หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 187.1 ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ใจ (1)
อวี๋หวั่นยังไม่รู้ว่าลูกชายของตนกำลังเดินทางมาเมืองหลวง และมิได้เผชิญกับความลำบากยากเข็ญ ล้มลุกคลุกคลานเฉกเช่นพวกเขา เด็กน้อยทั้งสามกินอิ่มนอนหลับ มีคนปรนนิบัติพัดวีไปตลอดทาง มีคนให้เงิน ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญประหนึ่งเด็กเสเพลซึ่งกำลังถลุงทรัพย์ศฤงคารไปจนหมดสิ้น
เจียงไห่ไปแล้ว คนผู้ที่บังคับรถม้าคือชิงเหยียน
อวี๋หวั่นนั่งอยู่บนรถม้า มองไปยังถนนซึ่งมีผู้คนขวักไขว่ไปมา ร้านรวงเรียงรายแน่นขนัด เธอรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับว่า…ที่นี่คือที่ของเธอ
แต่ความรู้สึกนี้ประหลาดใช่ไหมละ? เธอเกิดและโตในต้าโจว ทำไมถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับเมืองหลวงของหนานจ้าวได้?
ต้องเป็นเพราะตามหาตัวยาจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
“หลีกไปๆ! ”
ด้านหน้ามีความโกลาหลเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา ฝูงชนซึ่งเดิมทีแน่นแน่นขนัดก็แยกเป็นสองฝั่ง พ่อค้าแม่ขายก็ดันแผงขายของของตนเองไปจนติดกำแพง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านค้าจะเห็นเรื่องนี้เป็นปกติ ไม่ได้บ่นหรือด่าทอแต่อย่างใด ในทางกลับกันก็โยกย้ายเก้าอี้และโต๊ะจากปากประตู เพื่อให้พวกเขามีพื้นที่มากขึ้น
“หมายถึงพวกเจ้านั่นแหละ! เข้าไปจอดในตรอกนู่น!”
เจ้าของเสียงดังโหวกเหวกนั้นตรงเข้ามาหารถม้าของอวี๋หวั่นและชิงเหยียน เขาขี่ม้าตัวสูงสง่าน่าเกรงขาม สวมชุดเกราะเป็นประกาย ในมือถือทวนยาวปลายแหลม ผู้คนโดยรอบรีบเปิดทางให้เขา
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ตัวละครหลักของความโกลาหลในครั้งนี้ ด้านหลังของเขามีองครักษ์ท่าทางองอาจน่าเกรงขามเดินมา องครักษ์ประมาณสิบคนกำลังคุ้มกันเกี้ยวทองคำ ยอดฝีมือร่างกายกำยำสูงใหญ่อีกสิบคนกำลังยกเกี้ยว บนตัวเกี้ยวคลุมด้วยผ้าไหมทองคำ ด้านในสามารถมองเห็นดรุณีน้อยสวมอาภรณ์สีทองนั่งขัดสมาธิ
ด้านข้างของดรุณีน้อยมีสาวใช้สองคนคุกเข่าอยู่
ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างคุกเข่าลง
ชิงเหยียนแค่นเสียง ‘หึ’
“ชิงเหยียน” อวี๋หวั่นเอ่ยปาก
ชิงเหยียนบังคับรถม้าเข้าไปในตรอก
ขบวนยาวเหยียดเคลื่อนเข้ามา ใช้เวลาไปหนึ่งเค่อเต็มๆ กว่าคนสุดท้ายจะเดินไป ขบวนมีช้าบ้างเร็วบ้าง แต่อวี๋หวั่นนับคร่าวๆ ได้ว่าขบวนนี้มาองครักษ์ถึงหนึ่งร้อยคน
“คุณหนูบ้านไหนหรือ?” ขณะที่เกี้ยวเคลื่อนผ่านตรอกไป อวี๋หวั่นก็มองเห็นเงาอรชรอ้อนแอ้น มองเห็นได้เลือนรางว่าเป็นดรุณีน้อย
ผู้ที่ตอบมากลับไม่ใช่ชิงเหยียน แต่เป็นบัณฑิตคนหนึ่งซึ่งโดนเบียดเข้ามาในตรอกด้วยเช่นกัน
บัณฑิตตอบว่า “น้องชายท่านนี้คงไม่ใช่คนเมืองหลวงกระมัง?”
อวี๋หวั่นตอบด้วยความเกรงใจว่า “ข้ามาเยี่ยมญาติ เพิ่งมาถึงเมื่อวาน”
บัณฑิตร้องเข้าใจในทันที “ไม่แปลกใจที่เจ้าไม่รู้จัก เมื่อครู่คือองค์หญิงน้อยแห่งจวนประมุขหญิง นามพระราชทานว่าเยวี่ยหวา”
อวี๋หวั่นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ประมุขหญิงไม่ได้มีลูกชายหรือ? หรือว่ามีลูกสาวด้วย?”
บัณฑิตยิ้ม “ลูกแท้ๆ เป็นผู้ชาย องค์หญิงเยวี่ยหวาเป็นลูกบุญธรรมของประมุขหญิงและราชบุตรเขย ประมุขหญิงและราชบุตรเขยรักนางมาก องค์ประมุขก็ทรงรักและเอ็นดูนาง องครักษ์เหล่านี้เป็นองครักษ์ที่องค์ประมุขพระราชทานให้ในพิธีบรรลุนิติภาวะ ว่ากันว่าเป็นองครักษ์ของพระองค์เอง เก่งกาจยิ่งนัก สามารถรับมือกับศัตรูได้หนึ่งต่อสิบ”
ดูแล้ว บุตรบุญธรรมของจวนประมุขหญิงได้รับการเลี้ยงดูที่ดีเช่นนี้ ก็พอจะเดาได้ว่าฐานะของประมุขหญิงในหนานจ้าวเป็นอย่างไร
ประมุขหญิงเป็นคนหนานจ้าว แต่สถานะนั้นเหมือนกับรัชทายาทแห่งต้าโจว เมื่อได้รับพระราชทานตำแหน่ง ก็นับว่าเป็นตำแหน่งประมุขแห่งราชนิกุล ไม่น่าแปลกใจที่องค์ประมุขถึงให้ความสำคัญกับจวนประมุขหญิง
“หึ” ชิงเหยียนแค่นเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง
บัณฑิตมองเขาพลางเอ่ยถามว่า “พี่ชายท่านนี้ ท่านมีอะไรไม่พอใจองค์หญิงน้อยหรือ?”
ชิงเหยียนเหลือบไปมองตัวรถม้าด้านหลัง “จะมีอะไรได้? องค์หญิงน้อยน่ารักถึงเพียงนั้น”
อวี๋หวั่นไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร “เห็นแค่แวบเดียวมิใช่หรือ รู้ได้อย่างไรว่านางน่ารัก?”
ชิงเหยียนมองอวี๋หวั่น “เห็นมามาก มองแวบเดียวก็รู้”
“ท่านเคยพบองค์หญิงน้อย?” ครั้งนี้บัณฑิตนึกสงสัย
ชิงเหยียนหัวเราะ ‘เหอะๆ ’ พร้อมกับตอบว่า “ไม่ใช่แค่เคยเจอ แต่ยังรู้จักมักคุ้นกันด้วย!”
พูดจบก็ตวัดแส้ แล้วบังคับรถม้าออกไป
บัณฑิตส่ายหน้า กล่าวแดกดันว่า “ก็เห็นอยู่ว่าเพิ่งจะเข้าเมืองหลวงมาเมื่อวาน ยังกล้าบอกอีกว่าเคยเจอองค์หญิงน้อย เจ้าโง่หรือว่าข้าโง่กันแน่นะ!”
อวี๋หวั่นก็คิดว่าชิงเหยียนล้อเล่น จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ
รถม้าเคลื่อนมายังประตูฝั่งตะวันออกของจวนสกุลเห้อเหลียน คนทั่วไปไม่สามารถเดินเข้าประตูใหญ่ แต่ในฐานะที่อวี๋หวั่นเป็นภรรยาของหลานชายคนเก่งของฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมได้รับสิทธิพิเศษ
สกุลเห้อเหลียนขยายทางเข้าให้กว้างกว่าเดิม สามารถนำรถม้าเข้าไปจอดในซีสยาย่วน อวี๋หวั่นลงจากรถม้า เดินกลับไปยังห้องของตน ชิงเหยียนก็นำม้าไปผูกที่คอกม้า หลังจากนั้นจึงไปยังห้องของอาม่า
“อาม่า เยว่โกว”
เยว่โกวก็อยู่ เขา…จึงกล่าวทักทาย
เมื่ออาม่าเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเขา จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ไม่ได้ข่าวเรื่องยามาหรือ?”
ชิงเหยียนไม่มีแรงจะตอบ “ได้ข่าวมาแล้ว อยู่ที่ฮวาขุยคนหนึ่ง รออีกสองสามวันค่อยไปเอามาจากนาง”
“แล้วเรื่องอะไรอีก? ” อาม่าถาม
ไหนเลยชิงเหยียนจะสู้อาม่าได้ อาม่าเพียงมองท่าทางหนักใจก็รู้ว่าเกิดเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น
ชิงเหยียนถอนหายใจ “ข้าเจอองค์หญิงน้อย”
ชิงเหยียนกังวลว่าอาม่าและเยว่โกวอาจไม่รู้ว่าองค์หญิงน้อยคนไหน จึงพูดเสริมมาว่า “ลูกบุญธรรมของประมุขหญิง”
เยว่โกวตกใจ
สีหน้าของอาม่ามิได้เปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก
ชิงเหยียนบอกว่า “ข้าเห็นนางนั่งอยู่บนเกี้ยวหรู รอบกายมีองครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ประมุข กำลังมีความสุขกับความชื่นชมที่ราษฎรมีให้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชิงเหยียนก็เบาเสียงของตน “อวี๋หวั่นกลับไม่เป็นอะไรเลย”
ดวงตาฝ้าฟางของผู้เฒ่าสั่นไหวเล็กน้อย
เยว่โกวขมวดคิ้ว
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะเป็นคนที่ถูกกล่าวถึง แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สู้ดีนัก เพียงแต่ว่าทุกอย่างดูประหนึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้น ลูกที่เป็นกาลีบ้านกาลีเมือง ย่อมไม่อาจเทียบเท่าลูกที่เกิดมามีบุญวาสนา แม้จะเป็นลูกที่รับมาอุปการะก็ตาม
“อาม่า ตี้จีองค์โตเป็นกาลีบ้านกาลีเมืองจริงหรือ? นางนำพาหายนะมาสู่หนานจ้าวได้จริงหรือ” ชิงเหยียนถาม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามอย่างจริงจัง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงถามเช่นนี้ หลังจากที่ได้เห็นองค์หญิงน้อยที่ผู้คนเคารพเชิดชู และเมื่อเห็นอวี๋หวั่นซึ่งทำได้เพียงถูกเบียดเข้าไปในตรอกแคบๆ เขาก็รู้สึกปวดแสบทรวงอกราวกับสุมไฟเอาไว้
อาม่าพยักหน้า “ในตอนที่ตี้จีองค์โตเกิด เมฆดำบดบังดวงอาทิตย์ ฟ้ามืดมน วังหลวงถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก จนกระทั่งตี้จีองค์เล็กถือกำเนิด แสงทองส่องทะลุเมฆ หมอกครึ้มได้หายไป…แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ผู้คนต่างพูดเช่นนั้น”
“อาม่า ข้าไม่เชื่อ” ชิงเหยียนบอก
เยว่โกวพยักหน้า “อืม ข้าก็ไม่เชื่อ”
อาม่ากล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ใช่องค์ประมุข พวกเจ้าเชื่อไม่เชื่อแล้วทำอะไรได้”
ชิงเหยียนผู้ซึ่งไม่ค่อยรู้สึกเห็นใจผู้ใดง่ายๆ “…”
รวมไปถึงเยว่โกวผู้ไม่รู้สึกคล้อยตามง่ายๆ “…”
……
อากาศของหนานจ้าวนั้นแปลกประหลาด เดือนเก้าก็ร้อนถึงเพียงนี้ อวี๋หวั่นเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อ จื่อซูจึงรีบนำน้ำร้อนมาให้อวี๋หวั่นล้างหน้า และเปิดตู้ หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมา
ฝูหลิงยกน้ำสามสี่ถังไปเติมในถังอาบน้ำ จากนั้นก็โรยกลีบดอกไม้ลงไป
เหตุที่การปลอมเป็นผู้ชายร้อนเช่นนี้ ก็เป็นเพราะผ้าแถบพันอก ผ้าแถบพันรอบตัวนั้นไม่ระบายอากาศ หลังจากที่แกะผ้าออก เธอก็รู้สึกโล่งสบายราวกับบินได้
อวี๋หวั่นทรุดกายลงบนเก้าอี้ “เฮ้อ ทำนายังไม่เหนื่อยขนาดนี้!”
จื่อซูหลุดหัวเราะ ฮูหยินบ้านนางน่าเอ็นดูเหลือเกิน มีผู้ใดบ้างที่ใช้การทำนามาเปรียบเทียบกับเรื่องนี้
“ฮูหยิน ดื่มชาสักหน่อยเจ้าค่ะ” จื่อซูวางถ้วยชาดอกไม้ใส่น้ำผึ้งลง
อวี๋หวั่นจิบไปหนึ่งคำ เธอไม่ชอบกินหวาน แต่รสชาติของน้ำผึ้งนั้นหอมหวานเหลือเกิน ทำให้สมองปลอดโปร่ง เมื่อดื่มหมดรู้สึกสบายตัว อาการเหนื่อยอ่อนของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง “ข้าไม่อยู่ครึ่งวัน ในจวนไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม?”
“ฮูหยินถามถึงคุณชายใช่หรือไม่เจ้าคะ? คุณชายอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าตลอด บ่าวไปดูมาสองครั้ง ไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ” จื่อซูตอบ ทันใดนั้นเองก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงบอกว่า “ฮูหยินรองจากจวนตะวันตกมาเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินรอง?” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว ภรรยาของเห้อเหลียนฉีน่ะหรือ? นางมาทำอะไร?
จื่อซูพูดต่อ “นางนำโสมและรังนกมาให้คุณชายจำนวนมาก บอกว่ามาแสดงความยินดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับว่าเป็นหลานเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้หากเป็นผู้อื่นพูด อวี๋หวั่นก็คงเชื่อ แต่นางหลี่น่าจะเป็นคนที่ไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับว่าเขาเป็นหลานมากที่สุด เพราะเมื่อใดที่หลานชายของฮูหยินผู้เฒ่ากลับมา บุตรชายของนางหลี่ก็อาจไม่ได้เป็นผู้สืบสกุล
นางหลี่คงจะมาดูว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เพียงแต่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้โง่ ไม่มีทางทำให้นางรู้
“สามีข้าเขาดื่มยาหรือยัง?” สิ่งที่อวี๋หวั่นเป็นห่วงที่สุดก็คือสุขภาพของสามี
จื่อซูยิ้ม “ดื่มแล้วเจ้าค่ะ”
“นอนกลางวันหรือยัง?”
“นอนแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้อารมณ์เสียใช่ไหม?”
“ไม่เจ้าค่ะ” จื่อซูรับใช้ทั้งสองมานาน ย่อมรู้นิสัยของเยี่ยนจิ่วเฉาดี “ช่วงนี้คุณชาย…ว่าง่ายมากเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ตั้งแต่สามีของตนถูกยาพิษ ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติ เขาว่าง่ายเหลือเกิน จนอวี๋หวั่นก็อดรู้สึกอยากแกล้งเขาไม่ได้
แต่เพียงครู่เดียว อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่าตนไร้เดียงสาเกินไป
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งไม่ได้สร้างเรื่องมาตลอดทาง บัดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสร้างเรื่องซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในจวนสกุลเห้อเหลียน
………………………………..