หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 167.1 ล่องูออกจากรู (1)
กลุ่มคนมิได้หยุดลงด้วยปัญหาเล็กๆ ในจุดนี้ และยังคงเดินหน้าต่อไป
ฮ่องเต้จิตใจกตัญญูรู้คุณ เดินแบกความร้อนแห่งคิมหันตฤดูไปอย่างไม่ย่อท้อ ทว่าเขาแบกรับความร้อนแรงไว้ ฮองเฮาไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ และยังคงฮึดสู้ต่อไป
อวี๋หวั่นทำงานหนักมาตลอดทั้งปี การปีนเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เธอเป็นคนที่เดินด้วยสีหน้าปรกติที่สุดในบรรดาสมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี
ทว่าคนส่วนใหญ่มิได้มีใจหรือร่างกายเช่นพวกเขา จำนวนคนที่เป็นลมแดดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยาของหมอหลวงก็เริ่มไม่เพียงพอ ขณะที่ฮ่องเต้กำลังคิดว่าจะหยุดพักก่อนดีหรือไม่ ข้าราชบริพารที่ทนไม่ไหวเหล่านั้นก็ยืนขึ้นอย่างเข้มแข็ง
ดูท่าทางไม่มีปัญหาอะไร
ฮ่องเต้ก็มิได้ตรัสถามสิ่งใดต่อ แรงของเขาก็เริ่มมีไม่มากแล้ว สนใจการปีนต่อไปเถิด
ในที่สุดก็มาถึงวัดต้าเจว๋ ฮ่องเต้รู้สึกว่าวิญญาณครึ่งหนึ่งหลุดออกจากร่าง หากมิใช่เพราะอยู่ต่อหน้านางสนมและขุนนางมากมาย เขาก็คงเป็นอัมพาตอยู่ตรงนี้แล้ว
ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจคือองค์หญิงจิ่ว เด็กคนนี้เดินขึ้นเขามาถึงครึ่งทางแรก ส่วนครึ่งทางหลังฝูหลิงเป็นคนแบกนางขึ้นมา
ฮองเฮาเหนื่อยล้ายิ่งนัก ทว่านางเป็นมารดาแผ่นดิน มิอาจมีผู้ใดมาแบกขึ้นหลังได้ แน่นอนว่านางโชคดีที่กฎถูกเปลี่ยนแปลงไปในราชวงศ์นี้ ว่ากันว่าในราชวงศ์ก่อน การขึ้นเขาเดินทางไปวัดต้าเจว๋ต้องคุกเข่าลงทุกหนึ่งก้าว เพื่อเป็นการแสดงถึงความจริงใจ
เหล่านางสนมและขุนนางทยอยมาถึงทีละคน
“ขอบพระทัยเฉิงอ๋อง”
“ขอบพระทัยเฉิงอ๋องยิ่งนัก”
“ใช่ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงสลบไปตั้งแต่ครึ่งทางเสียแล้ว ยาดีกว่าของหมอหลวงมากนัก”
ห่างไปไม่ไกล เฉิงอ๋องถูกห้อมล้อมไปด้วยขุนนางมากมาย
เฉิงอ๋องยิ้มอย่างสุภาพ “ไม่ต้องขอบคุณข้า ยามิได้มาจากจวนของข้า ข้าแค่ยืมดอกไม้ถวายพระ[1]เท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ตกตะลึง พวกเขาเดินมาครึ่งทาง เป็นลมแดดจนแทบสลบ คนรับใช้ของเฉิงอ๋องก็นำยาเม็ดมาให้พวกเขา ยานั้นก็ไม่รู้ว่าทำจากสิ่งใด เพียงกินไปเม็ดหนึ่ง ก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นลง แม้ครึ่งทางหลังจะปีนขึ้นมาตลอดไม่หยุดพัก ทว่ากลับไม่มีอาการเป็นลมแดดเลยแม้แต่น้อย
เฉิงอ๋องยิ้มและเอ่ยว่า “เป็นยาที่ข้านำมาจากท่านพี่สะใภ้ ข้าก็กินไปเม็ดหนึ่ง และรู้สึกดีขึ้น ดังนั้นข้าจึงนำมาให้ใต้เท้า”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ก็หน้าแดงไปตามๆ กัน ในคราแรกที่เริ่มขึ้นเขา พระชายาซื่อจื่อก็นำยามาให้พวกเขา ทว่าพวกเขารังเกียจไม่ยอมรับ แล้วยามนี้กลับเอ่ยชมยาของพระชายาซื่อจื่อ มิใช่การตบปากตนเองหรอกหรือ?
หากไม่ใช่เพราะความซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลายของเฉิงอ๋อง พวกเขาก็เกือบคิดว่าเฉิงอ๋องจงใจออกหน้าแทนพระชายาซื่อจื่อ
“หากพวกท่านอยากขอบคุณ ก็ไปขอบคุณพระชายาซื่อจื่อเถิด” เฉิงอ๋องคลี่ยิ้มกล่าวอย่างไร้พิษสง
กินก็กินแล้ว ชื่นชมก็ชื่นชมแล้ว หากมิได้ไปกล่าวขอบคุณต่อหน้าด้วยตนเองก็ดูไม่สมเหตุสมผลเกินไป
อวี๋หวั่นที่กำลังถักเปียให้องค์หญิงจิ่วมองเห็นกลุ่มคนมากมายที่ไม่ต้องการยาของตนเดินเข้ามา และกล้ำกลืนกล่าวคำขอบคุณเธอ
เดิมทีคิดว่าอวี๋หวั่นจะใช้โอกาสนี้เยาะเย้ยพวกเขากลับ ทว่าอวี๋หวั่นเพียงพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น “ใต้เท้าทั้งหลายไม่เป็นไรก็นับว่าดีแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากัน ยามโดนดูถูกดูแคลนไม่โกรธเคือง ยามได้เชิดหน้าชูตาไม่หยิ่งผยอง อารมณ์สงบเยือกเย็นเช่นนี้ ช่างไม่เหมือนกับสตรีในชนบท วีรบุรุษไม่ถามหาที่มา เกิดเป็นสตรีมิได้เป็นรองบุรุษ
นาทีนี้ทุกคนต่างมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาแห่งความชื่นชม
มิใช่เพราะยาที่ดีของเธอ หากแต่เป็นเพราะบุคลิกลักษณะนิสัยที่แท้จริงของเธอมากกว่า
อย่าบอกว่าเธอเป็นเพียงสตรีอายุสิบแปดที่แต่งงานแล้ว แม้แต่คนชราที่คลุกคลีอยู่กับวงชนชั้นราชการมานานหลายปีก็ยังไม่อาจมีจิตใจไม่ยินดีในวัตถุ ไม่ทุกข์ในเรื่องของตนเองได้เช่นเธอ
ครานี้แม้กระทั่งข้าราชการบุ๋นบู๊ก็ต่างออกไปเคลื่อนไหว โดยปกติไม่เพียงเพื่อถวายตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลแด่ไทเฮาเท่านั้น เจ้าอาวาสวัดต้าเจว๋ก็ได้เริ่มพิธี ฮ่องเต้พร้อมกับเหล่าขุนนางก็ขึ้นมาด้านหน้าเพื่อฟังกถามรรคเทศนา
เจ้าอาวาสเข้ามาอยู่ที่วัดต้าเจว๋ตั้งแต่อายุสี่ขวบ กระทั่งถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหกสิบปี เขาได้บำเพ็ญตบะสำเร็จมานานแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง
เจ้าอาวาสในชุดจีวรนำกลุ่มภิกษุไปต้อนรับฮ่องเต้ ใบหน้าของฮ่องเต้หาได้มีความเย่อหยิ่งทระนงตน กลับยังนมัสการเจ้าอาวาสเยี่ยงผู้เคร่งศาสนา
ฮ่องเต้ให้บุตรชายที่โตแล้วเข้าเยี่ยมนมัสการเจ้าอาวาส เป็นที่น่าสังเกตว่าเยี่ยนไหวจิ่งยังคงไม่มาเข้าร่วมงาน ว่ากันว่าเขายังรักษาตัวอยู่ที่จวน เขากำลังรักษาตัวจริงๆ หรือว่ารู้สึกหดหู่ใจ ก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากเข้าเยี่ยมนมัสการ ภิกษุรูปหนึ่งก็พาฝูงชนไปที่ห้องพักรับรอง
ห้องพักรับรองของฮ่องเต้และภรรยาน้อยใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่แยกออกมาต่างหาก บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊และองค์ชายกระจายกันอยู่ในลานที่เหลือ การเดินทางครั้งนี้ เหล่าองค์ชายและขุนนางมิได้นำสตรีมาด้วย ส่วนอวี๋หวั่น เธอเป็นตัวแทนความกตัญญูของเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นถูกจัดให้อยู่ห้องเดียวกับองค์หญิงจิ่ว
ตรงกับความต้องการของอวี๋หวั่นพอดิบพอดี
องค์หญิงจิ่วลงจากหลังของฝูหลิงนานแล้ว นางจับมืออวี๋หวั่นและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮองเฮาบอกว่าเราต้องอดอาหารก่อนหนึ่งวัน และฟังเจ้าอาวาสที่เป็นประธานในคืนนี้ พรุ่งนี้จะประดิษฐานองค์ฮ่องเต้ด้วยโคมไฟ”
“ใช่แล้ว” อวี๋หวั่นบีบหน้าเล็กๆ ของนาง “ไม่อาจกินมากดื่มมากได้เหมือนอยู่ที่ตำหนัก องค์หญิงจิ่วทำได้หรือไม่?”
องค์หญิงจิ่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อื้ม!”
“องค์หญิงจิ่วชอบออกจากตำหนักหรือ?”
“อื้ม!”
ชอบมาก ดังนั้นถึงไม่อาจกินมากดื่มมากก็ไม่เป็นไร
อย่างไรก็เป็นเด็กที่เคยลำบากมาก่อน ไม่เหมือนองค์หญิงคนอื่นที่ถูกประคบประหงมมาอย่างดี
เสื้อผ้าขององค์หญิงจิ่วเปียกชื้น นางข้าหลวงยกน้ำมาให้นางอาบ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว นางไม่ยอมให้นางข้าหลวงสวมเสื้อผ้าให้ นางหอบชุดไปอยู่ด้านหน้าอวี๋หวั่นและให้อวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าให้
อวี๋หวั่นก็สวมเสื้อผ้าให้นาง
เมื่อเห็นองค์หญิงจิ่วที่แสนน่ารักน่าชังเดินหอบกระโปรงตัวเล็กๆ เข้ามาในห้อง อวี๋หวั่นก็รู้สึกอยากได้บุตรสาวขึ้นมา
“พระชายาซื่อจื่อ” ฝูหลิงถือถังน้ำเข้าไปในห้อง
อวี๋หวั่นเข้าใจความหมาย พลันหันไปยิ้มให้องค์หญิงจิ่ว “ท่านไปทานอันใดที่ห้องของฮองเฮาก่อน ข้าอาบน้ำเรียบร้อยแล้วจะตามไปหา”
“ท่านต้องมาให้ได้นะ!” องค์หญิงจิ่วจากไปด้วยความสุข นางข้าหลวงก็เดินตามไป
ในห้องเหลือเพียงนายบ่าวสองคน อวี๋หวั่นให้ฝูหลิงปิดประตู “เห็นแล้วหรือ?”
ฝูหลิงกล่าวว่า “ข้าเห็นแล้วเจ้าค่ะ หวั่นเจาอี๋อยู่ในห้องพุทธริมสุดด้านตะวันออก ถัดจากห้องของสวี่เสียนเฟย”
ทิศตะวันออกหาง่ายที่สุด ทว่าหากต้องผ่านห้องของสวี่เสียนเฟย เกรงว่าคงไม่สะดวกเท่าใดนัก เดิมทีสวี่เสียนเฟยจะไม่จัดการเธอ ทว่าหากเห็นเธอมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ห้องของหวั่นเจาอี๋ ก็เกรงว่าจะเกิดความคิดที่จะจัดการเธอขึ้นมาอีก
ในเมื่อไปอย่างมืดไม่ได้ ก็ได้แต่ไปอย่างสว่างเท่านั้น เธอเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว
“เอาผลหลี่จื่อที่นำมาไปล้าง และใช้น้ำสะอาดเย็นๆ มาแช่”
“เจ้าค่ะ”
หลี่จื่อของจวนคุณชายมีขนาดใหญ่ รสหวาน ผิวบางฉ่ำน้ำ การใช้น้ำเย็นจากบ่อน้ำมาแช่จะยิ่งทำให้รสชาติอร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อ
ฮ่องเต้ไปที่ห้องของเจ้าอาวาส อวี๋หวั่นมอบชุดหนึ่งให้ฮองเฮากับองค์หญิงจิ่วก่อน ตามด้วยสนมอวี้เฟย สนมเจินเฟย และส่งให้ห้องสวี่เสียนเฟยชุดหนึ่งเช่นกัน สวี่เสียนเฟยกำลังอาบน้ำ ผู้มารับผลหลี่จื่อคือมามาผู้ดูแล และจากนั้นอวี๋หวั่นก็หยิบผลหลี่จื่อชุดสุดท้ายเดินเข้าห้องของหวั่นเจาอี๋อย่างเปิดเผย
หวั่นเจาอี๋อาบน้ำเสร็จและสวมชุดสะอาดเรียบร้อยแล้ว
อีกไม่นานก็จะมีอาหารที่ภิกษุบิณฑบาตมาได้ หลังจากทานเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาไปฟังกถามรรคเทศนาที่หอสวดมนต์จากเจ้าอาวาส
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
หวั่นเจาอี๋พยักหน้าให้หญิงรับใช้คนสนิท
หญิงรับใช้ก้าวไปเปิดประตูและพบว่าเป็นอวี๋หวั่น หญิงรับใช้โค้งคำนับ “พระชายาซื่อจื่อ”
อวี๋หวั่นเผยยิ้มตามมารยาท “ข้ามาส่งผลหลี่จื่อให้พระสนมหวั่นเจาอี๋ แต่ข้ามารบกวนการพักผ่อนของพระสนมหรือ?”
หญิงรับใช้มองกลับไปที่หวั่นเจาอี๋ครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นหวั่นเจาอี๋พยักหน้าให้ตน จึงเอ่ยกับอวี๋หวั่นอย่างสุภาพ “หาได้เป็นเช่นนั้น พระชายาซื่อจื่อโปรดเข้ามา”
หญิงรับใช้เปิดทางและทำมือเชื้อเชิญ อวี๋หวั่นก้าวเข้าไปข้างใน พร้อมกับฝูหลิงที่ถือตะกร้าผลไม้มาด้วย
………………………………….
[1] ยืมดอกไม้ถวายพระ ใช้เปรียบเปรยว่านำของที่ผู้อื่นให้มามอบให้กับอีกคนหนึ่งเป็นน้ำใจ