หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 185.2 คนเห่อหลาน (2)
นางหลี่ไม่อาจพูดอะไรต่อหน้าพ่อสามีได้ จึงจำใจถอยออกมา
เมื่อออกมาจากโถงบุปผา นางหลี่ก็มีสีหน้าบูดบึ้ง
นางรู้ดีว่าพ่อสามีไม่ชอบนาง กล่าวโทษที่นางไม่ดูแลเห้อเหลียนฉีให้ดี แต่พ่อสามีไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าตัวเขาเองเป็นพ่อยังควบคุมลูกชายไม่ได้ นางเป็นภรรยาไหนเลยจะควบคุมเขาได้? เห้อเหลียนฉีหายไปจากบ้านสามวันสามคืน คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็คือนางมิใช่หรือ?
ไม่รู้ว่าหลายปีนี้เขาไปมีลูกข้างนอกอีกไม่รู้กี่คน
เขาตายไปแล้วก็ตายไปแล้วสิ อย่างไรเสียหลายปีนี้นางก็ใช้ชีวิตเหมือนเป็นแม่หม้ายอยู่แล้ว นางมีลูกชายลูกสาวแล้ว ช่วงชีวิตหลังจากนี้นางก็คงไม่ต้องกังวลอีก สามีนางเสเพลนัก จะมีหรือไม่มีก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ดีเสียด้วยซ้ำนางจะได้เป็นอิสระ!
ในใจนางหลี่คิดเช่นนี้ ทว่ากลับไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมา มิเช่นนั้นหากพ่อสามีเห็นว่านางกำลังมีความสุขเพราะความทุกข์ของเขา นางคงต้องซวยเป็นแน่
“ฮูหยิน จะกลับเรือนหรือยังเจ้าคะ?” หวังมามาซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถาม
นางหลี่ชะงักฝีเท้า “ไม่ ไปจวนตะวันออก”
หวังมามาถามว่า “ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฮูหยินจะไปทำอะไรที่จวนตะวันออกหรือเจ้าคะ?”
นางหลี่แค่นเสียงขึ้นจมูก “นายน้อยโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ต้องไปดูสักหน่อยว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม!”
“…” หวังมามาไม่อาจพูดโน้มน้าวนางได้อีก จึงทำได้เพียงปล่อยนางไป
นางหลี่พอรู้มารยาทอยู่บ้าง จึงให้หวังมามาเตรียมโสมและรังนกแล้วนำไปให้ที่จวนตะวันออกด้วยตนเอง ในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากำลังตั้งใจป้อนอาหารเด็กน้อย ในเมื่อบอกว่าป้อนอาหาร ย่อมหมายถึงฮูหยินผู้เฒ่ากำลังถือชามข้าว ค่อยๆ ตักป้อนเยี่ยนจิ่วเฉาทีละคำๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาหน้าบูดบึ้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าหลานรักตั้งใจกินข้าว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางดีใจเพียงใด
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ถึงเวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ยกถ้วยยาให้นาง
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคืองใจ “ดื่มอะไรเล่า? หลานชายข้ากลับมาแล้ว ข้าหายดีแล้ว! ไม่ต้องดื่มยาแล้ว!”
สาวใช้พูดอยู่นานแต่ก็อับจนปัญญา จึงทำได้เพียงวางยาเอาไว้
ไม่นาน ชุยเฒ่าก็ยกยาเข้ามา เป็นยาของเยี่ยนจิ่วเฉา
เรื่องที่เยียนจิ่วเฉาโดนยาพิษนั้นฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ พวกเขาบอกนางเพียงว่าเยี่ยนจิ่วเฉาอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ต้องได้รับการดูแล ไม่อาจละเลยได้
เยี่ยนจิ่วเฉากินจนอิ่ม ดื่มยาไม่ลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับคิดว่าเขาไม่ยอมดื่มเพราะเกลียดยาขม จึงให้คนยกยาของตนมา “ย่าดื่มยาเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
…ไม่รู้ว่าใครดื่มยาเป็นเพื่อนใคร
สรุปแล้ว ทั้งผู้เฒ่าและหนุ่มน้อยต่างก็ดื่มยาจนหมด หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามารายงานว่าฮูหยินรองมา
เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือเขาเบาๆ พร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่ต้องกลัว นางคืออาสะใภ้รองของเจ้า”
เพราะเป็นอาสะใภ้รองนั่นแหละถึงต้อง ‘กลัว’ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงภรรยาเอกของเห้อเหลียนฉี
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูเยี่ยนจิ่วเฉามาก เยี่ยนจิ่วเฉาย่อมสามารถบอกปัดอีกฝ่ายไปได้ แต่ถึงหลบหน้าได้ครั้งหนึ่งก็มิอาจหลบได้ตลอดไป ไม่ว่าอย่างไรวันหนึ่งเขาก็ต้องพบหน้า ‘ญาติ’ สกุลเห้อเหลียนเหล่านี้อยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนไปเรียกนางหลี่เข้ามา
อากาศในเดือนเก้าของหนานจ้าวค่อนข้างร้อน สองย่าหลานนั่งอยู่ที่ระเบียงรับลม
นางเจียงเข้ามาเห็นผู้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกว่าหลานชายแสนดี อีกฝ่ายสวมชุดยาวสีขาว รูปร่างสูง เส้นผมสีดำขลับ องคาพยพบนใบหน้างดงามดุจหยก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการป่วยหรือไม่ ใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย มือข้างซ้ายซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ส่วนมือข้างขวาถือถ้วยหยกขาว นิ้วเรียวยาว งดงามเหมาะสมกับใบหน้าของเขา ดูราวกับเป็นเทพเซียนก็มิปาน
หากบอกว่าเป็นคนปลอมตัวมาหลอกฮูหยินผู้เฒ่าละก็ นางไม่เชื่อเด็ดขาด
ใบหน้าฟ้าประทานเช่นนี้ใช่ว่าจะพบได้ทั่วไปในใต้หล้า มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้ อีกทั้งยังแผ่รัศมีความสูงศักดิ์กำจายอยู่รอบตัว ดูสง่างามกว่าบุตรชายบ้านตนสักสามเท่าได้ เหมือนกับเป็น…เชื้อพระวงศ์
นางหลี่กลืนน้ำลาย นางน่าจะเสียสติไปแล้วกระมัง อีกฝ่ายจะเป็นเชื้อพระวงศ์ไปได้อย่างไร?
แต่ว่า เด็กคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เคยมา หรือว่าหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับมาแล้วจริงๆ ?
“มานี่สิ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียก
นางหลี่พบว่าฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มร่าราวกับเด็ก ตั้งแต่ที่นางเข้ามาอยู่ ก็ไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มมาก่อน ถ้าหากไม่ใช่หลานชายแท้ๆ นางจะมีความสุขเช่นนี้หรือ?
นางหลี่อดไม่ได้ที่จะมองเยี่ยนจิ่วเฉาอีกสักครา
ก่อนหน้านี้ได้เพียงเหลือบมอง ก็พลันตกใจคิดว่าเป็นเทพเซียน บัดนี้ได้เข้าไปใกล้ ก็รู้สึกว่างดงามจนไร้คำพรรณนา
ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เขาไม่ยักเหมือนคนสกุลเห้อเหลียน แต่หากไม่ใช่คนสกุลเห้อเหลียนแล้ว ใครกันจะให้กำเนิดผู้ที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้ได้?
นางหลี่ถามคำถามทั่วไปกับเยี่ยนจิ่วเฉา บ้านอยู่ที่ไหน มาได้อย่างไร ที่บ้านมีญาติอยู่อีกหรือไม่ บ่าวในเรือนล้วนแต่…ตอบทั้งหมด ตรงกับสิ่งที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดทุกประการ ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ไม่มองหน้านางด้วยซ้ำไป
นางหลี่รู้สึกเดือดดาล เด็กคนนี้ ไม่เห็นหัวใครเลยรึ!
“ไอ้หยา เจ้าไม่ต้องคุยกับหลานข้าแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มไม่สบอารมณ์ นางยังไม่ทันได้พูด หลานสะใภ้คนนี้กลับมีตาหามีแววไม่ ไม่เห็นหรือว่าบนหน้านางเขียนเอาไว้ว่า ‘ไปได้แล้ว อย่ามารบกวนหลานชายคนดีของข้า’?
นางหลี่ยังอยากถามเรื่องอื่นอีก แต่ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าไล่ออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าหลานชายรู้สึกรำคาญใจ จึงรีบถามว่า “ทำไมหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วกล่าวว่า “นางจ้องข้าอยู่นั่นแหละ ข้าไม่ชอบ”
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบตอบว่า “เช่นนั้นย่าก็ไม่ชอบ! ต่อไปพวกเราไม่ต้องเจอนางอีก!”
ความคิดของนางหลี่ที่หมายจะสืบความก็จบลง
“หวังมามา” ระหว่างทางกลับจวนตะวันตก ในสมองก็ไม่วายนึกถึงเยี่ยนจิ่วเฉา
“มีอะไรหรือเจ้าคะ ฮูหยิน?” หวังมามาเอ่ยถาม
“เจ้าคิดหรือไม่ว่าคุ้นหน้าเด็กนั่นเหลือเกิน อย่างกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?” นางหลี่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น
หวังมามาไหนเลยจะกล้ามองหน้าเจ้านายโดยตรง จึงตอบเพียงว่า “อย่างไรเสียก็เป็นคนสกุลเห้อเหลียน ไม่แปลกที่ฮูหยินจะรู้สึกคุ้นตา”
“อย่างนั้นหรือ?” นางหลี่กลับรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้มิใช่ดวงตาของคนสกุลเห้อเหลียน แต่เป็นของใคร นางหลี่ก็คิดไม่ออก
……
บนถนนซึ่งแน่นขนัดไปด้วยรถราและผู้คน รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดด้านหน้าตึก บนแผ่นป้ายสีทองมีตัวหนังสือสามตัวซึ่งเขียนอย่างวิจิตรว่า ‘หอจวี้เสียน’
อวี๋หวั่นเลิกม่านดู “นี่คือที่ที่อาม่าให้พวกเรามาหรือ?”
“ใช่แล้ว” ชิงเหยียนลงจากรถม้า จากนั้นก็ยื่นมือมาพยุงอวี๋หวั่น
เจียงไห่ผลักมือของชิงเหยียนออกอย่างเย็นชา แล้วยื่นแขนของตนเองมาแทน
อวี๋หวั่นไม่ได้ใส่ใจการกระทำของเจียงไห่ แต่ก็ไม่ได้จับแขนของเขา รถม้าสูงพอสมควร แต่เธอก็กระโดดลงมาอย่างง่ายดาย
ชิงเหยียนหัวเราะค่อนแคะ
เจียงไห่ไม่ได้สนใจเขา และดึงแขนกลับไปเงียบๆ จากนั้นก็นำรถม้าให้เสมียนของหอจวี้เสียนจัดการต่อ
เพื่อความสะดวก อวี๋หวั่นปลอมเป็นผู้ชาย ในมือของเธอถือพัด ดูแล้วเหมือนคุณชายผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเปลี่ยนชื่อให้แล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็คือคุณชายเยี่ยน
เธอเดินเข้าไปในหอจวี้เสียนอย่างผึ่งผาย
เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามา “คุณชายทั้งสามไม่คุ้นหน้า มาหอจวี้เสียนของพวกเราเป็นครั้งแรกหรือขอรับ?”
อวี๋หวั่นกดเสียงให้ต่ำลง “ใช่ ครั้งแรก แต่พวกเราไม่ได้มากินอะไร พวกเรามาสืบข้อมูล”
“ข้อมูลอะไรหรือขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ตกใจ
อวี๋หวั่นโบกพัดเล็กน้อย “ข้าได้ยินว่าที่นี่ขายข้อมูล ใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้ม “ใช่ขอรับ ที่นี่มีแขกแวะเวียนมามาก ข้อมูลรวดเร็ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อ ขอเพียงพวกเรารู้ เมื่อลูกค้าถาม พวกเราก็จะบอกขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ งั้นก็หมายความว่าร้านนี้ทำการค้าได้เก่งมากสินะ? คิดไปคิดมาก็ไม่ได้เสียหายอะไร เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทั้งยังสามารถทำให้ลูกค้ายอมจ่ายค่าอาหารราคาแพง เท่านี้พวกเขาก็ทำเงินได้แล้ว
เสี่ยวเอ้อร์พูดว่า “คุณชายทั้งสามต้องการนั่งในห้องโถงใหญ่หรือต้องการห้องแยกชั้นบนขอรับ?”
อวี๋หวั่นตอบ “ห้องแยก”
ที่บ้านมีเหมือง ไม่ได้ขาดแคลนเงินสักหน่อย!
เสี่ยวเอ้อร์นำทางทั้งสามไปชั้นบน หอจวี้เสียนกิจการรุ่งเรือง ตอนนี้เหลือเพียงห้องสุดท้าย ราคาห้าสิบตำลึง อ
วี๋หวั่นจองห้องนี้ไปโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด
พวกเขาเข้าห้องไป
อวี๋หวั่นบอกกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “มีอาหารแนะนำ สุราดีอะไรก็ยกมา”
เสี่ยวเอ้อร์รีบพยักหน้ารับคำ “ได้เลยขอรับ! ข้าน้อยจะไปจัดมาให้!”
ลูกค้าที่ไม่ต่อรองราคาเช่นนี้ ปีหนึ่งมีน้อยนัก!
เสี่ยวเอ้อร์กระวีกระวาดออกไป
ไม่นาน อาหารและสุราชั้นดีชุดใหญ่ก็ถูกนำมาจัดวาง ต้องบอกว่าที่ราคาอาหารของหอจวี้เสียนนั้นแพงโขก็ไม่นับว่าไร้เหตุผล รสชาติของอาหารแต่ละจานล้วนเทียบได้กับอาหารในวังหลวง
แขกทั้งสามซึ่งเดิมทีไม่ได้คิดจะมากินอาหาร บัดนี้กลับกินจนอิ่มแปล้
เมื่อเห็นว่าอาหารชุดใหญ่หายไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกพายุพัด อวี๋หวั่นก็นึกเรื่องสำคัญที่ต้องทำขึ้นมาได้ เธอเรียกเสี่ยวเอ้อร์คนเมื่อครู่มา แล้วถามว่า “ได้ยินว่าในเมืองหลวงมีเห็ดหลินจือขาย หนึ่งในนั้นคือเห็ดหลินจือเพลิง ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม”
“เห็ดหลินจือเพลิงหรือขอรับ…” เสี่ยวเอ้อร์มีสีหน้าลำบากใจ
อวี๋หวั่นโยนเหรียญเงินให้เขา
ลูกตาของเขาก็หลุกหลิกไปมา
อวี๋หวั่นจึงโยนทองให้เขา เสี่ยวเอ้อร์รีบเก็บทองใส่ในอกเสื้อ แล้วบอกอวี๋หวั่นว่า “เรื่องนี้ข้าต้องไปถามผู้จัดการ คุณชายรอสักครู่นะขอรับ ข้าจะไปเรียกผู้จัดการมา!”
ผู้จัดการรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งเข้ามา แล้วยกมือขึ้นคำนับพวกเขาปลกๆ
“เอาเถอะๆ ไม่ต้องมาพิธี” อวี๋หวั่นใช้ด้ามพัดเคาะโต๊ะ “ข้ามาถามเรื่องเห็ดหลินจือเพลิง”
ผู้จัดการลูบเคราราวกับกำลังใช้ความคิด “เห็ดหลินจือเพลิงถูกขายไปแล้วขอรับ”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไรขายออกไปแล้ว?”
ผู้จัดการตอบว่า “อ้อ เดิมทีน่ะขอรับ เห็ดหลินจือเพลิงเป็นของล้ำค่าของร้านที่ชื่อว่าชุนฮุยถัง ภายหลังมีคุณชายจากตระกูลร่ำรวยซื้อไป แล้วมอบให้แก่ฮวาขุยต่งเซียนเอ๋อร์แห่งหอตี้อี หากคุณชายต้องการเห็ดหลินจือเพลิงนี้ คงต้องไปถามแม่นางต่งดูขอรับ”
“หอตี้อีคืออะไร?” อวี๋หวั่นกระซิบถามชิงเหยียน
ชิงเหยียนตอบว่า “หอคณิกา”
อวี๋หวั่น “…”
หอตี้อีมิได้เป็นเพียงหอคณิกาธรรมดา แต่ยังเป็นหอคณิกาที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง ห้องหับประดับตกแต่งวิจิตรบรรจงราวกับวังของเทพเซียน ส่วนต่งเซียนเอ๋อร์ที่ผู้จัดการกล่าวถึงก็คือฮวาขุย[1] ผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดปีนได้ถึงนับตั้งแต่เปิดกิจการมา
นางชนะการประกวดสาวงามสามปีติดต่อกัน และได้รับขนานนามว่าเป็นหญิงงามที่สุดในเมืองหลวง
อย่างไรก็ตาม หญิงงามเพียงใด แต่นางก็ขึ้นชื่อเรื่องโทสะ หากจะชิงสิ่งใดไปจากนาง เงินคงใช้ไม่ได้ แต่หากใช้กำลัง นางมียอดฝีมืออยู่สี่คน ทุกคนล้วนแต่เป็นหน่วยกล้าตายหน้ากากทอง
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้จัดการพูดแล้ว อวี๋หวั่นก็ได้แต่ถอนหายใจ สถานการณ์เช่นนี้บีบบังคับให้เธอเข้าไปในหอคณิกาอีกใช่ไหม?
………………………………………….
[1] ฮวาขุย ชื่อเรียกตำแหน่งหญิงงาม