวไม่ใช่ความผิดเล็กน้อย นอกจากคนบ้าอย่างคุณชายของเขาแล้ว คงไม่มีผู้ใดคิดน้อยทำเรื่องเช่นนี้ได้
แต่จะยกหางตัวเองเช่นนี้หรือ? ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนที่แต่งงานแล้ว เลิกหลงตัวเองเสียทีมิได้หรือ?
มุมปากอิ่งสือซันกระตุก เอ่ยถามคุณชายที่ไร้ยางอาย “เช่นนี้จะทำอย่างไรต่อไปขอรับ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาก้มลงมองเห้อเหลียนฉี เอ่ยอย่างสงบเยือกเย็น “จัดการให้แนบเนียนสักหน่อย”
อิ่งสือซันเข้าใจว่าเยี่ยนจิ่วเฉาหมายถึงอะไร เขาลากเห้อเหลียนที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป
คุณชายลูบคันธนูในมืออย่างเบิกบาน ยามนี้เขาก็คงล่าสัตว์อย่างมีความสุขได้เสียที
ข่าวโชคร้ายของเห้อเหลียนฉีไม่ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทว่า ‘ผลคะแนนการล่า’ ในเขตล่าสัตว์ถูกขันทีส่งข่าวไปยังสวนเชยชมไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นฮองเฮาที่ให้ความสนใจมาก นางกำชับขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตล่าสัตว์เป็นพิเศษ
เมื่อขันทีคาบข่าวกลับมาที่สวนเชยชมอีกครั้ง ฮองเฮาก็กำลังนำกลุ่มคนเดินไปตามทางเล็กๆ ที่ถูกปูด้วยหินไข่ห่าน ด้านหน้าเป็นสวนนก ซึ่งใช้เพิงสีเขียวให้ร่มเงา ด้านในมีนกน้อยบินไปมา เด็กอ้วนตัวน้อยอดใจไม่ไหว วิ่งออกไปชมนกชมไม้
ฝูหลิงและจื่อซูรีบวิ่งตามไป
องค์หญิงจิ่วให้อวี๋หวั่นจูงมือไปเงียบๆ อย่างว่าง่าย ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
“ผู้ใดล่าได้มากที่สุดหรือ?” ฮองเฮาตรัสถามด้วยรอยยิ้ม
ขันทีเอ่ยตามความเป็นจริง “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามนั้นกล้าหาญมาก เหยื่อที่เขาล่าได้เทียบได้กับองค์ชายรองแห่งซยงหนู ซยงหนูเป็นชนเผ่าบนหลังม้า การขี่ม้ายิงธนูเป็นจุดแข็งของพวกเขา เช่นเดียวกับคนในจงหยวนที่เชี่ยวชาญซื่อซูอู่จิง[2] ซึ่งชาวต่างชาติแทบจะจำไม่ได้
“เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสถามถึงพระชายาขององค์ชายสาม ว่าเหตุใดนางจึงไม่มาเขตล่าสัตว์ และได้ทราบว่ามารดาของนางไม่สบาย ฝ่าบาทจึงให้คนส่งโสมไปให้” ขันทีส่งข่าวรายงานอย่างแผ่วเบา
“อืม องค์ชายสามเก่งกาจไม่เบา ช่างเป็นหน้าเป็นตาแก่ต้าโจวยิ่งนัก” สีพระพักตร์ของฮองเฮาดูเปรมปรี ทว่าในใจของนางมีความสุขเช่นนี้หรือไม่นั้นมิอาจทราบ
หลังจากได้ยินคำเอ่ยของฮองเฮา สวี่เสียนเฟยก็หัวเราะเบาๆ “องค์ชายสามเหี้ยมหาญถึงเพียงนี้ องค์ชายคนอื่นๆ ก็คงไม่ต่างกันกระมัง?”
“เอ่อ…” ขันทีกำลังตกที่นั่งลำบาก ที่ไม่ต่างกันนักเป็นองค์ชายสี่ องค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องกลับเอาแต่เดินไปมาอยู่ในป่า เฉิงอ๋องเก่งบุ๋น ย่อมไม่แปลกหากล่าไม่ได้ ทว่าองค์ชายใหญ่หาได้เป็นเช่นนั้น บู๊ก็ไม่ได้ บุ๋นก็ไม่ดี ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น ช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเล็กน้อย
“องค์ชายล่าสิ่งใดได้บ้างหรือ” ประโยคคำถามของสวี่เสียนเฟยแฝงด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ขันทีลอบมองพระพักตร์ของฮองเฮา ทว่าน่าเสียดายที่ฮองเฮาไม่อาจปฏิเสธคำถามนี้ได้ ดังนั้นขันทีจึงต้องฝืนใจทูลตอบ “องค์ชายสี่ล่าตัวลิ่น นก ไก่ไผ่คู่หนึ่ง และกระต่ายป่าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้ที่รู้จักกาลเทศะก็ควรหยุดแล้ว ทว่าสวี่เสียนเฟยเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะหรือไม่เล่า?
“แล้วองค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องเล่า?” สวี่เสียนเฟยถามอย่างสิ้นหวัง
ขันทีฝืนใจทูลอีกครั้ง “ไม่มีข่าวเกี่ยวกับทั้งสองพระองค์แจ้งมา ตอนที่คำนวณอาจมีการผิดพลาดตกหล่น อีกครู่หนึ่ง กระหม่อมจะไปดูอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
ความตั้งใจแรกของฮองเฮาที่ให้ความสนใจกับเขตล่าสัตว์ คือการทราบว่าบุตรชายของนางล่าได้เท่าใด และผลการเทียบกับพี่น้องของเขาเป็นอย่างไร ทว่าเมื่อขันทีทูลเช่นนี้ ก็ทราบได้ทันทีว่าบุตรชายของนางพ่ายแพ้ให้แก่น้องๆ ของเขา สตรีในวงศ์ตระกูลที่อยู่ข้างนาง ล้วนไม่กล้าทำให้นางอับอายต่อหน้าสาธารณะ มีเพียงสวี่เสียนเฟยที่กล้าประณามอย่างโจ่งแจ้งว่าองค์ชายใหญ่ไร้ความสามารถ นับเป็นการตบหน้าฮองเฮาอย่างแรง
หากฮองเฮาไม่เจ็บปวด สวี่เสียนเฟยก็คงเจ็บปวด
คิดว่าตนเองเป็นผู้ชนะอยู่ฝ่ายเดียวหรือ? ใต้หล้านี้มีเรื่องดีเช่นนั้นที่ใด?
สวี่เสียนเฟยจับมือของหานจิ้งซูและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปดูเสือ”
“เพคะ” หานจิ้งซูตอบรับอย่างแผ่วเบา
นับตั้งแต่วันแรกที่นางเลือกเยี่ยนไหวจิ่ง จวนอัครมหาเสนาบดีก็ถือว่าอยู่ฝั่งของสวี่เสียนเฟย นางจำต้องขัดแย้งกับฮองเฮา ทว่าก็เป็นเพียงจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น
สวี่เสียนเฟยพาหานจิ้งซูออกไป ดวงตาของฮองเฮาฉายแววเยือกเย็น บรรดาสนมนางในด้านหลังต่างหลุบหน้าหลุบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
แม้องค์หญิงจิ่วจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่เอ่ย ทว่านางก็ยังรู้สึกว่าฮองเฮาโกรธ นางจึงเริ่มหวาดกลัวเล็กน้อย
หลังจากกลายเป็นมารดา อวี๋หวั่นก็ยิ่งอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนข้างตัวมากขึ้น เธอรู้สึกถึงความกลัวขององค์หญิงจิ่ว จึงบีบมือของนางเบาๆ “อยากไปหาพวกต้าเป่าหรือไม่?”
องค์หญิงจิ่วพยักหน้า
ฮองเฮาไม่ได้ให้พวกเขาอยู่ด้วย มิฉะนั้นอวี๋หวั่นคงไม่ปล่อยให้เด็กอ้วนทั้งสามคนวิ่งหนีไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นหากต้องการไปเดินเล่นที่ใด ก็เพียงแค่บอกฮองเฮา
อวี๋หวั่นเดินนำองค์หญิงจิ่วไป “ฮองเฮา หม่อมฉันจะไปที่สวนนกกับองค์หญิงจิ่ว พระองค์ต้องการเสด็จไปด้วยกันหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮายิ้มอ่อนโยน “ข้าอายุมากแล้ว มิได้แข็งแรงเช่นหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าไปกันเถิด ข้าจะไปพักผ่อนในศาลา”
อวี๋หวั่นค้อมกายส่งเสด็จฮองเฮาไปที่ศาลา ก่อนจะพาองค์หญิงจิ่วเข้าไปในสวนนก
สวนนกเป็นเหมือนกรงนกขนาดใหญ่ ด้านในมีต้นไม้ธรรมชาติ และภูมิทัศน์เทียมที่ได้สร้างขึ้น บนกิ่งไม้ใบไม้และเชือกเขียวชอุ่ม ปกคลุมไปด้วยขนนกหลากสี เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วไม่มีที่สิ้นสุด อวี๋หวั่นได้ฟังจนเคยชิน จึงไม่เอะอะโวยวาย และญาติฝ่ายหญิงรู้สึกเป็นเรื่องที่ไม่พบได้บ่อยนัก จึงไม่ส่งเสียงดังเช่นกัน
ฝูหลิงแกะข้าวโพดต้มสุกให้กับเด็กชายตัวอ้วนๆ เป็นอาหารนก เด็กชายตัวอ้วนๆ สามคนนั่งยองๆ ให้อาหารนกน้อยสามตัวด้านหน้าพวกเขาอยู่บนพื้น ให้ตนเองกินหนึ่งเม็ด ให้นกกินหนึ่งเม็ด ให้ตนเองกินสองเม็ด ให้นกกินหนึ่งเม็ด ให้ตนเองกินสามเม็ด ให้นกกินหนึ่งเม็ด…
อวี๋หวั่น “…”
ดูเหมือนว่าในที่สุดก็เข้าใจว่าทั้งสามคนอ้วนได้อย่างไรแล้ว…
องค์หญิงจิ่วไม่คุ้นเคยกับเด็กน้อยทั้งสาม จึงไม่ได้เล่นด้วยกัน อวี๋หวั่นให้ฝูหลิงหยิบข้าวโพดให้องค์หญิงจิ่ว นางถือข้าวโพด นกก็กระพือปีกบินเข้ามาหานาง นางร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ให้อาหารนกอย่างแสนสุข
หลังจากให้อาหารนกตัวเล็กๆ (ตนเอง) เด็กอ้วนตัวเล็กๆ ก็วิ่งเตาะแตะไปหาอวี๋หวั่น บิดขาเล็กๆ ไปมา พร้อมกับร้องโอดครวญ
อยากปลดทุกข์เบา
อวี๋หวั่นมองไปที่องค์หญิงจิ่วที่กำลังเล่นอย่างมีความสุข ฮองเฮาไม่อยู่ องค์หญิงจิ่วก็ถูกส่งมาอยู่ในมือเธอ เธอไม่สามารถละทิ้งองค์หญิงจิ่วไปได้ เธอจึงเอ่ยกับบุตรชายว่า “ให้จื่อซูพาไปนะ”
ทั้งสามกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเธอ
ต้องการท่านแม่ จะเอาท่านแม่!
อวี๋หวั่นเป็นคนใจแข็งมาก ทว่าเธอก็ไม่อาจโหดร้ายกับบุรุษตัวเล็กๆ ได้ อวี๋หวั่นเดินไปหาองค์หญิงจิ่วแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงจิ่ว ข้าต้องพาพวกต้าเป่าไปห้องสุขา อยากไปกับพวกเราหรือไม่”
องค์หญิงจิ่วกะพริบตาปริบๆ “ข้ารอพวกท่านอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?”
นางอยากเลี้ยงนก
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นองค์หญิงอย่าไปที่ใดนะเพคะ ข้าจะให้ฝูหลิงและจื่อซูอยู่ดูแล”
จื่อซูละเอียดรอบคอบดังเส้นผม ส่วนฝูหลิงทนทานแข็งแรง การเฝ้าดูเด็กหญิงวัยหกขวบไม่ใช่ปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือสวนชมสตว์ มีแต่สนมนางในของฮ่องเต้ ไม่อาจมีคนนอกเข้ามาได้
ขอเพียงได้เลี้ยงนก ให้ทำอย่างไรก็ยอม องค์หญิงจิ่วตอบตกลงอย่างเชื่อฟัง อวี๋หวั่นกำชับฝูหลิงและจื่อซูให้ปกป้องดูแลองค์หญิงจิ่วอย่างใกล้ชิดทุกระยะหนึ่งนิ้ว
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูรับคำ จากนั้นก็เห็นฝูหลิงก้าวเท้ายาวไปหาองค์หญิงจิ่ว จนแทบจะยืนติดกับองค์หญิงจิ่ว
ฝูหลิงชูนิ้วขึ้นมาวัด “หนึ่งนิ้ว ถูกต้อง”
จื่อซู “…”
มีขันทีประจำการอยู่ที่สวนชมนก อวี๋หวั่นถามว่าห้องสุขาอยู่ที่ใด เธอจะพาเด็กอ้วนตัวน้อยทั้งสามไปด้วยตนเอง ทว่าขันทีจะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้ในการประจบสอพลอนายหญิงแห่งจวนคุณชาย เขาพาเธอไปด้วยรอยยิ้มเริงร่า
แท้จริงห้องสุขาไม่ได้อยู่ไกลนัก ทว่าเมื่อสองสามวันก่อนพายุฝนได้ทำลายสะพานไม้ข้ามคลองเล็กๆ ซึ่งสะพานไม้แห่งนี้เป็นทางไปยังห้องสุขาที่ใกล้ที่สุด เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม ขันทีจึงต้องพาบุตรและมารดาเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นแทน
อวี๋หวั่นโชคดีที่ไม่ปฏิเสธขันทีที่จะเป็นผู้นำทาง เส้นทางที่ซับซ้อนเช่นนี้หาได้อธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ
ทว่าเมื่อมองดูเด็กชายตัวอ้วนๆ ทั้งสามที่กระโดดโลดเต้นไปมาอีกครั้ง ท่าทางเร่งด่วนเมื่อครู่ไปอยู่ที่ใดแล้ว?
ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หากแต่อิจฉาที่ตนจูงเด็กผู้หญิงคนอื่น จึงอยากทำตัวเหมือนเด็กเพื่อยึดเธอคืนกระมัง?
อวี๋หวั่นทั้งโกรธทั้งขำ
เด็กๆ โตขึ้น เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ไม่เพียงแต่ท้องจะกลมเท่านั้น ทว่าความคิดก็รอบคอบมากขึ้นด้วย เมื่อแรกพบกันยังเป็นเด็กน้อยน่าสงสารที่เหนียมอาย เด็กน้อยที่แสนฉลาดเจ้าเล่ห์เยี่ยงทุกวันนี้มาจากที่ใดกัน?
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน ไม่มีบิดามารดาคนใดไม่คาดหวังให้บุตรเติบโตขึ้น ทว่า… หากพวกเขาพูดได้ก็คงจะดีกว่านี้
อวี๋หวั่นมองพวกเขาอย่างอ่อนโยน
เด็กชายตัวอ้วนทั้งสามรู้เพียงว่าอวี๋หวั่นกำลังมองพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าในใจของอวี๋หวั่นกำลังคิดสิ่งใด ยังคงกระโดดขึ้นลงอย่างมีชีวิตชีวา
อวี๋หวั่นรู้สึกขำขันเมื่อเห็นไขมันของพวกเขากระเพื่อมขึ้นลง
ขันทีที่นำทางก็หัวเราะ ที่เขารับหน้าที่นี้มาเพราะต้องการประจบสอพลอโดยเฉพาะ ไม่คิดว่าบุตรชายตัวน้อยทั้งสามจะน่ารักจริงๆ หัวใจของเขาเต้นรัว การมีบุตรชายเป็นเรื่องยากในราชวงศ์ ฮูหยินน้อยสามารถให้กำเนิดบุตรชายสามคนในท้องเดียวนับว่าช่างโชคดีเหลือล้น
………………………………..
[1] ตะกร้าสาน อุปมาถึง คนที่ไร้ความสามารถ
[2] ซื่อซูอู่จิง ซื่อซูคือ หนังสือทั้งสี่ ที่รวบรวมแนวคิดและหลักการปกครองด้านความรู้และคุณธรรม อู่จิง คือคัมภีร์ทั้งห้าที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กวี พิธีกรรมและปรากฎการณ์ธรรมชาติ