หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 175.2 จิ้งจอกแสนรู้ แรกพบแม่ทัพ (2)
เหล่านักโทษต่างหลับใหลอยู่ในนิทรา การเคลื่อนไหวของอวี๋หวั่นนั้นเงียบเชียบ เธอไขกุญแจมือและตรวนข้อเท้าก่อน จากนั้นจึงเปิดประตูห้องขัง เธอย่องออกมิได้มีกะจิตกะใจห่วงใยเพื่อนร่วมห้องขัง แต่ขณะที่จะเดินออกไปนั้น เธอก็หันไปมองภิกษุในห้อง
เขามิได้มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด ราวกับหลับไปแล้ว
อวี๋หวั่นไม่ได้เรียกเขา
ไม่ใช่ว่าเธอใจดำแต่อย่างใด แต่การหนีออกไปได้ก็นับว่าเป็นโชคแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากภิกษุผู้นี้เกิดเอะอะโวยวายรายงานว่าเธอหนีออกไปต้องแย่แน่ๆ
อวี๋หวั่นพาเจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉากำลังหลับใหล อยู่ในคุกยังหลับสบายขนาดนี้ อวี๋หวั่นละเชื่อเขาเลย เธอคิดว่าจะไปทางด้านหน้าคุกเพื่อไปช่วยเจียงไห่ด้วย
เจียงไห่ก็เตรียมตัวหนีแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าอวี๋หวั่นจะลงมือเร็วกว่าเขา เขาตื่นขึ้น ลงมืออย่างรวดเร็วแล้วพุ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของคุกแล้วแบกเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นหลัง จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับอวี๋หวั่น
วิชาตัวเบาของเจียงไห่ดีเยี่ยม ส่วนอวี๋หวั่นก็ฝีเท้าเบาไร้สุ้มเสียง ทั้งสองจึงออกจากคุกได้อย่างง่ายดาย
จิ้งจอกหิมะน้อยก็ตามมาติดๆ
ทันใดนั้นเอง เจียงไห่ก็ชะงักฝีเท้า “ช้าก่อน”
อวี๋หวั่นก็หยุดตามที่เขาบอก
เจ้าจิ้งจอกหิมะไม่ได้มองทาง จึงชนกับด้านหลังขาของอวี๋หวั่นเข้าเต็มๆ จนมึนงง มองเห็นแต่ความมืดและดาวสีทอง
“มีอะไร?” อวี๋หวั่นถาม
ใบหูสองข้างของเจียงไห่ขยับเล็กน้อย “มีคน”
อวี๋หวั่นตั้งสมาธิฟัง จริงด้วย ด้านหน้าและด้านหลังตรอกมีทหารลาดตระเวน แย่แล้ว
ด้วยวิทยายุทธ์ของเจียงไห่ อวี๋หวั่นเชื่อว่าพวกเขาจะฝ่าออกไปได้ แต่หลังจากฝ่าออกไปแล้วทำอย่างไรต่อนี่สิ?
เจียงไห่และอวี๋หวั่นนึกบางอย่างออก ทั้งสองสบตากัน จากนั้นก็บังเกิดความคิด และพุ่งไปยังกำแพงด้านหน้าพร้อมกันทันที
ต่อให้เจียงไห่จะเคยมาซีเฉิง ทว่าในยามที่ปราศจากแสงไฟสว่างให้พอมองเห็นได้เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทั้งสองคิดว่ามันเป็นเพียงคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าจะเป็นสถานที่ซึ่งมีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุดในซีเฉิงอย่างจวนเจ้าเมือง
“ไม่ทันแล้ว หาที่หลบก่อนดีไหม?” อวี๋หวั่นถาม
เจียงไห่พยักหน้า คงต้องทำเช่นนั้น
เจียงไห่ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนกำแพง แล้วยื่นมือมาหาอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นอุ้มลูกจิ้งจอกหิมะ คว้ามือของเจียงไห่แล้วกระโดดขึ้นไป
อย่างไรเสียอวี๋หวั่นก็มาจากอีกโลกหนึ่ง เรื่องจับไม้จับมือในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ อวี๋หวั่นกระโดดไปอีกฝั่งของกำแพง กลับเป็นเจียงไห่ซึ่งยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
“ทำอะไรอยู่? รีบลงมาเร็ว!” อวี๋หวั่นเร่งเร้า
เจียงไห่หน้าแดงก่ำ โชคดีที่ทุกสิ่งรอบตัวล้วนแต่กลืนไปกับความมืด จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เขารีบกระโดดลงมา เพียงแต่วินาทีที่เขายืนอึ้งอยู่นั้น หน่วยทหารลาดตระเวนก็มาถึงพอดี ทว่าพวกเขาเห็นชายเสื้อรางๆ หายลับไปในกำแพงจวนเจ้าเมือง
“พวกเจ้าเห็นอะไรหรือเปล่า?” ทหารคนหนึ่งซึ่งมีสายตาว่องไวขมวดคิ้ว
ทหารคนอื่นๆ ส่ายหน้า
กันไว้ดีกว่าแก้ เขาจึงพาพี่น้องทหารเดินไปสำรวจบริเวณกำแพงที่พบเห็นความเคลื่อนไหว เขานั่งยองลง และพบว่ามีรอยเท้าอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเองทหารอีกคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า”ใคร!”
ภิกษุชุดสีฟ้าอ่อนรูปนั้นแหกคุกเช่นกัน
ความสนใจของพวกเขาล้วนแต่ไปอยู่ที่ภิกษุรูปนั้น ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจหัวขโมยซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่อีกต่อไป พวกเขาพุ่งไปหาภิกษุอย่างรวดเร็ว
อวี๋หวั่นและเจียงไห่ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อทั้งสองกระโดดข้ามมาก็พบกับสาวใช้ในจวนคนหนึ่ง โชคดีที่พวกเขาหลบอย่างว่องไว สาวใช้จึงไม่ทันมองเห็นพวกเขา
ทั้งสองทำได้เพียงหาที่ซ่อนตัวอีกครั้ง หลังจากที่สาวใช้เดินไป และหน่วยทหารลาดตระเวนจากไปแล้ว พวกเขาก็ข้ามกำแพงไป
เพียงแต่เมื่อยิ่งเข้าไป สาวใช้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เห็นทีหากพวกเขาจะกลับทางเดิมก็คงไม่ง่ายนัก
ทั้งสองหลบอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง
ไม่นานองครักษ์ก็เข้ามาสมทบ
อวี๋หวั่นกระซิบว่า “นี่มันที่ไหนกัน? ทำไมมีองครักษ์เยอะขนาดนี้?”
บ้านของตระกูลใหญ่อย่างคฤหาสน์สกุลไป๋หรือจวนคุณชายยังไม่มีคนอารักขามากถึงเพียงนี้
เจียงไห่สัมผัสได้ถึงลางร้าย นั่นเป็นเพราะองครักษ์เหล่านั้นไม่ใช่องครักษ์ประจำคฤหาสน์ทั่วไป แต่เป็นองครักษ์ซึ่งถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“แย่แล้ว พวกเราเข้ามาในจวนเจ้าเมืองขอรับ!”
ในที่สุดเจียงไห่ก็รู้แล้วว่าพวกเขาได้ก้าวมาในถ้ำเสือเป็นที่เรียบร้อย ที่นี่ไม่ได้ดีไปกว่าในคุกสักเท่าไร ในคุกก็มีเพียงประตูคุก ผู้คุมก็มิได้น่ากลัวแต่อย่างใด ทว่าองครักษ์ในจวนเจ้าเมืองนั้นมีแต่เหล่ายอดฝีมือ
เจียงไห่กระซิบว่า “ซีเฉิงเป็นศักดินาของสกุลเห้อเหลียน เจ้าเมืองก็เป็นขุนนางของสกุลเห้อเหลียน องครักษ์ที่พวกเขามีล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่สกุลเห้อเหลียนฟูมฟักมาเป็นอย่างดี ฮูหยินขอรับ ถ้าหากหลบไม่พ้นแล้ว ข้าจะไปหลอกล่อพวกเขา แล้วฮูหยินพาซื่อจื่อออกไปนะขอรับ”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะหลอกล่อพวกมัน เจ้าพาเยี่ยนจิ่วเฉาไป”
“มิได้ขอรับ”
อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “ข้าใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ ถ้ามีใครตามมาข้ากับเยี่ยนจิ่วเฉาก็หนีไม่รอด แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าสามารถหนีไปได้”
“แต่ว่าฮูหยิน…”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “เจ้าต้องเชื่อใจข้า เรื่องเอาตัวรอดเป็นความสามารถของข้า”
เจียงไห่กระจ่างในทันใดว่าแผนนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แม้ว่าจะเป็นห่วงอวี๋หวั่นแต่ก็จำต้องทำตามแผนการ
อวี๋หวั่นส่งสัญญาณมือให้เจียงไห่ “เราแยกทางกันไป พยายามอย่าให้ถูกใครเห็นเข้า”
เจียงไห่พยักหน้า
“เจ้าเก่งวิชาตัวเบา เจ้าไปก่อน” อวี๋หวั่นบอก
เจียงไห่สกัดจุดให้เยี่ยนจิ่วเฉาหลับ จากนั้นก็ใช้เข็มขัดรัดเยี่ยนจิ่วเฉาไว้บนหลัง ก่อนไปเขาหันมาหาอวี๋หวั่น “ฮูหยินโปรดระวังตัว เมื่อข้าพาซื่อจื่อออกไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ข้าจะกลับมารับท่าน”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ได้”
เจียงไห่แบกเยี่ยนจิ่วเฉาแล้วหายวับไปในความมืด
อวี๋หวั่นตัดสินใจซ่อนตัวในที่ลับตาคน เธอหลบพ้นสายตาของสาวใช้ และเข้าไปในเรือนเล็กซึ่งมีแสงตะเกียงริบหรี่
เรือนหลังนี้สงบเงียบ น่าจะพอให้เธอซ่อนตัวได้สักสองชั่วยาม
ไหนเลยจะรู้ว่าอวี๋หวั่นเพิ่งจะมาถึงระเบียงทางเดินได้ครู่เดียว เจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยที่อุ้มอยู่ก็ส่งเสียงร้องออกมา
“อุ๊บบบ” อวี๋หวั่นปิดปากมันแล้วเงี่ยหูฟังเสียง
“ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญทางนี้ขอรับ!”
นอกเรือนมีเสียงแหบห้าวของผู้ชายดังขึ้น
อวี๋หวั่นนัยน์ตากระตุกเล็กน้อย เธอคงไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นหรอกใช่ไหม ดันมาเจอเรือนที่มีคนมาพักอีก?
“ข้าน้อยรู้ว่าท่านแม่ทัพไม่ชอบให้ใครมารบกวน เรือนหลังนี้อยู่ในมุมที่เงียบที่สุด ตอนกลางวันข้าให้คนมาทำความสะอาดให้แล้วขอรับ”
เจียงไห่บอกว่าซีเฉิงอยู่ในครอบครองของสกุลเห้อเหลียน ถ้าอย่างนั้นคนที่ผู้ชายคนนั้นเรียกว่า ‘แม่ทัพใหญ่’ ก็คงเป็นคนสกุลเห้อเหลียน
เห้อเหลียนฉีตายไปแล้ว แล้ว ‘แม่ทัพใหญ่’ ผู้นี้คือใครกัน?
ขณะที่อวี๋หวั่นพยายามตั้งสติ คนกลุ่มนั้นก็เข้ามาพอดี
คิดจะออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว อวี๋หวั่นจึงเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไป
เจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยยังคงยืนงงอยู่ที่เดิม
ประตูห้องแง้มออก มือข้างหนึ่งยื่นออกมาดึงเจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยเข้าห้องไปด้วย
อวี๋หวั่นกอดมันเอาไว้ ดวงตาของเธอยังคงมองผ่านรอยแยกที่หน้าต่าง สาวใช้สองคนถือโคมไฟเดินนำอยู่ด้านหน้า องครักษ์อีกนับสิบคนเดินเป็นแถวตอนสองข้าง บุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ก้าวเข้ามาในเขตเรือน เขาอายุประมาณสามสิบเห็นจะได้ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาสวมอยู่นั้นดูโดดเด่นไม่ธรรมดา
เขาผายมือออกไปอย่างเคารพนบนอบ คล้ายกับกำลังเชิญท่านแม่ทัพอะไรนั่นเข้าไป
แต่สิ่งแรกที่อวี๋หวั่นเห็นก็คือรถเข็น ตัวรถสีเงิน ส่องแสงประกายวาววับล้อแสงจันทร์
หลังจากนั้นสายตาของอวี๋หวั่นจึงไปหยุดที่คนที่นั่งอยู่บนรถเข็น
เขาเป็นบุรุษท่าทางน่าเกรงขาม แต่ความน่าเกรงขามของเขาดูประหนึ่งถูกกักเก็บเอาไว้ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ ไม่อาจสำแดงออกมาได้ องคาพยพบนใบหน้าของเขาได้รูป กรอบหน้าเด่นชัด คิ้วโก่งคมเข้ม หากไม่ใช่เพราะเดินไม่ได้และหน้าตาอมทุกข์เช่นนี้ ต่อให้เขานั่งอยู่บนรถเข็น ก็ดูราวกับทำให้ใต้หล้ายอมสยบแทบเท้าได้
…………………………………….