หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 20.2 ครอบครัวพร้อมหน้า (2)
“พยุงอะไร ข้าจะดื่มต่อ!” ลุงใหญ่พูดเสียงอู้อี้ ปีนขึ้นมาบนโต๊ะ แล้วก็ผล็อยหลับไปอีกทั้งอย่างนั้น
ป้าสะใภ้ใหญ่ส่งสายตาให้บุตรชายทั้งสอง อวี๋เฟิงนั่งยอง อวี๋ซงพยุงท่านพ่อมาบนหลังของพี่ชาย แล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกัน
ป้าสะใภ้ใหญ่อยู่ช่วยอวี๋หวั่นเก็บกวาดถ้วยชามห้องกินอาหาร จากนั้นจึงอุ้มบุตรสาวซึ่งกำลังหลับปุ๋ยกลับบ้านไป
นางเจียงพยุงอวี๋เซ่าชิงไปถึงเตียง ในตอนที่นางกำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง อวี๋เซ่าชิงซึ่งเมาไม่ได้สติก็ดึงนางเอาไว้ จนนางล้มลงไปนอนข้างกายของเขา
อวี๋เซ่าชิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขามิได้มีความเมามายหลงเหลืออยู่ เขามองไปยังภรรยาซึ่งเขาถวิลหาทุกค่ำคืน ฝ่ามือร้อนจับลงบนบั้นเอวนุ่ม ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าว่า “อาซู ข้าคิดถึงเจ้า”
นางเจียงขวยเขิน นิ้วเรียวขยับเป็นวงกลมบนอกของเขา
อวี๋เซ่าชิงถูกกระตุ้นจนสติเตลิดไปไกล ในสมองคิดเพียงว่าปรารถนานางเหลือเกิน ทว่าเขากลับต้องยับยั้งตนเอง ไม่ควรรีบร้อนเกินไป ไม่พบหน้ากันมาเสียนาน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเอ่ยคำหวานกับอาซูสักหน่อย ไม่เช่นนั้นหากมาถึงแล้วลงมือทำเรื่องพรรค์นั้นทันที ก็คงจะเป็นบุรุษเส็งเคร็งไปหน่อยกระมัง?
“อาซู…” ยังไม่ทันพูดจบ นางเจียงก็ถอดเสื้อผ้าออกอย่างฉับไว!
อวี๋เซ่าชิงซึ่งถูกถอดเสื้อผ้าออกจนหมด “…”
อวี๋เซ่าชิงซึ่งถูกทำอย่างนั้นอย่างนี้ “…”
……
ในหมู่บ้าน แม้แต่วัวสักตัวก็พบเห็นได้ยากยิ่ง หน้าบ้านของอวี๋หวั่นกลับมีม้าศึกสูงสง่าหนึ่งตัว
“เป็นม้าศึก!” เถี่ยตั้นน้อยตบอก โอ้อวดกับเพื่อนๆ ว่า “เมื่อวานข้าได้ขี่มันด้วยแหละ! วิ่งเร็วมาก!”
“ว้าว!”
นัยน์ตาของเด็กๆ ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา
ทุกคนในหมู่บ้านที่ถูกจับเข้ากองทัพไปล้วนส่งข่าวคราวกลับมา มีเพียงบิดาของเถี่ยตั้นน้อยที่ไม่เคยส่งข่าวคราวกลับบ้าน ดังนั้นทุกคนในหมู่บ้านต่างคิดว่าเถี่ยตั้นน้อยไม่มีพ่อ แต่บัดนี้พวกเขาล้วนรู้สึกอิจฉาเถี่ยตั้นน้อยจับใจ
“เถี่ยตั้น พ่อเจ้าสุดยอดมาก!” สือโถวพูด
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เถี่ยตั้นน้อยยืดอก
“เจ้าให้พวกเราขี่ม้าของพ่อเจ้าได้หรือไม่?” โก่ววาจื่อซึ่งอายุน้อยกว่าเถี่ยตั้นหนึ่งปีเอ่ยขึ้น
“ทำ…ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก!” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล
“ขี้งก!” โก่ววาจื่อเบ้ปาก
มิตรภาพของเด็กก็เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เรียกขานว่าพี่น้อง ผ่านไปอีกชั่วลัดนิ้วมือกลับทะเลาะกันเสียอย่างนั้น เด็กๆ ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ในตอนนั้นเอง อู๋ซันก็หาหมู่บ้านเหลียนฮวาพบจนได้
เมื่อวานอวี๋เซ่าชิงรีบร้อนออกมา มิทันได้นำสัมภาระมาด้วย อู๋ซันจึงนำกล่องของมาส่งให้อวี๋เฒ่า ด้านในบรรจุของขวัญซึ่งอวี๋เซ่าชิงซื้อมาให้ครอบครัว เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองมีบุตรชาย จึงไม่มีของขวัญของเถี่ยตั้นน้อย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เถี่ยตั้นน้อยโกรธจัด!
เถี่ยตั้นน้อยกระทืบเท้า “ไม่อยากให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพ่อแล้วใช่ไหม?”
อวี๋หวั่นบีบหูน้อยๆ ของเถี่ยตั้น “ของเจินเจินก็ไม่มีนะ เจ้าเกิดมาช้าไปหน่อย ท่านพ่อไม่รู้”
เถี่ยตั้นน้อยปวดใจจนร้องไห้โฮ “ทำไมต้องให้ข้าเกิดมาช้าด้วยเล่า…”
อวี๋เซ่าชิงไม่รู้จะทำอย่างไร “พ่อจะเข้าเมืองหลวงไปซื้อให้เจ้า ซื้อให้สองชิ้นเลย!”
…….
อู๋ซันไม่คิดว่าอวี๋เซ่าชิงจากบ้านไปหกปี เมื่อกลับมาจะมีลูกชายเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เจ้าเด็กน้อยหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับอวี๋เฒ่า เมื่อเห็นอวี๋เซ่าชิงคนขึงขังต้องมาเค้นสมองปลอบเด็กเช่นนี้ อู๋ซันคิดแล้วก็อยากจะขำ
อวี๋เฒ่านะอวี๋เฒ่า เจ้ายังมีวันนี้!
อู๋ซันเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันในสนามรบของอวี๋เซ่าชิง อวี๋หวั่นก็ต้องต้อนรับเขาเป็นอย่างดี นางเจียงออกมากล่าวทักทาย เพียงแต่ว่านางเจียงซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะ วันนี้กลับดูมีเรี่ยวมีแรง ใบหน้าอิ่มเอิบเป็นพิเศษ
“น้องอู๋” นางเจียงเอ่ยทักทายอย่างอ่อนโยน
อู๋ซันตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง พี่สะใภ้ของเขางดงามประหนึ่งเทพเซียนก็ไม่ปาน มิน่าเล่าอวี๋เฒ่าไม่แม้แต่จะชายตามององค์หญิงซยงหนู ยอดหญิงงามของเฉ่าหยวนสิบคนมารวมกัน ยังงามไม่เท่าเสี้ยวหนึ่งของพี่สะใภ้เลยด้วยซ้ำ
ที่บ้านมีสาวงามดุจบุปผาชาติ จะมีใครเข้าตาได้อีกเล่า?
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าพี่สะใภ้ได้แต่งงานกับคนดีอย่างอวี๋เฒ่าผู้นี้ นับว่าเป็นโชคของนาง ทว่าวันนี้จึงตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วต้องบอกว่าเป็นอวี๋เฒ่าต่างหากที่โชคดี!
เมื่ออู๋ซันรู้จากปากของนางเจียงว่าอวี๋หวั่นเป็นคนส่งลูกชิ้น ผักดอง และแผ่นแป้งไปยังชายแดน เขาก็พลันรู้สึกซาบซึ้ง
“หลานสาว ของที่เจ้าส่งไปนั้นช่วยชีวิตเหล่าพี่น้องของพวกเราไว้จริงๆ!”
ลูกชิ้นหนึ่งลูกสามารถนำมาต้มเป็นน้ำแกงข้นได้หนึ่งหม้อ ผักดองหนึ่งแผ่นมีปริมาณเกลือเพียงพอกับคนกลุ่มหนึ่ง แผ่นแป้งหนึ่งแผ่นกินสิบกว่าวันก็ยังไม่หมด…เรียกว่าเป็นเสบียงกองทัพที่เหนือชั้นกว่าเสบียงกองทัพเสียอีก!
“ท่านลุงอู๋เกรงใจเกินไปแล้ว ที่จริงที่บ้านก็ยังมีอยู่ ข้าเพิ่งทำเสร็จวันนี้เอง ถ้าลุงอู๋ชอบ ข้าจะไปหยิบให้” อวี๋หวั่นเดินออกไปจากห้องครัวอย่างมีความสุข
กระนั้นในตอนที่เธอหอบลูกชิ้นที่เพิ่งทอดเสร็จ ผักดองที่เพิ่งทำเสร็จ และแผ่นแป้งออกมา อู๋ซันก็วิ่งแจ้นออกไปอย่างไม่เห็นเงา
……
เป็นดังคำพูดของอวี๋เซ่าชิง หลังจากสงครามจบลง ทหารที่ถูกเกณฑ์ไปเสริมทัพก็จะทยอยกันกลับบ้าน อวี๋เซ่าชิงเป็นคนแรก คนที่สองก็คือพี่ชายของนายพราน
“ไอ้หยาชุ่ยฮวา! นั่นใช่พี่ใหญ่บ้านเจ้าหรือไม่?” ป้าไป๋ซึ่งกำลังนั่งยองซักผ้า ก็สะกิดไหล่ของชุ่ยฮวา
ชุ่ยฮวาเงยหน้ามอง “พะ…พี่ใหญ่? พ่อสือโถว! พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!”
พี่ใหญ่ของนายพรานถูกข้าศึกฟันหูขาดไปข้างหนึ่ง นายพรานและพี่ใหญ่กอดกันร้องไห้อยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน
อีกครู่หนึ่ง บุตรชายสกุลหลี่ก็กลับมา เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ศีรษะของเขาล้านเสียแล้ว
หลังจากนั้นก็มีคนทยอยกันกลับมา
“กลับมากันหมดแล้วหรือ…” ป้าจางเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย “ไยเอ้อร์หนิวยังไม่กลับมา?”
“ท่านแม่!”
ไม่ไกลออกไป เสียงของเอ้อร์หนิวก็ดังขึ้น
ป้าจางตื่นเต้นจนทำไม้ตีผ้าตก “เอ้อร์หนิวววววว เอ้อร์หนิววววววว”
นางร้องไห้พร้อมกับวิ่งเข้าหาลูกชาย
เอ้อร์หนิวกลับมาครบสามสิบสองประการ เขาถูกส่งไปประจำการในห้องครัว รับผิดชอบเพียงแค่หุงหาอาหาร มิได้ออกรบ
“เอ้อร์หนิว” ป้าจางร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ทัน
“ท่านแม่! ท่านไม่ต้องร้องไห้แล้ว…ข้ากลับมาแล้ว…” เอ้อร์หนิวร้องไห้น้ำตาไหล
ผู้ที่ไม่เคยประสบพบเจอกับการจากลาเช่นนี้ จะไปเข้าใจได้อย่างไร?
“มาเร็ว พ่อกับภรรยาเจ้ารออยู่ด้านใน! ” ป้าจางจูงมือลูกชาย นางปาดน้ำตา แล้วบอกกับป้าไป๋ว่า “พี่ไป๋ ท่านช่วยข้าดูของก่อนนะ ประเดี๋ยวข้ากลับมา”
“เจ้าไปเถอะ!” ป้าไป๋ยิ้มแย้ม
ซุนต้าจ้วง เพื่อนบ้านของหวังหมาจื่อก็กลับมาแล้วเช่นกัน เขาเสียโฉม นิ้วขาดไปหนึ่งนิ้ว เท้าก็ขาดไปเช่นกัน
นับว่าเขามีเหตุผลมากพอที่จะออกจากกองทัพ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะอารักขาโยวโจวต่อจนสงครามสิ้นสุด
“ลูกแม่”
“ต้าจ้วงงงงงง”
ซุนต้าจ้วงและมารดากอดกันกลมพลางร่ำไห้
ได้กลับมาพบหน้ากันช่างดีเหลือเกิน ซวนจื่อคิดด้วยความอิจฉา ขอเพียงพี่ชายของเขากลับมา ไม่ว่าจะแขนขาดขาด้วนอย่างไร ซวนจื่อก็จะดูแลเขาไปทั้งชีวิต!
“เจ้าเด็กตัวเหม็น ทำอะไรนั่น?”
ซวนจื่อซึ่งนั่งยองอยู่ พลันถูกคนเตะก้น เขาล้มหน้าคะมำลงไปจนฟันเฉาะพื้นดิน
ทุกวันนี้ซวนจื่อเป็นผู้ควบคุมดูแลโจรลักม้าทั้งสามสิบคน ใครหน้าไหนกล้ามาถีบเข้าหน้าทิ่มอย่างนี้กัน?!
ซวนจื่อหันหน้าไปมองด้วยความอาฆาตแค้น!
“ทำไม? ยังไม่เชื่ออีกรึ?” ทหารพิการถีบซวนจื่ออีกครั้ง เขาไม่ได้ใช้แรง แต่กลับทำให้ซวนจื่อล้มหน้าคะมำไปอีกรอบ
ซวนจื่อมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน “พะ…พี่ใหญ่?”
บุรุษผิวเข้ม ร่างกายกำยำล่ำสันดุจจามรีตรงหน้าก็คือพี่ชายของเขา ซึ่งเคยผอมแห้งแรงน้อย อ่อนแอเสียยิ่งกว่าสตรีจริงๆ หรือ?
“ไม่รู้จักข้าแล้วหรือ?” พี่ชายของซวนจื่อเย้าหยอก
“พี่ใหญ่เป็นท่านจริงๆ ด้วย ว้าว!” ซวนจื่อรีบลุกขึ้นมา แล้วโผเข้าหาพี่ชาย!
ลมสนามรบพัดผ่านไปหกครา กลับมาพร้อมกับทวนทองม้าเกราะ[1] เด็กหน้าขาวที่อ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน เติบโตเป็นบุรุษผู้สูงสง่าและเด็ดเดี่ยว
“ลงไปเดี๋ยวนี้!”
“ข้าไม่ลง! ถ้าเก่งนักก็ตีข้าเลยซี่!”
ซวนจื่อห้อยต่องแต่งอยู่บนตัวของพี่ชายโดยปราศจากความอับอายไปตลอดทาง
“คน…คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่บ้านยังกลับมาแล้ว ตุนจื่อลูกข้าก็ควรจะกลับมาได้แล้ว!” ป้าไป๋ยังคงซักผ้าต่อไป
“ป้าไป๋ ผ้าถังนี้ท่านซักมาแล้วสามรอบ ข้าจะช่วยท่านตากเอง” เสียงของอวี๋หวั่นดังขึ้นจากด้านข้างของป้าไป๋
“อ่อ…” ป้าไป๋ได้สติกลับมา มองดูผ้าซึ่งซักจนเปื่อยแล้ว “ขะ…ข้ายังซักไม่สะอาด จะซักอีกรอบ”
“ไป๋เสี่ยวตุนเป็นคนบ้านไหนหรือ?” มีทหารขี่ม้ามาที่ทางเข้าหมู่บ้าน
ป้าไป๋วางเสื้อผ้าลง แล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว นางพยายามกดความตื่นเต้น “บ้านข้าๆ! ข้าเป็นแม่ของตุนจื่อ! พี่ชาย ตุนจื่อลูกข้ากลับมาแล้วใช่ไหม?”
ทหารนายนั้นลงจากหลังม้า แล้วทำความเคารพป้าไป๋ด้วยความจริงใจ
ป้าไป๋ชะงัก
เขาหยิบห่อผ้าบนอานม้าออกมา เปิดออกแล้วส่งให้ป้าไป๋ด้วยสองมือ “ไป๋เสี่ยวตุนสละชีพในศึกที่โยวโจว ได้รับยศทหารชั้นหนึ่ง ขอแสดงความเสียใจด้วยขอรับ”
ป้าไป๋รู้สึกประหนึ่งมีสายฟ้าผ่าลงมา!
นางรับห่อผ้ามาด้วยมืออันสั่นเทิ้มจนเงินค่าทำขวัญกระจายลงบนพื้น กระนั้นนางก็มิได้ใส่ใจจะมองด้วยซ้ำ เพียงแต่หยิบป้ายโลหะสลักชื่อของบุตรชายขึ้นมา และร่ำไห้จนแทบขาดใจ…
……
ณ จวนสกุลเหยียน
สงครามจบลง เหยียนฉงหมิงย่อมต้องได้กลับบ้าน หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากคุก เขาก็ถูกส่งเข้ากองทัพ จากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาเหยียบจวนแม่ทัพนี้อีกเลย
เมื่อมองไปยังป้ายจวนแม่ทัพซึ่งดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ในใจของเขาก็พลันบังเกิดความรู้สึกซับซ้อน
“ท่านพ่อ!”
“นายท่าน!”
เหยียนหรูอวี้และฮูหยินเหยียนออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
เหยียนฉงหมิงมองไปยังบุตรสาวซึ่งงามเพริศพริ้ง แล้วจึงมองไปยังภรรยาใบหน้าเหี่ยวย่น เขาหลบเลี่ยงมือของนาง แล้วกระแอมทีหนึ่ง “เข้าจวนเถิด”
ฮูหยินเหยียนชะงักงัน
เหยียนหรูอวี้กล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “ครานี้ท่านพ่อสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ลูกยินดีที่ท่านพ่อชนะศึก ยินดีที่ท่านพ่อขับไล่ข้าศึกไปได้”
เหยียนฉงหมิงทอดถอนหายใจ “คนที่ขับไล่ข้าศึก…ไม่ใช่ข้า”
เหยียนหรูอวี้หัวเราะ “ท่านพ่อถ่อมตัวเกินไปแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าที่แม่ทัพใหญ่เซียวสามารถตีทัพซยงหนูจนพ่ายได้ เป็นเพราะมีคนส่งข้อมูลสำคัญให้เขา คนผู้นั้นจึงจะนับว่าเป็นขุนนางผู้ปกป้องชีวิตชาวเมืองโยวโจวนับแสนคนอย่างแท้จริง ผู้คนลือกันหนาหูว่าฮ่องเต้จะตบรางวัลเขาอย่างงาม คนผู้นั้น…ไม่ใช่ท่านพ่อหรอกหรือ?”
“ไม่ใช่ข้า” เหยียนฉงหมิงพูดอย่างขมขื่น
“เช่นนั้นเป็นผู้ใด?!” เหยียนหรูอวี้ขมวดคิ้ว คงไม่ใช่พ่อของสตรีบ้านนอกนั่นหรอกกระมัง? เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว! ชาวไร่ชาวนาจนๆ จะไปสร้างความดีความชอบมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร?
เหยียนฉงหมิงโบกมือแล้วตอบว่า “…เจ้าไม่รู้จักหรอก เป็นหัวหน้ากองพันคนหนึ่ง ชื่ออวี๋เซ่าชิง”
…………………………………….
[1] ทวนทองม้าเกราะ เปรียบเปรยถึงท่วงท่าของวีรบุรุษในสนามรบ