หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 173.2 เด็กอ้วนใสซื่อแสนร้ายกาจ หวั่นหวั่นจอมบงการ (2)
อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ห้องเดียวกัน สาวใช้ทั้งสองนอนที่พื้น ในขณะที่บุรุษที่เหลืออัดอยู่ในห้องเดียว และนอนที่พื้นเช่นกัน
อาหารของโรงเตี๊ยมแทบจะไม่มีน้ำมัน อีกทั้งวัตถุดิบก็ไม่สดใหม่ คนอื่นๆ ต่างก็กินได้ ทว่าซื่อจื่อผู้คาบช้อนเงินช้อนทองเกิดมาอาจทำไม่ได้ อวี๋หวั่นก็จำใจต้องทำให้สามีลำบาก
อวี๋หวั่นจับชีพจรของเขา จากนั้นก็ให้เขากินยาระงับพิษ และเอ่ยว่า “ข้าจะซื้ออาหารสักหน่อย ท่านอย่าเดินมั่วซั่วไปที่ใดละ”
เยี่ยนจิ่วเฉาปราดสายตาจ้องมองเธออย่างเย็นชา “อวี๋อาหวั่น ระวังน้ำเสียงของเจ้าด้วย ข้าคุณชายผู้นี้มิใช่เด็ก!”
อวี๋หวั่นยิ้มเอาใจ “ใช่ๆๆ ท่านไม่ใช่เด็ก ท่านเป็นสามีของข้า”
“ฮึ่ม!” เยี่ยนจิ่วเฉาเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
อวี๋หวั่นดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวเขา
ยามนี้อากาศร้อน ทว่าเขากลับหนาวนิดหน่อย
อวี๋หวั่นเดินออกจากห้อง
ขณะนั้นเอง ภิกษุรูปหนึ่งในชุดสีดำ สวมหมวกกระจาดก็เดินเข้ามาจากด้านหน้า
ทั้งสองเดินประจันหน้ากันโดยบังเอิญ
อวี๋หวั่นขยับไปทางซ้าย หมายจะหลีกทางให้เขา ทว่าเขาก็ไปทางซ้ายเช่นกัน
อวี๋หวั่นขยับไปทางขวา ทว่าโชคไม่ดีที่เขาก็ไปทางขวาอีกเช่นกัน
เป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ ไม่อาจหลีกทางได้ ทั้งสองจึงหยุดนิ่ง
ยามนี้ ไม่มีผู้ใดขยับ
อวี๋หวั่นกำลังรอให้เขาเดินไปก่อน และเขาก็รอให้อวี๋หวั่นเดินไปก่อนเช่นกัน
อวี๋หวั่นสูดหายใจ
ทว่าในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นก่อน “ฮูหยินโปรดเดินก่อน”
ฟังจากเสียงแล้ว เขายังเด็กมาก
อวี๋หวั่นพยักหน้าเบาๆ และก้าวไปทางซ้ายหนึ่งก้าวเดินผ่านเขาไป
จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องที่คั่นกลางระหว่างพวกเขา
เรื่องเล็กน้อยนี้ไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของอวี๋หวั่น หลังออกจากโรงเตี๊ยม อวี๋หวั่นก็ได้กลิ่นหอมชวนให้คนกินอย่างเอร็ดอร่อยลอยมา อวี๋หวั่นซื้อแป้งทอดใส่หอมสามสิบชิ้น ขาหมูสามจิน ในเมืองหลวงแป้งทอดใส่หอมหนึ่งชิ้นใหญ่เป็นสองชิ้นของที่นี่ ขาหมูหนึ่งส่วนก็มีมากกว่าที่นี่ห้าชาม แล้วก็ยังซื้อหมั่นโถวขาวอีกห้าเข่ง ขนมดั้งเดิมของเมืองอีกสิบกล่อง
“ส่งไปที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหล” อวี๋หวั่นจ่ายครึ่งหนึ่งของเหรียญทองแดง “ที่เหลือ เจ้าไปส่งแล้วค่อยเก็บ”
หลังจากนั้นอวี๋หวั่นก็ไปซื้อผลไม้สดอีกนิดหน่อย เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ของก่อนหน้านี้ก็ถูกส่งมาที่ห้องพักของอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว จื่อซูได้จ่ายเงินส่วนที่เหลือเรียบร้อย
รสชาติพอใช้ แป้งทอดใส่หอมมันเลี่ยนไปสักหน่อย ส่วนขาหมูกลิ่นหอมยิ่ง หมั่นโถวก็นับว่าใช้ได้ ทว่าเมื่อนำมาจิ้มกับผักดองที่ลุงใหญ่ทำเอง รสชาติยิ่งอร่อย
หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเย็น จื่อซูกับฝูหลิงก็นำชาม ตะเกียบและหม้อนึ่งลงไป จากนั้นก็ต้มชาที่นำมาจากจวนคุณชายมาให้ทุกคน
ชายชราจิบชาอย่างช้าๆ และเอ่ยว่า “ชิงเหยียน นำแผนที่มาด้วย”
ชิงเหยียนหยิบม้วนหนังแพะออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ หลังจากกางออก มันคือแผนที่ของหนานเจียง แต่แผนที่นี้แตกต่างจากแผนที่ของทางการ แผนที่ของทางการจะไม่มีเครื่องหมาย เช่น สถานที่สำคัญทางทหาร และพื้นที่ที่ยังไม่ได้พัฒนา แต่ม้วนหนังแพะนี้กลับมีรายละเอียดทั้งน้อยใหญ่
อวี๋หวั่นเริ่มสงสัยในตัวตนของพวกเขาอีกครั้ง
แต่เธอไม่ได้ถาม
เมื่อถึงเวลาที่เธอควรรู้ เธอก็จะรู้เอง ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาโกหก เธอก็ไม่มีทางรู้
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนเก้าอี้หมวกทางการซึ่งปูด้วยหนังเสืออย่างเฉยชา พลางลูบจิ้งจอกหิมะแสนขี้เกียจ เก้าอี้ไม้เก่าที่ทาสี น่าตกตะลึงที่เขานั่งอยู่บนนั้นอย่างน่าเกรงขามราวกับมันเป็นเก้าอี้มังกร
ชายชราชี้ไปยังสถานที่หนึ่งบนแผนที่ “ต่อไปเราจะไปที่ซีเฉิง เพื่อไปทำใบอนุญาตเดินทางให้พวกเจ้า หลังจากนั้นก็นับว่าเราเข้าสู่หนานจ้าวอย่างเป็นทางการ”
ดินแดนหนานเจียงกว้างใหญ่ไพศาล ประเทศที่ใหญ่ที่สุดก็คือหนานจ้าว ทว่าก็ยังมีชนเผ่าเล็กๆ อีกมากมาย เช่นเมืองชิงเหอที่พวกเขาอยู่ เป็นของชนเผ่าเล็กๆ ที่เรียกว่ากัวเถียน ทว่าเพราะยอมจำนนต่อหนานจ้าวตั้งแต่เนิ่นๆ แท้จริงจึงนับว่าเป็นดินแดนหนานจ้าว ทว่าที่นี่ไม่อาจทำใบอนุญาตเดินทางของหนานจ้าวได้ ทำให้หลายคนยังคงมองว่าซีเฉิงเป็นพรมแดนที่แท้จริงของหนานจ้าว
“ของทั้งสี่สิ่งที่เราตามหาอยู่ในหนานจ้าวหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
“หลินจือเพลิงและคางคกหิมะอยู่ในหนานจ้าว”
นี่เป็นความจริง
“เลือดของนักบุญและน้ำตาของพ่อมด ยามนี้ยังไม่ชัดเจน”
นี่ก็คือความจริงเช่นกัน
แต่อีกไม่นานประโยคนี้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นอยู่ที่เผ่าปีศาจ แน่นอนว่าหลังจากพบหลินจือเพลิงและคางคกหิมะแล้ว
เพื่อทำให้อวี๋หวั่นเชื่อใจ ชายชราไม่ลดละความพยายามที่จะตามหาวัตถุดิบยาของเยี่ยนจิ่วเฉา
ชายชรากล่าวอีกครั้ง “ซีเฉิงอยู่ห่างจากเมืองชิงเหอถึงหนึ่งร้อยหลี่ เราควรไปถึงที่นั่นก่อนฟ้ามืด คืนนี้ไม่ต้องทำสิ่งใด รีบพักผ่อนให้เร็ว วันพรุ่งเราจะออกเดินทางแต่เช้า”
แกร่บ!
เสียงใบไม้ร่วงด้านนอกทางเดิน คนธรรมดาย่อมไม่อาจได้ยิน ทว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยยอดฝีมือ เจียงไห่และชิงเหยียนแลกเปลี่ยนสายตากัน พลางยิ้มอย่างเหยียดหยาม
เป็นแค่ลูกกระจ๊อก ก็ยังกล้ามากระตุกหนวดเสือ
ย่ำเข้าราตรี หลายคนก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน
“ผ้าห่มนี้เป็นของเรา มันสะอาด” อวี๋หวั่นกระซิบ และดึงผ้านวมขึ้นคลุมกายของเยี่ยนจิ่วเฉา พลันวางแขนไว้ที่เอวของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาสูดหายใจ “อวี๋อาหวั่น!”
อวี๋หวั่น “นอนเถิด”
เยี่ยนจิ่วเฉามองแขนที่กอดเขาไว้แน่น และหลับตาลงเข้าสู่นิทราไปอย่างช่วยไม่ได้
จื่อซูและฝูหลิงนอนบนพื้น จิ้งจอกหิมะใช้หางปกคลุมร่างกายตนเอง ขดอยู่บนหมอนของเยี่ยนจิ่วเฉา
ช่วงเวลากลางดึก เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยหูตั้ง ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย
เห็นเงาร่างสองร่างที่ช่องหน้าต่างกระดาษ
จิ้งจอกหิมะเดินเข้าไปและหยุดอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างกระดาษ กระดาษของหน้าต่างถูกเจาะเป็นรูและมีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ยื่นเข้ามา
จิ้งจอกหิมะมองกระบอกไม้ไผ่อย่างประหลาดใจและปิดมันด้วยอุ้งเท้าเล็กๆ
เสี่ยวเอ้อร์ที่เป่ากระบอกไม้ไผ่นั้นเป่าอย่างไรก็ไม่ออก พลันตกใจจนลืมตัว ชนเข้ากับหน้าต่างดังตุ้บ!
เสียงเคลื่อนไหวดังเกินไป หากคิดจะแอบทำต่อไปก็คงไม่ได้เสียแล้ว ทั้งสองจึงทุ่มทำลายโถ แล้วผลักหน้าต่างเข้าไป หมายจะกระโดดเข้าไปจากขอบหน้าต่าง
พวกเขาสืบหาจนแน่ใจมาก่อนแล้วว่า ผู้นำของคนกลุ่มนี้คือสองสามีภรรยา ภายในห้องมีสี่คน สามคนเป็นสตรี ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว บุรุษเพียงคนเดียวก็เป็นคนป่วย ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองได้
ตราบใดที่ทั้งสองควบคุมพวกเขาได้ คนทั้งหมดในอีกห้องหนึ่งก็จะอยู่ในกำมือของพวกเขา
อุดมคติช่างสวยงาม ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของคนในห้องนี้ต่ำเกินไป
จิ้งจอกหิมะน้อยตวัดกรงเล็บตบหนึ่งใส่คนร้ายจนปลิวไป
ฝูหลิงก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
นางเดินไปคว้าคอเสื้อของเสี่ยวเอ้อร์อีกคนแล้วตบเข้ากับกำแพงดังปัง!
“ว้าย!” จื่อซูกรีดร้องด้วยความตกใจ
เสียงการเคลื่อนไหวรุนแรงปลุกแขกทุกคนให้ตื่นขึ้นมา ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าออกมาดูความตื่นเต้น เหล่าอันธพาลของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งมาพร้อมกับท่อนไม้ถึงยี่สิบคน
เจียงไห่และชิงเหยียนรีบหนีออกไปทางประตู
ตั้งแต่ตอนที่พวกเขากำลังสนทนากันถึงแผนการในวันพรุ่งนี้ ก็รับรู้แล้วว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่ที่มุมผนัง ตลอดการเดินทางนี้พวกเขามิได้ทำตัวให้ดูต่ำต้อย ไม่รู้ว่ามีคนร้ายที่ถูกดึงดูดให้มาที่นี่มากมายเพียงใด แค่โรงเตี๊ยมสีดำแห่งหนึ่ง พวกเขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา
เป็นไปดังคาด เพียงชั่วพริบตา เหล่าอันธพาลก็ถูกสั่งสอนเสียสะบักสะบอมจนต้องคุกเข่าลงบนพื้นและร้องขอความเมตตา
“ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิต…ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิต…ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่…ข้าน้อยหลงผิดคิดมัวเมา…ข้าหวังให้ท่านจอมยุทธ์ ได้โปรดเข้าใจ…ไว้ชีวิตข้าน้อยสักครั้งเถิด…ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว…”
อันธพาลแนวหน้าคุกเข่าคำนับแนบพื้นซ้ำๆ
อันธพาลลูกน้องก็ทำตาม คำนับต่อๆ กันไป
ดั่งที่โบราณว่าไว้ เดินริมแม่น้ำไหนเลยรองเท้าจะไม่เปียกได้ พวกเขาเปิดโรงเตี๊ยมสีดำมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าก่อเหตุมามากเพียงใด ทว่าสุดท้ายกลับอยู่ในมือของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีใบอนุญาตเดินทาง…
ยามนี้แขกทั้งหลายเริ่มมีความกล้าที่จะออกมาชมความตื่นเต้นแล้ว
ในความเป็นจริงร้านค้าสีดำค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ไม่ดีนัก อย่างมากตะโกนดังลั่นฟ้าก็เก็บเงินได้เพียงไม่กี่เหรียญเท่านั้น กล่าวคือกลุ่มของเยี่ยนจิ่วเฉาดูเหมือนคนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทันและหลอกได้ง่าย พวกเขาจึงเกิดความคิดที่จะปล้น แต่พวกเขาไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แม้แต่สาวใช้ที่ห้าใหญ่สามหนาก็ยังสามารถต่อสู้เช่นนี้ได้
“คุณชาย ฮูหยิน” เจียงไห่เชิญนายทั้งสองออกคำสั่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัด
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ให้พวกเขานำเงินทั้งหมดออกมา ไม่ให้เหลือสักเหรียญเดียว เหลือหนึ่งเหรียญก็ตัดมือหนึ่งข้าง!”
…………………………………………………….