หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 176.1 พบความจริง (1)
นี่คือแม่ทัพใหญ่ที่ชายหนุ่มคนนั้นพูดถึงใช่ไหม? คนสกุลเห้อเหลียน?
หน้าตาไม่ยักเหมือนกับเห้อเหลียนฉี
เห้อเหลียนฉีหน้าตาอัปลักษณ์ ยังเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมของคนผู้นี้ด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะเคยพบเห้อเหลียนฉีมากก่อน ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงไม่ได้จินตนาการภาพของคนสกุลเห้อเหลียนไว้มากเท่าไรนัก ไหนเลยจะรู้ว่าเขาผู้นี้กลับหล่อเหลาไม่เป็นรองเยี่ยนจิ่วเฉา
“ส่งเพียงเท่านี้ก็พอ เจ้าเมืองเชิญกลับ” เด็กหนุ่มซึ่งดูคล้ายจะเป็นบ่าวคนสนิทเอ่ยขึ้น
รอยยิ้มวาดผ่านใบหน้าของชายหนุ่มซึ่งถูกเรียกว่าเจ้าเมือง เขาเดินเข้าไปหาผู้ที่อยู่บนรถเข็นแล้วประสานมือคำนับ “ดึกมาแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่พักผ่อนเถิดขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน”
ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเจ้าเมือง ข้าราชการของหนานเจ้าอายุน้อยขนาดนี้เชียวหรือ? จะว่าไปผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ไม่นับว่าอายุมาก น่าจะใกล้เคียงกับท่านพ่อของเธอ
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เจ้าเมืองซีเฉิงก็ออกไป บ่าวคนสนิทก็เข็นรถไปยังระเบียงทางเดิน เจ้าเมืองทุ่มเทไปไม่น้อยที่จะต้อนรับแขกคนสำคัญ ขั้นบันไดก็ใช้ไม้กระดานมาติดเพื่อให้สะดวกแก่การเข็นรถเข็นขึ้นลง
“แม่ทัพใหญ่ขอรับ ท่านเหนื่อยแล้วกระมัง? เมื่อครู่ข้าว่าคนเหล่านั้นมีตาหามีแววไม่ ไม่เห็นหรือว่าท่านไม่สนุกด้วย? ยังจะมายกแก้วให้ท่านอีกนะขอรับ!” บ่าวคนสนิทบ่น
บุรุษบนรถเข็นไม่ได้พูดอะไร เขาดูเหนื่อยล้าเต็มที
บ่าวเข็นรถไปตามทางเดิน
อวี๋หวั่นมองตามพวกเขา พลางภาวนาว่าขออย่าเป็นห้องนี้เลย อย่าเป็นห้องนี้เลย…
“ถึงแล้วขอรับ” บ่าวเอ่ยขึ้น
เป็นห้องนี้จริงๆ ด้วย!
กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นสินะ
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ หากซ่อนตัวใต้เตียงก็คงจะถูกพบได้ง่าย จะเข้าไปในตู้เสื้อผ้าก็ดูจะแคบเกินไปสักหน่อย ใคร่ครวญอยู่รอบหนึ่ง เธอก็เหลือบไปเห็นห้องเล็กด้านข้าง เธอจึงรีบเข้าไปหลบด้านหลังม่าน
บ่าวเข็นรถของแม่ทัพใหญ่เข้ามาในห้อง
อวี๋หวั่นตั้งสมาธิและกลั้นลมหายใจ
ในตอนนี้เธอมองไม่เห็นพวกเขา แต่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองอย่างชัดเจน
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าจะไปบอกให้ห้องครัวต้มน้ำร้อนนะขอรับ ท่านจะได้แช่น้ำร้อนบรรเทาความเมื่อยล้า ในงานเลี้ยงท่านไม่ได้ทานอะไร ข้าจะให้พวกเขาต้มโจ๊กให้ดีไหมขอรับ? โจ๊กหวานหรือว่าโจ๊กเค็มดีขอรับ?”
“ไม่ต้อง ข้าไม่หิว”
“แต่กินสักหน่อยก็ดีนะขอรับ”
“ของที่ให้เจ้าไปซื้อ เจ้าซื้อมาหรือยัง?”
“ซื้อแล้วขอรับ ธูปเทียน เงินกระดาษ เครื่องเซ่นไหว้ เสื้อผ้าแล้วก็บ้าน เหมือนกับปีที่แล้วเลยขอรับ!”
เสื้อผ้าและบ้านที่เขาพูดถึงนั้นเป็นของสำหรับคนตาย ใช้กระดาษทำขึ้นมา ในโลกก่อนหน้าอวี๋หวั่นก็เคยเห็น ว่ากันว่าหากเผาไปให้ญาติผู้ล่วงลับ พวกเขาจะได้ใช้ในปรโลก
“พรุ่งนี้ท่านจะต้องไปพบนายน้อยใช่หรือไม่ขอรับ?” บ่าวคนสนิทเอ่ยถาม
“อืม” แม่ทัพใหญ่พยักหน้า
“เข้าใจแล้วขอรับ” บ่าวเดินไปเปิดประตู เพิ่งจะเดินไปเปิดประตู “ท่านจะรับอะไรขอรับ? บะหมี่เนื้อแพะ?”
“ข้าไม่กินแล้ว”
“ขอรับ”
บ่าวคนสนิทเดินออกไปด้วยความผิดหวัง
ทว่าเดินออกไปได้เพียงก้าวเดียว ก็ได้ยินแม่ทัพใหญ่ตวาดว่า “ใคร?!”
เขาสาวเท้ากลับมาในห้องทันที
อวี๋หวั่นปิดจมูกแน่น เมื่อครู่เธออยากจะจาม แต่ยังไม่ทันจามออกมา แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรกัน?
บ่าวคนสนิทดึงมีดออกมา แล้วเดินเข้าไปทางห้องเล็กด้านข้างด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ผู้ใดกัน?”
“เอ๋ง!”
ก้อนกลมน่ารักสีขาวกลิ้งออกมา
“เอ๋?” บ่าวคนสนิทจ้อง แล้วก้มลงอุ้มเจ้าก้อนกลมสีขาวขึ้นมา เขายิ้มแล้วบอกว่า “ท่านแม่ทัพ ลูกจิ้งจอกขอรับ”
ลูกจิ้งจอกหิมะตัวน้อยทำหน้าตาน่ารักมองไปยังบุรุษบนรถเข็น
แม่ทัพใหญ่ยื่นมือออกไป
บ่าววางเจ้าลูกจิ้งจอกหิมะลงบนอุ้งมือของเขา
เจ้าตัวเล็กขนนุ่มนิ่ม ดวงตาของมันวาวใส บนหัวของมันมีขนตั้งเล็กน้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่ารักแค่ไหน
แม่ทัพใหญ่หัวเราะออกมาทันใด
บ่าวคนสนิทตะลึงงัน
เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม?
เมื่อครู่นายท่านบ้านเขา…หัวเราะหรือ?
นายท่านไม่ได้หัวเราะมานานเท่าไรแล้วนะ?
เขาถูกซื้อมาอยู่ในจวนเห้อเหลียนตั้งแต่อายุแปดขวบ ตั้งแต่นั้นก็ทำงานอยู่ในเรือนของแม่ทัพใหญ่มาโดยตลอด เริ่มจากหน้าที่ปัดกวาด โตขึ้นหน่อยจึงได้มาติดตามแม่ทัพใหญ่ จนถึงปัจจุบันนี้ก็เก้าปีเห็นจะได้ น้อยครั้งนักที่เห็นแม่ทัพใหญ่หัวเราะ และไม่มีเลยสักครั้งที่เขาหัวเราะออกมาจากใจ
บ่าวคนสนิทรู้สึกว่าเป็นไปได้มากที่ตนจะหูฝาด
เขาจึงเดินไปมองเจ้านายของตนอีกครั้ง
ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเอง เจ้าลูกจิ้งจอกหิมะพยายามดิ้นหนีจากเงื้อมมือของแม่ทัพใหญ่ มันกระโจนหนี แล้วกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไปชนกับเสาเข้าเต็มๆ จนมึนงงท่าทางน่าสงสาร
แม่ทัพใหญ่หัวเราะอีกครั้ง
รอยยิ้มของเจ้านายตนนั้น งดงามจริงๆ เหลือเกิน…
บ่าวคนสนิทตื่นตะลึง
ไม่นานเขาก็ได้สติกลับมา และพบว่าเจ้านายของเขายังหัวเราะขึ้นมาอีก เขายืนทำตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ตั้งแต่วิทยายุทธ์ของแม่ทัพใหญ่สูญสลายไป ก็ไม่เคยเห็นเขายิ้มออกมาจากใจอีกเลย…
แต่จะว่าไป ท่าทางเซ่อซ่าของเจ้าลูกจิ้งจอกตัวนี้ก็ตลกจริงๆ นั่นแหละ
ไม่รูู้ว่าลูกจิ้งจอกหิมะตัวนี้เป็นของจวนเจ้าเมืองหรืออย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นของใคร ในเมื่อแม่ทัพใหญ่ชอบ จากนี้มันก็คือของแม่ทัพใหญ่
บ่าวคนสนิทจึงจับลูกจิ้งจอกหิมะซึ่งเมื่อครู่วิ่งชนเสาจนเห็นดาววิบวับขึ้นมา เขายิ้มตาหยีพลางลูบพุงของมัน “ดูแลท่านแม่ทัพให้ดี แล้วเจ้าก็จะได้อยู่ดีกินดี!”
เจ้าจิ้งจอกหิมะถูกพาตัวไปแล้ว แม่ทัพใหญ่ก็ถูกบ่าวเข็นไปอาบน้ำแล้วเช่นกัน
อวี๋หวั่นจึงใช้โอกาสนั้นหนีออกมาจากเรือน
เรือนของแม่ทัพใหญ่นั้นเงียบสงัด ปราศจากทหารยามเดินลาดตระเวน อวี๋หวั่นค่อยๆ ย่องไปยังด้านหนึ่งของกำแพง เธอย้ายก้อนหินก้อนหนึ่งมาใช้เหยียบเพื่อปีนขึ้นไปบนกำแพง ทันใดนั้นก็มีเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามาโอบเอวของเธอไว้แล้วพาเธอไปยังอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง
อวี๋หวั่นคลำหาเข็มเงินในแขนเสื้อ
“ฮูหยิน ข้าเองขอรับ!”
เจียงไห่รีบบอก
สีหน้าของอวี๋หวั่นจึงผ่อนคลายลง เธอเก็บเข็มเข้าไป
เจียงไห่ยกมือซึ่งทั้งหยาบกร้านทั้งร้อนผ่าวขึ้นมา เขาประสานมือกล่าวขอโทษอวี๋หวั่น “เมื่อครู่เสียมารยาทแล้ว ฮูหยินโปรดอย่าถือโทษ”
อวี๋หวั่นชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็นึกออกว่าเจียงไห่หมายถึงเมื่อครู่ที่เขาโอบเอวเธอ อวี๋หวั่นโบกมือ “เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าไม่ต้องใส่ใจ เรื่องใหญ่สำคัญกว่า เยี่ยนจิ่วเฉาละ?”
เจียงไห่ตอบว่า “เจียงไห่และเยว่โกวพากลับโรงเตี๊ยมไปแล้วขอรับ”
หลังจากที่เขาออกมาจากจวนเจ้าเมืองแล้วจึงพบกับพวกชิงเหยียน โชคดีที่พบพวกเขา ไม่เช่นนั้นทั้งสองคงบุกเข้าไปในคุกแล้ว นอกจากนั้นสัญญาณเตือนนักโทษแหกคุกได้ดังขึ้นแล้ว หากพวกเขาเข้าไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปติดบ่วงเสียเอง
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พวกเรากลับจวนกันเถอะ”
เจียงไห่นำทาง
ทั้งสองกลับถึงโรงเตี๊ยม
เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นขึ้นระหว่างทาง ชุยเฒ่าให้ยาเขากิน ฤทธิ์ของยาช่วยให้จิตใจสงบและหลับง่าย แต่เขากลับลืมตาค้างอยู่เช่นนั้น จนอวี๋หวั่นกลับมาเขาจึงหลับตาลง
“เขาไม่เป็นไรใช่ไหม?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามเสียงค่อย
ชุยเฒ่าแค่นเสียงขึ้นจมูก “เขายังตายไม่ได้! เมื่อกี้เจ้าไปไหนมา? ทำไมพวกเขากลับมาก่อน?”
แม้ว่าเขาจะใช้น้ำเสียงที่ไม่รื่นหูนัก แต่ใจจริงก็เป็นห่วงอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นจึงเล่าเรื่องที่เข้าไปในเรือนของแม่ทัพใหญ่ให้พวกเขาฟัง
ชิงเหยียนนึกถึงเรื่องที่ตนได้ยินผู้คนพูดคุยกัน จึงเอ่ยปากถามชายชราว่า “อาม่า ท่านว่าแม่ทัพใหญ่คนนั้นจะใช่เห้อเหลียนเป่ยหมิงไหม?”
“เห้อเหลียนเป่ยหมิง?” อวี๋หวั่นชะงักไป ชื่อนี้เธอเคยได้ยินเยี่ยนจิ่วเฉาพูดถึง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเห้อเหลียนฉี เป็นแม่ทัพเทพแห่งหนานจ้าว มิน่าเล่าถึงดูน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น
อวี๋หวั่นขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ใช่หรอกกระมัง เขาเป็นถึงแม่ทัพเทพ จะไปนั่งรถเข็นได้อย่างไร?”
อาม่าตอบว่า “ก่อนหน้านี้เขาฝึกวิทยายุทธ์จนได้รับบาดเจ็บ วิทยายุทธ์สลายไปสิ้น เขาเดินได้ แต่เมื่อเดินแล้วจะรู้สึกเจ็บแปลบราวกับเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงหัวใจ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี๋หวั่นอดทอดถอนใจไม่ได้ที่เห็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญของยุคสมัยมีจุดจบเช่นนี้ “ถ้าอย่างนั้น อาม่า มั่นใจใช่หรือไม่ว่าแม่ทัพใหญ่คนนั้นคือเห้อเหลียนเป่ยหมิง?”
อาม่าพยักหน้า “คงจะเป็นเขา”
อวี๋หวั่นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “โชคดีที่หนีออกมาทัน”
…………………………………………….