หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 181.1 พานพบ (1)
หน่วยกล้าตายหน้ากากทองซึ่งถูกเล่าขานกันเพียงในตำนาน กลับมาปรากฏกายในหนานจ้าว ทั้งยังเผชิญหน้ากับเจียงไห่ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ไม่คิดเลยว่าหน่วยกล้าตายหน้ากากทองจะเก่งขนาดนี้” นอกจากตกใจแล้ว อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรแล้ว
อวี๋หวั่นกระจ่างในความสามารถของเจียงไห่เป็นอย่างดี แม้แต่จวินฉางอันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาสามารถเดินกร่างในจงหยวนก็ว่าได้ ส่วนวิทยายุทธ์ของชิงเหยียนไม่นับว่าดีที่สุด แต่เขามีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ ก็ยังไม่อาจหลบหลีกการโจมตีได้ ส่วนเยว่โกวนั้น พลังภายในของเขาแข็งแกร่งกว่าเจียงไห่ถึงสามเท่า แต่กลับต้านได้เพียงสามหมัด
อาม่าดูเยือกเย็นกว่าอวี๋หวั่นมาก แต่ในส่วนของจิตใจนั้นสงบนิ่งหรือไม่นั้น ย่อมไม่อาจรู้ได้
อีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์พิษแซ่อวี๋ก็เอ่ยปากขึ้นอีก “…เรียนใต้เท้า!! พวกเขามีทั้งหมดแปดคนขอรับ! ข้ายินดีจะนำทางให้ใต้เท้าไปจับพวกเขาทั้งหมด!”
ทีนี้ละ พวกเจ้าหนีไม่รอดแน่นอน
ทันทีที่ปรมาจารย์พิษเพิ่งพูดจบ ก็มีแรงยกรถม้าของทั้งสองขึ้น…หน่วยกล้าตายหน้ากากทองได้ลงมือแล้ว
รถม้าถูกโยนไปบนพื้นเบื้องหน้ากองทัพ
ศีรษะของอวี๋หวั่นกระแทกกับบานประตู จนบานประตูแตกออก
อวี๋หวั่นลูบศีรษะ ขณะที่กำลังจะเข้าไปพยุงอาม่าซึ่งถูกกระแทกอย่างแรงนั้น ก็มีหอกหลายเล่มจ่อมาตรงหน้า
อวี๋หวั่นมองไปยังหอกซึ่งอยู่ห่างกับเธอเพียงชุ่นเดียว ก็ค่อยๆ ยกปลายนิ้วขึ้น แล้วผลักปลายหอกออกไป “มีแต่คนแก่กับสตรี ศึกครั้งนี้มิได้ใหญ่เกินไปหรอกหรือ?”
ทั้งสองถูกจับลงมาจากรถม้า
อวี๋หวั่นเพิ่งจะปลอมเป็นจื่อซู ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดเป็นผู้ชาย
เมื่อปรมาจารย์พิษเห็นอวี๋หวั่นที่เคยแต่งกายเป็นบุรุษ ก็ยังไม่อาจจดจำได้ในแรกเห็น จากนั้นก็ตื่นตะลึง “จะ…เจ้า…อา เป็นเจ้า? เจ้าเป็นสตรีรึ?! เจ้ามาสวม…เสื้อผ้าของจื่อซูทำไม?”
ต่อให้ปรมาจารย์พิษเค้นสมองออกมาก็ไม่อาจเดาได้ว่าอวี๋หวั่นปลอมเป็นจื่อซู
อวี๋หวั่นขี้คร้านจะสนใจเขา
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่มามัวสนใจว่าจะถูกเปิดโปงอีกต่อไป
สตรีก็สตรีเถอะ ปรมาจารย์พิษอวี๋มิได้นำมาใส่ใจ แต่กลับนึกถึงคนอื่นๆ ที่เหลือ เขาขมวดคิ้ว “ไม่สิ! ยังมีอีก!”
“อาม่า ที่หนานจ้าวมีคนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพใหญ่ทั้งหมดกี่คนหรือ?”
“คนเดียว”
“คนสกุลเห้อเหลียนคนนั้นใช่ไหม?”
“เอะอะเสียงดังอะไร?!” ทหารคนหนึ่งแทงหอกยาวลงที่พื้นหญ้าระหว่างทั้งสอง
“มิผิด คนสกุลเห้อเหลียนคนนั้น” อาม่าตอบ
“บอกว่าอย่าเสียงดังอย่างไรเล่า!” องครักษ์ยกหอกขึ้นมาชี้หน้าอาม่าโดยไม่เกรงใจ
อาม่าคุกเข่านิ่ง ท่าทางสงบเยือกเย็น
อวี๋หวั่นกลับคว้าหอกของทหารเอาไว้ “ถ้ากล้าแตะเขาแม้แต่ปลายผม เจ้าจะไม่ได้เห็นแม้แต่แสงตะวัน!”
ทหารคนนั้นถูกสายตาเย็นเยียบของอวี๋หวั่นทำให้รู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาหยุดลงทันที
ปรมาจารย์พิษอวี๋ปราดเข้าไป “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าพูดแบบนี้กับใต้เท้าได้อย่างไร! คนที่จะไม่เห็นแสงตะวันก็คือเจ้ามากกว่า!”
เขาพูดไปพลางหันหน้าไปยังรถม้าซึ่งปิดม่านสนิท แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาทว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ คนเหล่านี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ไม่มีหนังสือผ่านทาง พวกเขาไม่เพียงต้องการสังหารข้า เกรงว่าคงจะลงมือกับใต้เท้าเฟ่ยหลัวไปแล้วเช่นกันขอรับ! ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดส่งทหารไปยังกระโจมของใต้เท้าเฟ่ยหลัวด้วยเถิดขอรับ เพื่อจะได้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ถูกคนเหล่านี้ทำร้าย!”
ถ้าไป ก็ต้องพบกับซากศพของเฟ่ยหลัว…
ทีนี้พวกเขาก็จะมีความผิดโทษฐานสังหารปรมาจารย์พิษของประมุขหญิง
อวี๋หวั่นหลับตา
ตอนนี้เห็นทีก็คงจะเหลือเพียงวิธีเดียว…
เรื่องพรรค์นี้ เธอถนัดนักเชียว…
ลองดูสักตั้ง…
อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึก แล้วบีบน้ำตา ร้องไห้คร่ำครวญออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ อย่าสังหารข้า…ข้าเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน…”
ม่านของรถม้าปิดสนิท คนด้านนอกไม่อาจมองเห็นด้านในรถ ไม่รู้ว่าทันทีที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ยิน เขาก็สะดุ้งเฮือกจนเกือบจะโยนลูกจิ้งจอกหิมะซึ่งลูบมาตลอดทางทิ้ง
กระนั้นเมื่อลูกจิ้งจอกหิมะตัวน้อยได้ยินเสียงจากด้านนอก ก็อดใจไม่ไหว อยากกระโดดออกไปแทบแย่
เจ้าโยนข้าเลย!
โยนข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตั้งสติได้ ก็อุ้มมันกลับมา
เจ้าลูกจิ้งจอกหิมะนั่งอยู่บนตักของเขาด้วยความขุ่นเคือง ถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าจะไปดูสักหน่อยขอรับ”
ผู้พูดคือก็คือบ่าวคนสนิทของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า
บ่าวคนสนิทเปิดม่าน แล้วลงจากรถม้า
อวี๋หวั่นจับตาดูสังเกตความเคลื่อนไหวบนรถม้าอยู่ตลอด เธอกังวลว่าจะไม่ใช่เห้อเหลียนเป่ยหมิง แต่เมื่อม่านเปิดออก เธอก็สัมผัสได้ถึงเงาซึ่งแผ่ความน่าเกรงขามออกมา เขาคือแม่ทัพใหญ่ที่เห็นในซีเฉิงไม่ผิดแน่
อันที่จริงเธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านพ่อของเธอเป็นลูกชายคนรองของสกุลเห้อเหลียนที่ตกเขาคนนั้น? แต่ในภาวะคับขันเช่นนี้ ถึงไม่ใช่ก็ต้องใช่ มิเช่นนั้นทุกคนก็หมดหนทางรอดแล้ว
บ่าวคนสนิทจุดคบเพลิงเดินมาตรงหน้าของอวี๋หวั่น ใช้แสงส่องไปยังอวี๋หวั่น เธอสวมอาภรณ์สีขาว ผูกผ้าคาดเอวสองสี ทำผมทรงเดียวกับสาวใช้ซึ่งยังไม่ได้ออกเรือน ใบหน้าเล็ก ผิวขาวผ่อง คิ้วเข้มให้ความรู้สึกดังวีรสตรี ทว่าไม่จองหองทระนงตน ดวงตาใสรูปผลซิ่ง ริมฝีปากแดงฟันซี่ขาว ช่างเป็นความงามที่มองแล้วรู้สึกสบายตา
ไม่มีผู้ใดคิดว่านายหญิงจะเป็นคนพูดจาไร้เหตุผล
ทว่าคำพูดเมื่อครู่ฟังดูออกจะไร้เหตุผลไปสักหน่อย
“เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
บ่าวคนสนิทคิดว่าตนต้องฟังผิดไปเป็นแน่ หรือไม่แม่นางน้อยคนนี้ก็คงจะวิปลาสไปแล้ว
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “เรียนถามใต้เท้า น้องชายของแม่ทัพใหญ่ ตกเขาไปเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิเมื่อสามสิบห้าปีก่อนใช่หรือไม่? อีกทั้งเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นตอนที่เขาอายุประมาณสามสี่ขวบใช่หรือไม่?”
บ่าวคนสนิทมองไปยังอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองอาม่าซึ่งอยู่ด้านข้าง ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องของนายท่านรองมานานมากแล้ว คนหนุ่มสาวคงไม่รู้เรื่องนี้มากเท่าไรนัก แต่คนชราน่ะสิ ต้องได้ยินข่าวร้ายในปีนั้นมาไม่มากก็น้อย
เขาพูดว่า “แล้วอย่างไร? เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร เจ้าจำเป็นต้องถามข้าด้วยหรือ? หรือเจ้าคิดว่าตนเองรู้มาก?”
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับก็จริง แต่ข้าได้ยินว่าหลังจากที่น้องชายของแม่ทัพใหญ่ตกลงไปก็ไม่พบร่าง สกุลเห้อเหลียนเชื่อว่าเขาตกลงไปจากที่สูงเช่นนี้ย่อมไม่อาจมีชีวิตรอด อาจถูกสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร แต่มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาไม่ตาย? ทว่าถูกคนที่ผ่านไปแถวนั้นช่วยชีวิตไว้ได้?”
“เหลวไหล!” บ่าวคนสนิทตวาด
“เหลวไหลหรือ?” อวี๋หวั่นยังคงมีสีหน้าแน่วแน่ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เธอมองไปยังรถม้า “ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คิดเช่นนั้นหรือ? ข้ามาตามหาญาติไกลถึงหนานจ้าว ข้าไม่มีแม้แต่หนังสือผ่านทาง เสี่ยงตายมาไม่รู้เท่าไร…แต่หากแม่ทัพใหญ่ไม่ปฏิเสธข้า ก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้มาที่นี่เถิด”
อวี๋หวั่นพูดไปพลางน้ำตาไหลพราก ถึงแม้บ่าวคนสนิทจะบอกว่าอวี๋หวั่นพูดจาเหลวไหล แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
บรรยากาศช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
ปรมาจารย์พิษอวี๋กลับทนไม่ได้อีกต่อไป เขากับแม่นางน้อยผู้นี้แตกหักกันแล้ว หากนางเป็นหลานสาวของแม่ทัพใหญ่ เช่นนั้นเขาต้องตกที่นั่งลำบากแล้วสิ?
เป็นไปไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ปรมาจารย์พิษตะโกนว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่! ท่านอย่าไปฟังนางพูดเหลวไหลนะขอรับ! นางเดินทางมาจากซีเฉิง ในตอนนั้นท่านก็อยู่ซีเฉิง หากนางมาหาท่านซึ่งเป็นญาติอย่างที่นางพูดจริง เหตุใดไม่มาหาท่านตั้งแต่ที่ซีเฉิงเล่า?”
อวี๋หวั่นลอบหรี่ตา ปรมาจารย์พิษคนนี้ดูโง่เง่า แต่ในช่วงเวลาสำคัญเขากลับรู้หนทางเจรจา
มิผิด ทุกคนล้วนรู้ว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงไปยังซีเฉิง ในตอนนั้นเองเธอก็บังเอิญไปอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าจะบอกไปว่าเธอไม่รู้ข่าวก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปสักหน่อย
แต่ว่า…
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แล้วพูดออกไปอย่างชอกช้ำใจว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไปตามหา แต่ข้าถูกจับเข้าคุกไปต่างหากเล่า ข้าพูดอะไรพวกเขาก็ไม่เชื่อ คิดว่าข้าพูดจาเหลวไหล”
เธอถูกจับเข้าคุกไปจริง ส่งคนไปตรวจสอบก็ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าเธอพูดไปว่าอย่างไร ในตอนนั้นมีผู้คุมเพียงคนเดียว ต่างฝ่ายต่างมีพยานเพียงปากเดียว ใครจะไปตัดสินได้
นิ้วเรียวงามดุจหยกแง้มม่านรถม้าออก
ปรมาจารย์พิษไม่กล้ามองหน้าแม่ทัพใหญ่ ได้แต่รีบก้มหน้า
อวี๋หวั่นกลับจ้องมองเขาโดยที่ไม่หลบตา และเผชิญกับสายตาซึ่งมองมาราวกับกำลังพินิจพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นั่นเป็นดวงตาซึ่งดูแล้วเฉียบแหลมประหนึ่งสามารถทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่งได้
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างปราศจากความขลาดกลัว เธอไม่ได้ถอยหนีแต่อย่างใด
“เจ้าบอกว่าพ่อของเจ้าคือน้องชายของข้าที่ตกเขาไป เจ้าเดาเรื่องนี้ได้อย่างไร?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยถาม
นั่นสิ จะเดาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน? เด็กตัวเล็กขนาดนั้นถูกคนอุ้มไป ไม่มีใครระบุตัวตนของเขาได้ จะใช้เพียงวันเวลาที่ใกล้เคียงกันมาเดาว่าเป็นคนสกุลเห้อเหลียนแค่นั้นหรือ?
แต่ว่า เขาถามอย่างนี้ ก็หมายความว่าเขาเองก็เคยสงสัยว่าน้องชายยังไม่ตายใช่ไหม?
เรื่องนี้ง่ายขึ้นเยอะ
วั่นมามาอยู่ในจวนคุณชาย ไม่เพียงสอนเรื่องกิริยามารยาทและกฎระเบียบต่างๆ เพียงอย่างเดียว ยังสอนวิธีการพูดพลิกลิ้นให้อีกด้วย
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ท่านพ่อของข้าถูกเก็บมา เรื่องนี้ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรู้ดี แต่ว่าทุกคนล้วนมีใจอยากตามหาญาติมิตร ที่นั่นมีศึกสงครามต่อเนื่อง เด็กจำนวนมากอดตาย พ่อแม่ล้มหายตายจาก แน่นอนว่ายังมีเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งเพราะไม่อาจเลี้ยงดูต่อไปได้ เด็กที่โชคดีมีชีวิตอยู่จนถูกคนใจดีเก็บมาเลี้ยงอย่างท่านพ่อข้านั้นมีน้อยนัก…จนหลังฤดูใบไม้ผลิปีนี้ มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งตามมาที่บ้าน…เขาคิดว่าท่านพ่อข้าคือลูกชายที่พลัดพรากกันไปหลายปี พวกเราดีใจมากนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาจำคนผิดไป ตราบจนทุกวันนี้ข้ายังจำคำพูดของเขาก่อนจากไปได้ เขาบอกว่าตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน เขาก็จะตามหาลูกต่ออีกหนึ่งวัน เขาอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน…ข้ามองหลังงุ้มงอของเขา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
ข้าจึงเริ่มคิดว่า บางทีท่านพ่อของข้าอาจจะไม่ใช่เด็กที่ถูกทิ้ง เขาเป็นเด็กที่ถูกโชคชะตาทำให้พลัดพรากจากครอบครัว พ่อแม่ผู้แก่เฒ่าของเขาอาจกำลังตามหาเขาอย่างยากลำบากอยู่เช่นกันก็เป็นได้…ส่วนเรื่องที่ข้าเดาว่าเป็นสกุลเห้อเหลียน ก็เป็นเพราะแม่ทัพเวยหย่วนเคยเดินทางไปเมืองหลวงของต้าโจว”
“เจ้าเป็นคนต้าโจวหรือ?” บ่าวคนสนิทตกตะลึง
“มิผิด” อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าเป็นคนต้าโจว แม่ทัพเวยหย่วนเกิดเรื่องที่ต้าโจว เรื่องของเขาแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเรื่องนี้ข้าจึงรู้ว่าท่านมีน้องชายที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ตกเขา ดูจากช่วงเวลาแล้วตรงกับเดือนที่ท่านพ่อข้าถูกเก็บมา ในใจข้าจึงคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อข้า…จะเป็นคนสกุลเห้อเหลียน?”
…………………………………………