หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 188.2 ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ใจ (2)
เรื่องนี้เริ่มขึ้นหลังจากเยี่ยนจิ่วเฉานอนกลางวัน
นางหลี่กลับออกไปไม่นาน เยี่ยนจิ่วเฉาก็เริ่มง่วง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้คนไปจัดห้องนอน และไปส่งหลานชายสุดที่รักเข้านอน เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ใส่ใจ หันหลังมุดเข้าผ้าห่มหลับไป
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งมองเขาพลางยิ้มร่า และเผลอหลับบนเก้าอี้ไปโดยไม่รู้ตัว
ในตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหลับอยู่ เขาจึงเดินออกไปโดยมิได้สนใจ
ไม่มีใครกล้าปลุกฮูหยินผู้เฒ่า และไม่มีใครกล้าขวางเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปยังซีสยาย่วน อวี๋หวั่นยังไม่กลับมา เขาพึมพำด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินออกจากเรือนไป หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินทอดน่องไปอย่างไร้จุดหมาย
แม้ว่าบ้านสกุลเห้อเหลียนจะแบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก แต่กลับไม่ได้กั้นเป็นสองฝั่งชัดเจน เดิมทีมีเพียงฝั่งตะวันออก ภายหลังมีคนมากขึ้น จำต้องแยกออกไปสร้างจวนฝั่งจะวันตกอยูู่ข้างกัน ระหว่างจวนทั้งสองฝั่งถูกกั้นไว้ด้วยสวนดอกไม้เท่านั้น
และในสวนดอกไม้ก็ยังสร้างเรือนเพาะชำดอกไม้ไว้อีกด้วย
เรือนเพาะชำนั้นใช้ร่วมกัน ในห้องนั้นปลูกต้นไม้ของจวนทั้งสองฝั่ง เพราะฉะนั้นคนในจวนทั้งสองฝั่งล้วนเข้าไปได้
คนสวนในเรือนเพาะชำไม่รู้จักเยี่ยนจิ่วเฉา ถึงแม้จะได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับหลานชายแล้ว แต่ชั่วขณะนั้นเขาก็ไม่ทันได้คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาคือ ‘คุณชายแห่งจวนตะวันออก’ เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไป เขาจึงตกใจเล็กน้อย
คนสวนรู้สึกว่าตนควรถามว่าเขาเป็นใคร แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับเดินสวนไปอย่างไม่ยี่หระ
ท่าทางผึ่งผาย ราวกับเป็นสวนดอกไม้ของบ้านตนอย่างไรอย่างนั้น
คนสวนไม่กล้าถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงดอกไม้ออกมา ทำให้กระถางต้นไม้ล้ำค่าของจวนตะวันออกกระจัดกระจาย กระจัดกระจายยังไม่พอ ยังยื่นมือไปข้องแวะกับฝั่งของจวนตะวันตกด้วย เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าในนั้นมีการแบ่งฝั่ง เขาคิดว่าอยากเด็ดอะไรก็เด็ดได้ เด็ดเสร็จแล้ว ถ้าหากชอบก็เก็บไว้ หากไม่ชอบก็โยนทิ้งไป
หนึ่งในนั้นมีต้นที่อัปลักษณ์ที่สุดคือเห็ดหลินจือสีดำปี๋ ดูแล้วไม่น่ามองเหลือเกิน คุณชายเยี่ยนมองด้วยสายตารังเกียจ เผอิญว่าด้านข้างมีผ้าขี้ริ้ววางอยู่ เยี่ยนจิ่วเฉาจึงใช้ปลายนิ้วหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นมา แล้วโยนไปคลุมด้านบน
คุณชายทั้งสองแห่งจวนตะวันตกมาถึงหลังจากนั้นหนึ่งเค่อ
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาดึงจนเหนื่อยแล้ว เขานั่งพักอยู่บนชิงช้าในเรือนเพาะชำ
ชิงช้าอยู่ในส่วนในสุดของเรือนเพาะชำ และเป็นทิศที่หันด้านหลังให้ประตูใหญ่ ในตอนแรกทั้งสองไม่ได้มองว่าบนชิงช้ามีคนอยู่ พวกเขาพุ่งตรงไปยังเห็ดหลินจืออูซานซึ่งคอยประคบประหงมมาครึ่งค่อนปี ไหนเลยจะรู้ว่ามันกลับถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขี้ริ้วแฉะๆ ผืนหนึ่ง
เห็ดหลินจืออูซานนั้นต่างจากเห็ดหลินจือทั่วไป มันต้องอยู่ในที่แห้งและมีอากาศถ่ายเท เมื่อถูกผ้าเปียกผืนใหญ่คลุมไปเช่นนี้ ไม่ตายก็คงได้รับความเสียหายไม่น้อย
เป็นดังคาด เมื่อทั้งสองเปิดผ้าขี้ริ้วออก ก็เห็นว่าเห็ดหลินจือซึ่งเมื่อวานยังคงแข็งแรงดี บัดนี้ได้แต่แน่นิ่งไม่ไหวติงเสียแล้ว
ทั้งสองระเบิดโทสะในทันใด
“ใครทำ?!” คุณชายทางด้านซ้ายตวาด
สกุลเห้อเหลียนมีทั้งหมดสองครอบครัว เดิมทีมีสามครอบครัว แต่ครอบครัวที่สามเป็นบุตรของอนุภรรยา พวกเขาย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นแล้ว ไม่นับว่าเป็นสกุลเดียวกับสกุลเห้อเหลียน นายท่านใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน บุตรสาวแต่งงานออกไปแล้ว บุตรชายคนโตก็คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง เห้อเหลียนเป่ยหมิงและนางถานมีบุตรชายหนึ่งคน บุตรชายคนนั้นถูกไล่ออกจากบ้านไปตั้งแต่หลายปีก่อน
นายท่านใหญ่รองมีบุตรชายเพียงคนเดียว นั่นก็คือเห้อเหลียนฉีผู้ล่วงลับ เห้อเหลียนฉีมีบุตรหลายคน กับนางหลี่เพียงคนเดียวกก็มีบุตรชายสามคน บุตรชายคนโตประจำการอยู่ที่ค่ายทหารในซีเฉิง อีกสองคนก็คือเห้อเหลียนอวี่บุตรชายคนรองและเห้อเหลียนเฉิงบุตรชายคนเล็ก มีลำดับในจวนเป็นคุณชายรองและคุณชายสาม
ทว่าหลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามา ลำดับของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง คุณชายใหญ่จากอีกครอบครัวหนึ่งก็กลายเป็นคุณชายรอง พวกเขาจึงกลายเป็นคุณชายสามและคุณชายสี่
ผู้ที่ตวาดด้วยความโกรธเมื่อครู่ก็คือคุณชายสี่เห้อเหลียนเฉิง
นางหลี่ตามใจเห้อเหลียนเฉิงมาก อารมณ์ร้าย จู้จี้จุกจิกและบ้าอำนาจมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เขาก็คงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกเสียงเอะอะโวยวายของเขาปลุกจนตื่นนั้นคือจ้าวแห่งความจู้จี้จุกจิกและบ้าอำนาจ
เยี่ยนจิ่วเฉาเผยอตามองข้างหนึ่ง จากนั้นก็สองข้าง แล้วแค่นเสียง ‘หึ’ ในลำคอ
เมื่อได้ยินเสียง เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาหันไปมองที่ชิงช้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย จึงพบว่าบนชิงช้ามีคนนั่งอยู่
“ผู้ใดกัน?” เห้อเหลียนเฉิงถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สนใจ
เห้อเหลียนเฉิงและพี่ชายมองหน้ากัน เดินสาวเท้าเข้าไป อ้อมด้านหลังชิงช้าแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา
วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาสวมชุดยาวสีขาว มันทั้งดูไม่สะดุดตาและไร้สีสัน คอเสื้อติดกระดุมไปจนถึงเม็ดบนสุด ทำให้รู้สึกทรมานอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังนั่งพิงชิงช้า แล้วผล็อยหลับไปราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร
แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ แต่ก็ไม่อาจบดบังรูปร่างสูงสง่าของเขาได้
ใบหน้าของเขานั้นเป็นใบหน้าที่บุรุษในใต้หล้าต้องรู้สึกอิจฉาจนกระอักเลือด
ใบหน้าที่งดงามที่สุดที่สองพี่น้องเคยเห็นก็คือลุงใหญ่ของพวกเขา กระนั้นบุรุษซึ่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขาในตอนนี้ก็มิได้ด้อยไปกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเลย
บนโลกนี้ไหนเลยจะมีผู้ที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้?
สมกับที่เห้อเหลียนอวี่เป็นพี่ชาย เขาตั้งสติได้ก่อน ความตกใจปรากฏในสายตา เขาเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดมาอยู่ในอยู่ในเรือนเพาะชำของจวนสกุลเห้อเหลียนได้?”
“นั่นสิ! เจ้าเป็นใคร?” เห้อเหลียนเฉิงตั้งสติได้
จะโทษสองพี่น้องที่ตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงพวกเขาเกิดในสกุลเห้อเหลียน โตในสกุลเห้อเหลียน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นคนผู้อื่น และไม่ยักจำได้ว่าจวนทั้งสองฝั่งมีญาติซึ่งท่าทางไม่ธรรมดาเช่นนี้
พวกเขามิได้นึกถึงหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่าแต่อย่างไร
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เหลือบมองพวกเขาด้วยซ้ำ “ข้าเป็นใครเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
คนผู้นี้! โอหังเกินไปแล้ว!
เห้อเหลียนเฉิงหมดความอดทน “นี่มันบ้านข้า! เจ้าบุกรุกเข้ามาในเรือนเพาะชำ หากไม่เกี่ยวกับข้าแล้วจะเกี่ยวกับใคร?! ข้าขอถามเจ้า! เจ้าเป็นคนทำเห็ดหลินจือของข้ากับพี่รองตายใช่ไหม!”
เยี่ยนจิ่วเฉาหันไป มองไปยังพืชหน้าตาอัปลักษณ์ในกระถาง แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าหมายถึงต้นนั้น เป็นเห็ดหลินจือหรือ? น่าเกลียดเหลือเกิน”
เห้อเหลียนเฉิงโมโหจนลมแทบจับ!
“เจ้าๆๆๆ …เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคือเห็ดหลินจืออะไร? นั่นคือเห็ดหลินจืออูซานที่ร้อยปีจะขึ้นสักต้นนะ! เจ้าทำเห็ดหลินจือที่พวกข้าปลูกอย่างยากลำบากตาย ข้าจะสั่งสอนเจ้า!”
เห้อเหลียนเฉิงกล่าวพลางถกแขนเสื้อ กวักมือเรียกให้เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามา
อันที่จริงในตอนนั้นเห้อเหลียนอวี่พอจะเดาสถานะของเยี่ยนจิ่วเฉาออกแล้ว กระนั้นก็ไม่ได้หยุดน้องชายไว้ เขาคิดว่าคนบ้านนอกผู้นี้ไม่รู้โผล่มาจากไหน อยู่ๆ ก็ได้ติดปีกเป็นหงส์ เขาควรจะได้รู้เสียบ้างว่าในจวนแห่งนี้ ใครเป็นเจ้านาย
เพียงสำแดงอำนาจเล็กๆ น้อยๆ นับว่าสองพี่น้องไว้หน้าคนที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอย่างเขามากแล้ว
สกุลเห้อเหลียนเป็นทหาร สตรียังฝึกฝนวิทยายุทธ์ นับประสาอะไรกับคุณชายในสกุล พวกเขาล้วนแต่มีฝีมือเหนือกว่าคนวัยเดียวกัน ย่อมไม่สนลูกพี่ลูกน้องที่มาจากบ้านนอกอยู่แล้ว
น่าเสียดายที่พวกเขาประเมินความสามารถของเยี่ยนจิ่วเฉาต่ำไป
คุณชายเยี่ยนทำอะไรไม่ได้ แต่อาวุธลับนั้นเขามีไม่น้อย
สมญานามว่ากล่องอาวุธลับนับพันชนิดมิได้ได้มาอย่างไร้เหตุผล
กว่าที่บ่าวจะได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาและรุดมายังที่เกิดเหตุ คุณชายทั้งสองก็ถูกอาวุธลับของเยี่ยนจิ่วเฉาจัดการจนสะบักสะบอม
อวี๋หวั่นและนางหลี่รีบตามมา
เมื่อนางหลี่เห็นว่าบุตรชายทั้งสองตาเขียวจมูกช้ำ ก็ปวดใจจนอกแทบระเบิด
“ใครเป็นคนทำ!”
นางแผดเสียง
บ่าวต่างยืนก้มหน้า ตัวสั่นระริก
“เป็นเจ้า?” นางหลี่ทั้งตกใจทั้งโมโห
“ท่านแม่…” เห้อเหลียนเฉิงโผเข้าหาอ้อมอกของนางหลี่ เล่าเรื่องอย่างใส่สีตีไข่ เรื่องคร่าวๆ ก็คือเห็ดหลินจืออูซานที่สกุลเห้อเหลียนใช้เงินมากมายซื้อมา ได้ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทำลายจนยับเยิน พวกเขาถามเพียงประโยคเดียว เยี่ยนจิ่วเฉาก็ลงไม้ลงมือกับพวกเขาสองพี่น้องแล้ว
นางหลี่ไม่หลงเหลือความรู้สึกรักเห้อเหลียนฉีฉันสามีภรรยา แต่กลับรักบุตรชายทั้งสามสุดหัวใจ โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็ก นางปกป้องดังไข่ในหิน ปกติแล้วนางดูแลอย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม บัดนี้กลับถูกเด็กบ้านนอกนั่นมาทุบตี!
นางหลี่แทบหายใจไม่ออก นางยกฝ่ามือขึ้นมาหมายจะฟาดลงใส่เยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วจับมือของนางไว้ “ฮูหยินรอง มีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ!”
นางหลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าชื่อเยี่ยนหวั่น เป็นภรรยาของคุณชายใหญ่”
เด็กคนนั้นเป็นสายเลือดของสกุลเห้อเหลียน นางรู้แล้ว ทว่าสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าก็ยังกล้าจะจองหองกับนางเช่นกันหรือ?
นางหลี่ยกมือขึ้นมาฟาดลงไปยังอวี๋หวั่น
ฝ่ามือซ้ายของนางกำลังย้อมเล็บ นางจึงสวมปลอกเล็บปลายเรียวแหลมเพื่อป้องกันไม่ให้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ฝ่ามือนี้จะต้องฟาดลงบนใบหน้าของอวี๋หวั่นอย่างแน่นอน
เพียะ!
กลับเป็นอวี๋หวั่นที่ฟาดฝ่ามือลงใส่นาง
อวี๋หวั่นไม่คิดจะหาเรื่อง ใครผิดก็ว่าตามผิด ผลที่จะตามมาเธอก็ยอมรับ แต่ไม่ควรฟังความจากสองคนนั้นเพียงข้างเดียว อย่างน้อยก็ควรฟังความจากเยี่ยนจิ่วเฉาด้วย ลูกชายของนางหลี่ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ อวี๋หวั่นเข้าใจว่านางรู้สึกเจ็บแค้น นางฟาดลงมาครั้งแรก อวี๋หวั่นก็หยุดเอาไว้แล้ว แต่ครั้งที่สองนี่อย่างไรกัน? นางจงใจหาเรื่องหรือ?
พวกเขาเข้ามาในสกุลเห้อเหลียน มาทำข้อตกลงกับเห้อเหลียนเป่ยหมิง ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครขอร้องใคร ไม่มีใครเห็นแก่หน้าใคร!
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน? ”
นายท่านใหญ่รองแห่งจวนตะวันตกตกใจเพราะเหตุการณ์นี้ จึงรุดมา
“ท่านปู่…” เห้อเหลียนเฉิงทำท่างอแง โผเข้าหาปู่ของตน
อวี๋หวั่นประหลาดใจกับเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อย เดิมทีคิดเพียงว่าเขาเป็นเด็กติดแม่ ที่แท้ก็เป็นเด็กโข่งขี้แย ลูกชายอายุสองขวบของเธอยังไม่ขี้แยขนาดนี้เลย!
เห้อเหลียนฉีมีลูกมาก ทว่าลูกจากภรรยาเอกนั้นมีเพียงสามคน นายท่านรองรักหลานทั้งสามไม่น้อยว่านางหลี่ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ใจร้อนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เหมือนกับนางหลี่
เขาขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
เห้อเหลียนเฉิงจึงเล่าเรื่องที่ใส่สีตีไข่เมื่อครู่ให้ฟัง เรื่องต้นฉบับนั้นอวี๋หวั่นเองก็ไม่รู้ แต่เมื่ออวี๋หวั่นเห็นนางหลี่ร้องห่มร้องไห้อย่างกับจะเป็นจะตาย เธอจึงตระหนักได้ว่าคำว่าหน้าไม่อายแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
เห้อเหลียนเฉิงร้องไห้โยเย พูดว่า “ท่านปู่ ท่านต้องจัดการให้พวกข้านะ! พวกเขาไม่เพียงรังแกพวกข้า ยังทุบตีท่านแม่ด้วย!”
…………………………………….