หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 189.3 ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ใจ (3)
นายท่านรองเป็นน้องชายแท้ๆ ของนายท่านใหญ่ นายท่านใหญ่ล่วงลับไปเร็วนัก ฮูหยินผู้เฒ่าก็เสียสติ เขาจึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่คนสกุลเห้อเหลียนต่างนับถือและยกย่อง ทั้งยังเป็นท่านอาที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงให้ความเคารพเป็นอย่างมาก
สายตาเฉียบแหลมของนายท่านรองกวาดไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยอมรับว่าสายตาของเขาน่ากลัวและมีพลังเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาไม่เคยเผชิญโลก เธอเคยพบฮ่องเต้และเทพสงครามของทั้งสองดินแดนมาแล้ว เธอจะตกใจกลัวคนง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?
ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ปกป้องภรรยาด้วยการให้อวี๋หวั่นไปยืนด้านหลังอย่างที่คนอื่นทำด้วยซ้ำไป บางทีอาจเป็นเพราะในความคิดของเขา ลุงเฒ่าคนนี้ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว
นายท่านรองหนังตากระตุกเล็กน้อย
คู่สามีภรรยาจากชนบท ไม่สะทกสะท้านกับความน่าเกรงขามของเขาเลยหรือ?
“ท่านปู่——”
“ท่านพ่อ——”
เห้อเหลียนเฉิงและนางหลี่ร้องห่มร้องไห้ ส่วนเห้อเหลียนอวี่แม้จะไม่ได้ร้องไห้งอแง แต่ใบหน้าเศร้าสร้อยกลับบอกความในใจของเขาได้
หลานของเขาถูกคู่สามีภรรยาที่มาใหม่รังแกจนสะบักสะบอม ในฐานะผู้เป็นที่เคารพนับถือของครอบครัว จะไม่ออกหน้าทวงคืนความยุติธรรมสักหน่อยก็เห็นจะไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่นับเรื่องที่เด็กๆ ทะเลาะกันแล้ว อวี๋หวั่นก็ยังฝากฝ่ามือเอาไว้บนใบหน้าของนางหลี่ด้วย
มีที่ไหนกัน เด็กลงไม้ลงมือกับผู้ใหญ่? ใต้หล้าไม่มีหลักการเช่นนี้!
ทว่านายท่านรองยังไม่ทันได้เอ่ยปากตำหนิ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงแล้ว
“ไอ้หยา!”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสองพี่น้องซึ่งถูกเล่นงานจนหน้าบวมเป็นหัวหมู “พวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าถึงเป็นอย่างนี้? ใครทุบตีพวกเจ้า?”
ปกติแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูหลานๆ เหล่านี้มาก เมื่อสองพี่น้องเห็นว่านางถามเช่นนี้ จึงรีบเข้าไปฟ้อง “เป็นเขาขอรับ!”
“เฉาเอ๋อร์?” ฮูหยินผู้เฒ่าดันสาวใช้ซึ่งกำลังพยุงนางออก แล้วเดินไปหาเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างมั่นคง ปราศจากท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง นางคว้ามือของเยี่ยนจิ่วเฉา “ไอ้หยา ทำไมเจ้ายังขยับมืออีกเล่า? เจ็บหรือไม่? ฟู่ๆๆๆ…”
นางเป่าให้เยี่ยนจิ่วเฉา
เห้อเหลียนอวี่อ้าปากค้าง “…”
เห้อเหลียนเฉิงตะลึงงัน “…”
หลังจากนี้ก็เป็นศึกของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าชี้ไปยังนายท่านรองและคนอื่นๆ นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล “พี่ใหญ่เจ้าจากไปเร็วนัก! เหลือเพียงแต่ลูกๆ และแม่หม้ายอย่างข้า…พวกข้ารังแกง่ายนักใช่ไหม? กว่าข้าจะพาหลานกลับบ้านมาได้นั้นยากแสนยาก เข้าบ้านมาวันแรกก็ถูกพวกเจ้ารังแกเสียแล้ว!”
เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิง “!!”
ใครรังแกใครกันแน่?!
“พวกเขาเพียงแค่ประจบประแจงข้าใช่ไหม? หนิวตั้น…” ฮูหยินผู้เฒ่าทรุดลงกับพื้น “ทำไมเจ้าไม่พาข้าไปด้วยให้รู้แล้วรู้รอด…ทิ้งข้าไว้ในจวนให้ขวางหูขวางตา…แม้แต่หลานยังถูกรังแก…พวกเขารังแกหลานข้า…ก็เหมือนกับรังแกข้า…ข้าอายุมากแล้ว…ถูกพวกเขารังเกียจ…”
อวี๋หวั่นรู้สึกงงเพราะคำว่าหนิวตั้น หากเธอเดาไม่ผิด บิดาของเห้อเหลียนเป่ยหมิง…คงจะมีชื่อเล่นว่าหนิวตั้นสินะ…
เมื่อได้รู้ชื่อเล่นอันแสนไพเราะเช่นนี้ เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัวได้พัฒนาไปอีกขั้น!
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้แสดงละครเสแสร้งแต่อย่างใด นางจริงจัง นางรู้สึกว่าหลานของนางถูกรังแก อันที่จริงสองพี่น้องเห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงทำเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อประกาศศักดาให้เยี่ยนจิ่วเฉารู้เท่านั้น
นางหลี่ไม่อาจทนดูต่อไปได้ จึงเตือนฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านดูสิเจ้าคะ อวี่เอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์บาดเจ็บ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดลั่น “ข้าไม่สนๆๆ! พวกเจ้ารังแกหลานชายคนเก่งของข้า!”
นางบ้าไปแล้วจริงๆ!
นางสนใจแต่เรื่องนี้เนี่ยนะ!
นางไม่เห็นด้วยซ้ำไป!
นางหลี่อยากจะกระอักเลือด
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นภรรยาของนายท่านใหญ่ อายุมากแล้ว สติเลอะเลือน นางโวยวายก็ย่อมมีเหตุผลอธิบาย แต่พวกเขาทำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็จะกลายเป็นพวกเขารังแกคนชราที่อ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้เห้อเหลียนเป่ยหมิงเสียสละให้แผ่นดินมามาก พวกเขาไม่อาจทำให้มารดาบังเกิดเกล้าของเขาต้องชอกช้ำ อย่างน้อยต่อหน้าย่อมไม่อาจทำได้
นายท่านรองสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธซึ่งทำให้เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ เขาบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “พี่สะใภ้พูดถึงอะไร? ข้าจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? เป็นเพราะอวี่เอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์ไม่รู้ความเองไม่ใช่หรือ? ข้ากำลังคิดว่าจะขอโทษเฉาเอ๋อร์พอดี”
“ท่านปู่!” เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงร้องขึ้นพร้อมกัน พวกเขาแทบไม่เชื่อหูตนเอง
“เงียบ!” นายท่านรองตวาดให้ทั้งสองหยุด “ยังไม่ขอโทษลูกพี่ลูกน้องพวกเจ้าอีก? หรือจะให้ข้าใช้กฎของตระกูล?”
เมื่อได้ยินว่ากฎตระกูล ทั้งสองถึงกับกระโดดโหยง
ทั้งสองจึงกล่าวขอโทษอย่างไม่เต็มใจ
โตมาถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเสียหน้าถึงเพียงนี้ สีหน้าของทั้งสองย่ำแย่เหลือเกิน
อวี๋หวั่นพยุงฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้น “ท่านย่า บนพื้นนั้นเย็นเกินไป”
นางสติไม่ค่อยดีนัก รักและเอ็นดูเยี่ยนจิ่วเฉาสุดหัวใจ อวี๋หวั่นรู้สึกสงสารนางอยู่บ้าง
นายท่านรองยกมือขึ้นประสาน “พี่สะใภ้ใหญ่ หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอพาพวกเขากลับเรือน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างได้คืบจะเอาศอก “เจ้าสั่งสอนพวกเขาให้ดี! โตป่านนี้แล้ว ทำอย่างอื่นไม่ค่อยเป็น ได้แต่รังแกลูกพี่ลูกน้อง นี่พี่ใหญ่เจ้าไม่อยู่! หากเขายังอยู่ ต้องจับพวกเขาไปหอบรรพชนเป็นแน่!”
นายท่านรองหนังตาประตุก เขากล่าวเสียงค่อยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง พวกเขา…ทำมากเกินไป ข้าจะให้พวกเขาไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หอบรรพชน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเชิดหน้า “ก็ดี! หลานชาย! ไปกันเถอะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าพาเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นออกไปโดยไม่หันหลังกลับ
บ่าวล้วนแต่ไม่กล้าอยู่ดูเหตุการณ์ต่อ จึงแยกย้ายกันกลับไป
ไม่มีผู้ใดคิดว่าเหตุวิวาทในครั้งนี้จะมีจุดจบเช่นนี้ เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงอายุยังน้อย ทว่าเอาแต่ใจจนเป็นนิสัย บ่าวแม้จะเป็นทุกข์ใจแต่ก็ยากที่จะพูดออกไป น้อยคนนักที่กล้าเผชิญหน้ากับเห้อเหลียนฉี นายท่านรอง และคนอื่นๆ ในวันนี้มีคนทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ บ่าวจำนวนไม่น้อยก็พลันแอบรู้สึกดีใจไปตามๆ กัน
พวกนางหลี่ไม่รู้เรื่องนี้ นางรู้เพียงว่าลูกๆ ของนางไม่ได้รับความยุติธรรม “ท่านพ่อ เรื่องในวันนี้เจ้าเด็กคนนั้นเป็นฝ่ายผิด เหตุใดท่านถึงลงโทษอวี่เอ๋อร์กับเฉิงเอ๋อร์เล่าเจ้าคะ? พวกเขาต่างหากที่เป็นหลานของท่าน!”
สิ่งที่นางหลี่ไม่ได้พูดออกไปก็คือ ฮูหยินผู้เฒ่ายังรู้จักปกป้องหลานชายของนาง แต่ทำไมท่านทำไม่ได้?
นายท่านรองมีหรือจะไม่รู้ว่านางไม่พอใจเรื่องอะไร เขาถลึงตาใส่นาง พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ใช่ต้องโทษเจ้าหรอกรึ? เด็กธรรมดาสองคน เจ้ากลับตามใจตนติดเป็นนิสัย เจ้าลองถามดู ดูซิว่าพวกเขาจะกล้าตอบความจริงหรือไม่ว่าใครลงมือก่อน?!”
นางหลี่หันไปมองลูกชายทั้งสอง
เดิมทีพวกเขาคิดจะแก้ตัว แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบของท่านปู่ ก็รู้สึกกลัวจนคอหด ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
นายท่านรองตะคอกว่า “เห็ดหลินคือแค่กระถางเดียว เขาทำมันตายก็ช่างมันเถอะ คนบ้านนอกไม่รู้ค่าของสิ่งของ พวกเจ้าเป็นน้องก็ปล่อยเขาไป หากแพร่งพรายออกไปคนจะหัวเราะเยาะเอาได้ บัดนี้เป็นอย่างไร พวกเจ้าจะแก้ตัวก็ไร้ข้อแก้ตัวแล้ว!”
เรื่องนี้หากจะบอกว่าไกล่เกลี่ยกันด้วยดีแล้วก็ย่อมได้ ถ้าทั้งสองไม่เปิดฉากวิวาทกับเห้อเหลียนเฉา เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าเห้อเหลียนเฉามีตาหามีแววไม่ ไม่รู้จักของดีมีราคา สองพี่น้องก็จะได้รับคำชมว่าใจดีมีเมตตาไปโดยปริยาย เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเรื่องนี้ ก็ย่อมต้องโมโหและเรียกหลานชายของตนไปสั่งสอน เพื่อไม่ให้เขาทำเรื่องงามหน้าแก่สกุลเห้อเหลียน
เมื่อเป็นเช่นนี้ แสนยานุภาพที่พวกเขาอยากจะแสดงให้เห็นก็จะเป็นประจักษ์ ชื่อของพวกเขาก็จะได้รับการชื่นชม นับว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ทว่าพวกเขากลับไปท้าทาย และเปิดฉากกับหลานชายซึ่งเพิ่งพบกับฮูหยินผู้เฒ่า
ทุกคนตาบอดไปแล้วหรืออย่างไร? ดูไม่ออกหรือว่านี่เป็นการประกาศศักดาต่อลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งมาจากบ้านนอก?
สองพี่น้องไม่กล้าต่อปากต่อคำกับนายท่านรอง
“เย็นนี้พวกเจ้าไปที่หอบรรพชนด้วย!” นายท่านรองกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
นางหลี่ปวดร้าวใจเจียนตาย “ลูกแม่…”
เห้อเหลียนเฉิงพูดกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ท่านแม่ นั่นไม่ใช่เห็ดหลินจือทั่วไป แต่เป็นเห็ดหลินจือที่จะส่งให้องค์หญิงน้อย…ข้ากับท่านพี่จ่ายเงินไปมาก กว่าจะได้มา”
นางหลี่ได้ฟังคำพูดของลูกชาย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดเขาถึงโมโหรุนแรงเพียงนั้น นางหลี่เข้าข้างลูกชาย ต่อให้เห็ดกระถางนั้นไม่ใช่เห็ดหลินจือที่จะส่งให้องค์หญิงน้อย นางก็ไม่ยอมให้ลูกต้องชอกช้ำเป็นอันขาด
นางหลี่ถอนหายใจ “พูดมาตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด? ตายไปแล้วก็แล้วไป อีกอย่าง…ลุงใหญ่ของพวกเจ้าไม่ได้บอกไว้หรือว่าอย่าไปมาหาสู่กับองค์หญิงน้อย? อย่าให้ลุงใหญ่ของพวกเจ้ารู้ก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวพวกเจ้าจะโดนดุอีก”
สกุลเห้อเหลียนซื่อสัตย์ทุกรุ่น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเข้าร่วมการชิงบัลลังก์ ความภักดีของพวกเขามีแต่เพียงองค์ประมุข ประมุขหญิงแม้จะเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์ แต่เมื่อใดที่นางยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ สกุลเห้อเหลียนภายใต้การนำของเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ยังไม่ยอมก้มหัวให้นาง
“หึ ท่านลุงใหญ่ลำเอียง!” เห้อเหลียนเฉิงบ่นด้วยความไม่พอใจ
นางหลี่ปวดหัว “เอาเถอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว แม่จะช่วยพวกเจ้าเก็บของ ประเดี๋ยวไปหอบรรพชนช้า ยากที่จะอธิบายกับท่านปู่ของพวกเจ้าอีก”
เห้อเหลียนเฉิงสะบัดแขนเสื้อด้วยความดื้อรั้น “ท่านแม่ ท่านไปบอกท่านปู่ให้หน่อยสิขอรับว่าที่มืดๆ อย่างในหอบรรพชนน่ะมีผี”
“เหลวไหล! หอบรรพชนเป็นสถานที่เก็บป้ายวิญญาณของสกุลเห้อเหลียน หากเจอผีจริงๆ ก็คงเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของคนสกุลเห้อเหลียนนั่นแหละ!” ความนับถือที่นางมีต่อบรรพบุรุษสกุลเห้อเหลียนนั้นไร้ข้อกังขา
เห้อเหลียนเฉิงสีหน้าเศร้าสร้อย ขอบตาแดงก่ำ
นางหลี่ปลอบว่า “แม่จะให้คนมาคอยดูพวกเจ้า พวกเจ้าง่วง กะ…ก็นอนสักพัก พวกเจ้าเป็นหลานของภรรยาเอกสกุลเห้อเหลียน บรรพบุรุษไม่มีทางทำอะไรพวกเจ้า”
นางหลี่เป็นดังยันต์คุ้มครองทั้งสอง หากนางยังจนปัญญา ดูแล้วคงไร้หนทางต่อรอง
ตกกลางคืน ทั้งสองเดินไปยังหอบรรพชนอย่างซึมเซา
เห้อเหลียนเฉิงนั่งคุกเข่าอยู่บนเสื่อหยาบกระด้างด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “คนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าทำลายเห็ดหลินจือขององค์หญิงน้อย แล้วจะได้เห็นดีกัน!”
……………………………