หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 164.2 ช่วยกันด้วยแรงอันน้อยนิด (2)
แม้คนรับใช้ในจวนคุณชายจะสงบปากสงบคำ ทว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถล่วงรู้ความลับของเยี่ยนจิ่วเฉาได้ ยกเว้นจื่อซูกับฝูหลิง คนรับใช้อื่นๆ ถูกอวี๋หวั่นสั่งให้ออกไปทั้งหมด
เซียวเจิ้นถิงเดินมาที่หน้าเตียง
แสงตะเกียงไฟสลัว
บุรุษร่างสูงใหญ่ดั่งภูผา ดูคล้ายกับหลังงุ้มลงชั่วขณะ
อวี๋หวั่นอ้าปาก หมายจะเอ่ยบางอย่าง
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้หันกลับมา ทว่าเขาได้ยินเสียงหายใจของเธอ “ข้าขอดูเขาสักหน่อย แล้วจะจากไปในไม่ช้า”
อวี๋หวั่นไม่ได้คิดจะผลักไสเขาออกไปแต่อย่างใด “เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านดูแลเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว ข้าจะไปห้องตำราสักประเดี๋ยว”
อวี๋หวั่นหาได้ไปห้องตำราเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์ฉันท์บิดากับบุตรชาย ทว่าเธอมีบางอย่างจะถามอิ่งลิ่ว
“เรื่องที่ซื่อจื่อถูกพิษ เจ้าคิดอย่างไร?”
อิ่งลิ่วลำบากใจ
หากจะกล่าวว่าผู้ใดเป็นคนทำ…มีคนมากมายที่ต้องการทำเช่นนี้ ที่ไกลๆ ไม่ต้องเอ่ย แค่บุตรตระกูลร่ำรวยในเมืองหลวงที่เคยถูกคุณชายจัดการจนอ่วม ไม่มีใครสักคนที่ไม่ต้องการให้เยี่ยนจิ่วเฉาตายไวๆ พวกเขามีจิตอันชั่วร้ายทว่าไม่มีใจที่กล้า
สวี่เสียนเฟยมีทั้งจิตชั่วร้ายและใจที่กล้า…สวี่เสียนเฟยนับว่าเป็นผู้เดียว ทว่าสวี่เสียนเฟยรู้ดีว่าเยี่ยนจิ่วเฉาถูกพิษตู๋โจ้วแห่งหนานเจียงอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องใช้ไป๋หลี่เซียงเพื่อจัดการอีก
หรือจะเป็นบ้านเล็กของเยี่ยนอ๋อง? อวี๋หวั่นคิด
หรือจะเป็นตี้จีองค์เล็กแห่งหนานจ้าว? อิ่งลิ่วคิดในใจ
ในใจของทั้งสองเดาไปต่างๆ นานา ทว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก
อิ่งลิ่วครุ่นคิด “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณชายถูกวางยา แต่นอกจากครั้งนั้นที่ถูกฮ่องเต้องค์ก่อนวางยา เราทุกคนก็คิดว่าไม่มีผู้ใดจะทำได้อีก ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไป๋หลี่เซียงนี้มาอยู่ในร่างกายของคุณชายได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “หรือจะเป็นที่จวนเยี่ยนอ๋อง…”
อิ่งลิ่วส่ายศีรษะ “ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะยังไม่ได้อยู่ข้างกายคุณชาย ทว่าข้าก็ได้ยินลุงวั่นเล่า ตอนที่เยี่ยนอ๋องย้ายไปเมืองเยี่ยน คุณชายได้รับพิษตู๋โจ้วจากฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว เยี่ยนอ๋องกับพระชายาก็ระมัดระวังการกินและการใช้ชีวิตประจำวันของคุณชายมากขึ้น ข้าคิดว่าคนร้ายในเมืองเยี่ยนมีโอกาสกระทำสำเร็จน้อยนัก”
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนที่วางยาเป็นคนที่อยู่ในเมืองหลวง”
อิ่งลิ่วพยักหน้า “อาจเป็นก่อนที่จะย้ายไปเมืองเยี่ยน หรืออาจเป็นช่วงที่มาเยี่ยมญาติที่เมืองหลวงในทุกๆ ปี”
อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่าโอกาสที่จะทำสำเร็จในเมืองหลวงมีมากกว่า แม้จะไม่มีหลักฐาน ทว่าสัญชาตญาณของเธอบอกเช่นนี้ “ชุยเฒ่ากล่าวว่าต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนที่พิษนี้จะออกอาการ หากรอถึงตอนที่ออกอาการ ก็ไม่รู้ว่าทานสิ่งใดไปบ้าง หรือผ่านมือผู้ใดไปบ้าง จะไปตามหาว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำก็คงหาไม่พบเสียแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยนจิ่วเฉากินลงไปได้ ย่อมต้องเป็นคนที่สามารถใกล้ชิดกับเยี่ยนจิ่วเฉาได้เช่นกัน และต้องไม่ถูกผู้ใดสงสัย”
อิ่งลิ่วตกใจ “ความหมายของพระชายาคือบุคคลใกล้ชิดหรือ?”
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ซื่อจื่อของพวกเจ้าอารมณ์ร้ายถึงเพียงนั้น จะยอมกินอาหารจากคนแปลกหน้าหรือ?”
นี่ก็เป็นความจริง อย่างเช่นพิษตู๋โจ้ว หากฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ป้อนด้วยตนเอง คุณชายจะกินได้อย่างไร? เมื่อคิดเช่นนี้ อิ่งลิ่วก็พลันรู้สึกเกินทน ศัตรูทำร้ายไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือมีดของคนใกล้ชิด และสิ่งที่บาดหาใช่เนื้อเลือด แต่เป็นหัวใจ
ชุยเฒ่านึกถึงสูตรยาได้สูตรหนึ่ง จึงสอนให้อวี๋หวั่น และอวี๋หวั่นก็ให้อิ่งลิ่วไปซื้อมาจากร้านขายยาทันที ยาที่ปรุงด้วยตนเองเสร็จแล้วถูกยกเข้ามาในห้อง
เยี่ยนจิ่วเฉาเริ่มมีไข้สูงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ คิ้วขมวดอย่างเหลือทน ราวกับหนุ่มน้อยที่กำลังเจ็บปวด
เมื่อเซียวเจิ้นถิงมองไปที่เขา คิ้วก็พลันมุ่นขมวดเล็กน้อย ใบหน้าของเซียวเจิ้นถิงเริ่มซีดเซียว ราวกับสัตว์ร้ายที่ตื่นตระหนกตกใจกับอาการป่วยของเด็กน้อยจนทำอะไรไม่ถูก
แต่อย่างไรก็เป็นสัตว์ร้ายมิใช่หรือ?
ยามที่อวี๋หวั่นเห็นซั่งกวนเยี่ยนยืนคู่กับเขาครั้งแรก ความคิดของเธอคือ หญิงงามกับเจ้าชายอสูร ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเซียวเจิ้นถิงไม่ได้อัปลักษณ์ ในทางกลับกันเขาหล่อเหลาดูดี ทว่าท่าทางดูดุดันเกินไป
“แม่ทัพใหญ่เซียว” อวี๋หวั่นเดินเข้าไปเบาๆ ถึงได้เห็นว่าเขาเปียกโชกไปทั้งตัว ไม่รู้เพราะร้อนหรือเพราะกลัวกันแน่
“ข้า ให้ข้าทำหรือ?” เซียวเจิ้นถิงมองชามยาในมือของเธอ เมื่อกล่าวจบก็นึกเสียใจ ฉงเอ๋อร์เกลียดเขามากถึงเพียงนี้ เรื่องแบบนี้เขาจะมีโอกาสทำได้อย่างไร…
“รบกวนท่านแล้ว” อวี๋หวั่นยื่นชามยาให้เขา
“เอ่อ…” เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบชามยามาด้วยความงุนงง ด้วยความตื่นเต้นกังวลใจทำให้มือของเขาสั่น จนช้อนในชามเกือบตกลงมา
เขาเป็นคนร่างใหญ่ มือจึงใหญ่ไปด้วย ถ้วยนี้อวี๋หวั่นต้องถือด้วยสองมือเท่านั้น ทว่าเมื่อมันอยู่ในอุ้งเท้าหมีของเขากลับกลายเป็นสิ่งที่เล็กกระจิดริด
เขาหยิบช้อนขึ้นมาอย่างงกๆ เงิ่นๆ และเอ่ยถามอย่างประหม่าปนกระอักกระอ่วน “ใช่ ใช่แบบนี้หรือไม่?”
เขาไม่เคยป้อนเด็ก
ยามที่รับเซียวเหยี่ยนมา เขาก็โตมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องป้อนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเหยี่ยนก็ติดซั่งกวนเยี่ยนยิ่งนัก ซั่งกวนเยี่ยนดูแลเซียวเหยี่ยนทุกอย่าง ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่และการเดินทางอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
อวี๋หวั่นส่งสายตาให้กำลังใจเขา
เซียวเจิ้นถิงกลั้นใจป้อนจนเสร็จ เขายังเป็นมือใหม่ จึงป้อนอย่างทุลักทุเล เยี่ยนจิ่วเฉาที่กำลังมึนงงถูกช้อนคำใหญ่ป้อนจนตาเหลือกเป็นสีขาว
“นั่น…นั่น…ข้า…” เซียวเจิ้นถิงเกาหัวอย่างลำบากใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองเขาด้วยสายตาคับแค้น พลันหันหน้าหนีอย่างโกรธเกรี้ยว และผล็อยหลับไป
เซียวเจิ้นถิงลำบากใจทำอะไรไม่ถูก
อาการป่วยของสามีเป็นแบบนี้ อวี๋หวั่นไม่ควรหัวเราะ ทว่าท่าทางของเซียวเจิ้นถิงก็น่าขำขันยิ่งนัก ดวงตาสีขาวของสามีก็ช่างดูน่ารัก เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าแม่ทัพใหญ่เซียวที่สั่งการทหารทั้งกองพัน จะมีท่าทีทึ่มๆ เช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าสามีของเธอได้ และยิ่งไม่รู้เลยว่าสามีดูเป็นเด็กถึงเพียงนี้เมื่อยู่ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียว
อวี๋หวั่นอมยิ้มและรับชามยามา “ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สามี”
เซียวเจิ้นถิงกำลังจะบอกว่าเขาทำเอง ทว่าเมื่อนึกถึงพละกำลังและมืออันแข็งแกร่งก็จำต้องละเว้นไป
อวี๋หวั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เยี่ยนจิ่วเฉา
เซียวเจิ้นถิงก็รออยู่ที่ประตู
อวี๋หวั่นกระซิบ “ยามนี้ดึกแล้ว ท่านไปพักที่ห้องปีกข้างก่อนเถิด”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวว่า “ไม่ละ ท่านแม่เจ้าไม่รู้ว่าข้ามา ประเดี๋ยวหากนางตื่นมาไม่เห็นข้าจะสงสัยได้ ข้าคิดว่าจะปิดเรื่องอาการป่วยของฉงเอ๋อร์ไว้ก่อน”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ”
เซียวเจิ้นถิงหยุดชะงักและเอ่ยว่า “ข้าจะหายามารักษาฉงเอ๋อร์ให้ได้”
วันที่โลกสิ้นสุด ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีทางยอมแพ้ จะหายาถอนพิษมาให้ได้
หลังจากค่อนคืนฝนก็เริ่มตกปรอยๆ อวี๋หวั่นก็พลันคิดถึงบุตรชายที่อยู่หมู่บ้านเหลียนฮวาขึ้นมาเล็กน้อย แต่มีบิดามารดาของเธอคอยดูแล ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล ทว่าสามีของเธอ ทั้งที่อายุยังน้อยกลับถูกคนลอบทำร้ายมากมายถึงเพียงนี้ เธอเคยรู้สึกว่าชีวิตของเธอยากลำบาก แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ความทุกข์ทรมานที่เธอได้รับเหล่านั้นยังไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
เยี่ยนจิ่วเฉาเหงื่อออกอีกครั้ง
อวี๋หวั่นเปลี่ยนให้เขาเป็นเสื้อบางๆ เธอมองดูเขาเงียบๆ สักพักแล้วกระซิบข้างหูว่า “ไม่ต้องห่วงนะ ต้องถอนพิษได้อย่างแน่นอน หลังจากถอนพิษแล้ว ข้าจะมีบุตรสาวให้ท่านอีกคน”
ในขณะหลับ คิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ขยับเล็กน้อย
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปากพลางโน้มตัวไปจูบหน้าผากของเขา และกางแขนเขาออก นอนโอบกอดเอวแกร่งของเขาจนหลับไป
ยามที่แสงแรกมาเยือน อวี๋หวั่นก็ตื่นขึ้น เธอยังคงนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาและกอดเอวเขาไว้แน่น
ทั้งสองแต่งงานกันมานานแล้ว แม้จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งใกล้ชิด ทว่าเขาเป็นคนที่รู้จักวางตัว และรักษากิริยาอยู่เสมอ แม้กระทั่งยามหลับก็ยังเหมือนสุภาพบุรุษ การจับมือก็นับว่ามากที่สุดแล้ว แต่เพราะเขาไม่สบายจึงยอมให้เธอฉวยโอกาสสักครั้งหนึ่ง
อวี๋หวั่นแตะหน้าผากของเขา ไข้ลดลงไปมากแล้ว
จากนั้นเธอก็บีบหน้าที่ซีดขาวราวกับน้ำเต้าหู้ของเขา
อื้ม สัมผัสนี้รู้สึกดียิ่งนัก
“พระชายาซื่อจื่อ”
จื่อซูได้ยินการเคลื่อนไหว จึงเอ่ยเรียกเบาๆ จากด้านนอกประตู
“เข้ามา” อวี๋หวั่นเอ่ย
จื่อซูเข้ามาในห้องพร้อมกับน้ำร้อน
อวี๋หวั่นค่อยๆ เดินลงจากเตียงเบาๆ หลังจากใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เดินไปที่เอ่อร์ฝาง “ซื่อจื่อยังไม่ตื่น อีกประเดี๋ยว…”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ย
อวี๋หวั่นพลันประหลาดใจ
จื่อซูเกรงว่าจะปลุกเยี่ยนจิ่วเฉา จึงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ซื่อจื่อตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ข้าจึงเข้าไปในห้องและถามว่าต้องการอันใดหรือไม่ ซื่อจื่อก็ส่ายหน้าและหลับไปอีกครั้ง”
ขณะนั้น พระชายาซื่อจื่อกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับหมูน้อย ซื่อจื่อคงกลัวจะทำให้พระชายาซื่อจื่อตื่นกระมัง ดังนั้นถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าเขาคอแห้งกระหายน้ำแต่ก็ยังอดทนไว้
…………………………………………………….