หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 2.1 ฉกเด็กจ้ำม่ำคืน (1)
ค่ำคืนราตรีเย็นเยียบดุจวาริน
ณ คฤหาสน์สกุลสวี่ สวี่เฉิงเซวียนเอนกายนอนบนเก้าอี้หวายที่ปูด้วยฟูกและหนังเสือด้วยความเบื่อหน่ายหลังจากถูกองครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้แขนและขาอย่างละข้างใช้การไม่ได้ นับเป็นการเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการพักรักษาบาดแผลที่เปล่าประโยชน์
เขาเป็นบุตรชายของสวี่ส้าว มีพี่ชายอีกสองคน แต่น่าเศร้าที่พวกเขาเกิดจากอนุภรรยา จึงมีสถานะต่ำต้อยกว่า หลังจากทราบข่าวว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส พี่ชายทั้งสองก็รีบวิ่งไปหาผู้เป็นบิดาราวกับตัวตลก
เพราะปี้หนูหายไป หากเขาอยู่ที่นั่น ต้องสั่งสอนพวกมันให้เข็ดหลาบเป็นแน่!
“นายน้อยสาม! นายน้อยสาม!” คนรับใช้หนุ่มวิ่งเหยาะๆ มาอย่างตื่นตระหนก
“มีอันใดรึ? พี่ชายสองคนของข้าก่อเรื่องอีกแล้วรึ?” หลังจากสวี่เฉิงเซวียนได้รับบาดเจ็บก็กลายเป็นคนที่โมโหร้าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
คนรับใช้หนุ่มกล่าวอย่างละอาย “หาใช่นายน้อยใหญ่กับนายน้อยสอง ทว่าเป็น…”
“เป็นอันใด!” สวี่เฉิงเซวียนเริ่มหมดความอดทน
คนรับใช้หนุ่มมองเขาอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะรายงาน พลางถอยไปด้านข้างอย่างเศร้าสลด
“เจ้าเป็นใบ้หรือหูหนวกไปแล้วรึ? มีสิ่งใดจะเอ่ยก็เอ่ย” เมื่อสวี่เฉิงเซวียนหันหน้ามาหมายจะก่นด่า กลับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินก้าวเท้ายาวเข้ามาหา “ท่านพี่?”
ท่าทีของเยี่ยนไหวจิ่งเย็นชา รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว
สวี่เฉิงเซวียนไม่เคยเห็นลูกพี่ลูกน้องเขามีท่าทีน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน จึงตกตะลึงจนไม่อาจเอ่ยสิ่งใด
เยี่ยนไหวจิ่งใช้สายตากวาดมอง “พวกเจ้าถอยไป!”
บรรดาคนรับใช้รีบถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ
“ใยเขายังไม่ถอย?” สวี่เฉิงเซวียนพึมพำเบาๆ พร้อมกับเหลือบมองจวินฉางอันที่ยืนอยู่ข้างๆ
จวินฉางอันไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา
เยี่ยนไหวจิ่งเดินมาที่เก้าอี้หวาย มองไปที่สวี่เฉิงเซวียนที่ไม่อาจลุกขึ้นมาคำนับได้ “ถูกตีจนพิการเช่นนี้ ยังกล้าเล่นไม่ซื่ออีกรึ! ใยเจ้าถึงทำเช่นนี้?”
“ทำเช่นนี้อันใด? ท่านพี่ไม่ได้มาเยี่ยมอาการข้าหรอกรึ? ใยต้องเหมือนพ่อข้า ที่เห็นข้าเมื่อใดเป็นต้องดุเล่า?” สวี่เฉิงเซวียนกล่าวด้วยความเสียใจ
สวี่เฉิงเซวียนเป็นบุตรชายจากภรรยาเอก รูปร่างหน้าตาดี และเป็นที่รักของสวี่เสียนเฟย เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยนไหวจิ่งมากกว่าคนอื่นๆ ทว่ากลับไม่มีมารยาทของชนชั้นสูงสักเท่าไร
ในอดีตเมื่อเห็นน้องชายเป็นเช่นนี้ เยี่ยนไหวจิ่งก็มักเป็นพี่ใหญ่ตามใจเขา ทว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น เขาไม่อาจปล่อยให้สวี่เฉิงเซวียนทำตัวราวกับเด็กที่ไร้ความเมตตาได้อีกต่อไป
“เจ้ายังไม่ยอมรับรึ? ได้ เช่นนั้นเจ้าดูนี่ สิ่งนี้คืออะไร!” เยี่ยนไหวจิ่งโยนถังเหล็กขนาดเล็กที่เขาถือมาตลอดทางลงบนเสื้อผ้าของสวี่เฉิงเซวียน
เมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร สีหน้าของสวี่เฉิงเซวียนก็เปลี่ยนไปทันที
“อย่างไร? ไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยแล้วหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งถามอย่างเย็นชา
สวี่เฉิงเซวียนกะพริบตา “สิ่งนี้คืออะไร? ท่านพี่เอามาจากที่ใดหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งมองความดื้อรั้นของเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ฉางอัน!”
จวินฉางอันเดินออกจากประตูจันทราอย่างไม่เร่งรีบ จับผู้ติดตามของสวี่เฉิงเซวียนที่อยู่ในหอเทียนเซียงบนถนนฉางอันมา จวินฉางอันผลักพวกเขาไปอยู่ต่อหน้าสวี่เฉิงเซวียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ใบหน้าของเหล่าผู้ติดตามเละเทะปูดบวม พวกเขาเงยหน้ามองสวี่เฉิงเซวียนด้วยความตกใจ “นาย…นายน้อย…”
สวี่เฉิงเซวียนมองพวกเขาราวกับแผนการไม่สำเร็จแล้วยังล้มเหลว ยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก? เกรงว่าเจ้าคนพวกนี้จะถูกจวินฉางอันคั้นจนบอกทุกอย่างที่ไม่ควรออกไป!
“ไสหัวไป!”
สวี่เฉิงเซวียนตะคอก
ผู้ติดตามต่างกลิ้งกับพื้นแล้ววิ่งหนีไป
สวี่เฉิงเซวียนสะบัดหน้าอย่างมีโทสะ
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยอย่างเย็นชา “ตกลงแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ด้วยเหตุผลใด? แม่นางอวี๋ทำให้เจ้าขุ่นเคืองรึ?”
“แม่นางอวี๋?” สวี่เฉิงเซวียนหันหน้ามาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ใยต้องเรียกอย่างสนิทสนมเช่นนี้? ท่านพี่รู้จักนางรึ?”
เยี่ยนไหวจิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ข้ากำลังถามเจ้าอยู่”
สวี่เฉิงเซวียนตะโกนอย่างเย็นชา “จะเพราะเหตุใดเล่า? นางหักแขนหักขาข้า! ข้าก็แค่ให้บทเรียนนางเท่านั้น!”
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว “แขนขาเจ้าถูกเยี่ยนจิ่วเฉาหัก เหตุใดจึงไปลงกับนาง?”
สวี่เฉิงเซวียนประชดประชัน “ข้าเพิ่งทราบเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่านางเป็นสตรีของเยี่ยนจิ่วเฉา!”
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด!” ดวงตาของเยี่ยนไหวจิ่งกลับเย็นชาลงทันที
สวี่เฉิงเซวียนกำลังโกรธจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของพี่ชาย “ข้าหาได้พูดเรื่องไร้สาระ! นางไปที่หอเทียนเซียงเมื่อวันก่อน และใส่ร้ายพ่อครัวหยางว่าขโมยความคิดลุงของนาง วันถัดมาเยี่ยนจิ่วเฉาก็มาทำลายชื่อเสียงหอเทียนเซียงของข้า ท่านพี่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ? คราแรกข้าก็ไม่ได้คิดอันใดเกี่ยวกับนาง วันนั้นองครักษ์ของข้าเข้าวังเพื่อนำขนมไปให้ท่านอา ทว่าเมื่อเห็นขันทีวังไปรับเยี่ยนจิ่วเฉา เขาก็คิดขึ้นได้จึงตามไปดู ท่านพี่เดาสิว่าเป็นอย่างไร? เหยียนจิ่วเฉาย้ายไปที่หมู่บ้านของสตรีผู้นั้น หากท่านพี่ยังบอกข้าว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าก็จะยอมรับการสูญเสียของข้า!”
จู่ๆ เยี่ยนไหวจิ่งก็นึกถึงคำว่า ‘เยี่ยน’ ที่อวี๋หวั่นเรียกก่อนจะหลับไป นางไม่รู้จักเขา คนที่นางเรียกก็ไม่ใช่เขา แต่เป็น…เยี่ยนจิ่วเฉา?
นางคิดว่าเขาเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา? หรือหวังว่าคนที่มาช่วยจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา?
แต่ไม่ว่าแบบใด…ก็ทำให้ทราบว่านางรู้จักเยี่ยนจิ่วเฉาจริงๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาทำลายชื่อเสียงหอเทียนเซียงและเอาชนะสวี่เฉิงเซวียนเพราะนาง? สั่งสอนเด็กนิสัยเสียจากสกุลยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงเพื่อไม่ให้นางต้องเดือดร้อน
ความคิดนี้ ความคิดนี้!
“ท่านพี่ เชื่อข้าเถิด สิ่งที่ข้ากล่าวไปเป็นความจริง ข้าโกรธมากจนแทบคลั่ง ข้ารู้ว่านางมาแข่งขันจึงส่งคนไปสั่งสอนนางเสียหน่อย” สวี่เฉิงเซวียนที่ใช้ไม้อ่อนไม่เป็นดึงแขนเสื้อของเยี่ยนไหวจิ่งด้วยท่าทางน่าสงสาร
หากไม่ใช่เพราะสิ่งที่พบในห้องเก็บน้ำแข็ง เยี่ยนไหวจิ่งอาจจะปล่อยให้เขาโกหก “สั่งสอนเสียหน่อยหรือ? เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจหนานเจียง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าผู้ใดจะสั่งสอนผู้ใดกันแน่!”
“เผ่าปีศาจที่ใดกัน?” สวี่เฉิงเซวียนสับสน
ท่าทีของเขาดูเหมือนคนโกหก เยี่ยนไหวจิ่งชี้ไปที่ถังเหล็กบนร่างกายของเขา “สิ่งนี้ ผู้ใดให้เจ้ามา?”
สวี่เฉิงเซวียนถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยและตอบว่า “ปี้หนู แต่เขาจากไปและไม่กลับมาอีก ท่านพี่ หากท่านสะดวก สั่งให้จวินฉางอันช่วยข้าตามหาเขาที เมื่อไม่มีเขาแล้ว ความกังวลของข้าก็มากขึ้น”
“เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร?” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
สวี่เฉิงเซวียนเล่าถึงตอนที่ได้รู้จักกับปี้หนูอย่างละเอียด เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของปี้หนู จึงไม่คิดว่ามีสิ่งใดต้องปกปิด
เยี่ยนไหวจิ่งจ้องมองเขาครู่หนึ่ง “เขาให้สิ่งใดกับเจ้ามาอีก เอาออกมาให้หมด”
สวี่เฉิงเซวียนตะโกน “อันใดกัน? เขาก็ไม่อยู่แล้ว ท่านยังไม่อนุญาตให้ข้าเก็บของต่างหน้าเขาไว้อีกหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งถามอย่างไม่แยแส “เช่นนั้นเจ้ายังอยากตามหาเขาอยู่หรือไม่?”
เทียบกับสิ่งของที่ปี้หนูทิ้งไว้ สวี่เฉิงเซวียนต้องการคนที่มีชีวิตมากกว่า เขากัดฟันและมอบ ‘ของที่ระลึก’ ของปี้หนูให้เยี่ยนไหวจิ่งด้วยความเจ็บปวด
“คราหน้าอย่าได้พาคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกลับมา และอย่าทำเรื่องลับๆ อีก หากข้ารู้ว่าเจ้าทำผิดกฎอีกครั้ง ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่สวี่โจว!”
หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งตักเตือนสวี่เฉิงเซวียน เขาก็จากไปพร้อมกับจวินฉางอัน
สวี่เฉิงเซวียนมองด้านหลังของจวินฉางอัน ดวงตาแฝงร่องรอยความอิจฉาริษยา
…
นายท่านฉินส่งพวกอวี๋หวั่นกลับไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา
นายท่านฉินใช้เงินเปิดปากคนใน จนมั่นใจว่าการแข่งขันเป็นไปอย่างยุติธรรม อาหารทุกจานถูกเสนอขึ้นไป โดยไม่บอกพ่อครัวรุ่นใหญ่ล่วงหน้าว่าผู้ใดเป็นคนทำ ดังนั้นคนสกุลอวี๋จึงหาได้เป็นเช่นเหยียนหรูอวี้สงสัยว่าสกุลอวี๋ผ่านเข้ารอบเพราะองค์ชายรอง
แน่นอนว่าพ่อครัวรุ่นใหญ่ค่อนข้างพอใจกับฝีมือของพ่อครัวที่เหลืออีกสองคน โดยเฉพาะแม่นางตู้ ทักษะการทำอาหารของนางพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางหาได้ไร้ฝีมือเหมือนในข่าวลือเหล่านั้น
“วันพรุ่งยังมีศึกหนัก” นายท่านฉินถอนใจ
การแข่งขันใหญ่วันแรกเป็นเพียงการเรียกน้ำย่อย ของจริงจะได้เห็นกันในวันพรุ่งนี้ ไม่อาจชะล่าใจ
ขณะที่รถม้าขับไปทางเข้าหมู่บ้าน ลุงใหญ่ก็เอ่ยขึ้น “ส่งตรงนี้ก็พอ เย็นมากแล้ว ข้าขอไม่เชิญนายท่านฉินดื่มชาแล้วกัน โปรดเดินทางกลับปลอดภัย”
นายท่านฉินกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม
…………………………………