หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 217 เริ่มลงมือ
วิหารราชครูตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ซึ่งเป็นคนละทิศกับวิหารพิษโดยสิ้นเชิง วิหารพิษมีกำแพงธรรมชาติอย่างเขาพิษ ทว่าวิหารราชครูกลับตั้งอยู่บนพื้นที่ราบว่างเปล่า
เห็นเช่นนี้ อย่าคิดว่าจะลอบเข้าวิหาราชครูได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเทียบกับบ้านเรือนที่อยู่กระจัดกระจาย วิหารราชครูก็เหมือนปราสาทน้ำแข็งที่ถูกคุ้มกันแน่นหนา กำแพงของปราสาทสูงหนึ่งร้อยฉื่อ ตั้งตระหง่านเกือบถึงฟ้า แม้คนที่เป็นวิชาตัวเบาก็ยังไม่อาจปีนขึ้นไปได้ พวกเขาจำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วย นี่เป็นเหตุผลที่อาม่าต้องให้พวกเขาเตรียมพร้อม
น่าเสียดาย พวกเขามีทุกอย่างพร้อมแล้วรอเพียงโอกาสเท่านั้น
ด้านบนปราสาทมีทหารรักษาการณ์ลาดตระเวนอยู่ไม่ขาดสาย พวกเขาซุ่มดูเป็นเวลาสามวันสามคืน แต่ก็ยังไม่พบโอกาสที่จะหลบเลี่ยงจากสายตาของผู้คุมได้
บนต้นไม้ใหญ่นอกปราสาท เยว่โกวถอนสายตาที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของปราสาทกลับมาและถามชิงเหยียน “เรายังต้องรอต่อไปอีกหรือ? เปลี่ยนเป็นจุดอื่นดีหรือไม่?”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนจุดสังเกตการณ์ไปกี่จุดแล้ว
ชิงเหยียนย่นคิ้วกล่าวว่า “ไม่เปลี่ยนแล้ว เฝ้ารออย่างแน่วแน่ต่อไปเถิด ข้าไม่เชื่อว่าเราจะรอไม่ถึงโอกาสแม้แต่ครั้งเดียว”
รออีกหนึ่งวัน ในค่ำคืนวันที่สี่ อาเว่ยก็ปลุกชิงเหยียน “รีบตื่นเร็ว ด้านบนมีคนดื่มจนเมาแล้ว”
ชิงเหยียนลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
อาเว่ยกล่าว “ข้าได้ยินเขาอาเจียน”
ชิงเหยียนครุ่นคิด “ในเมื่ออาเจียนหมดแล้ว เช่นนี้ก็แปลว่าต้องมีคนมาผลัดเปลี่ยนเวรยามแล้ว?”
พวกเขาต้องรีบปีนขึ้นไปก่อนที่ทหารยามจะมา บางทีมันอาจเป็นโอกาสที่ดี ชิงเหยียนเต็มไปด้วยพลังฮึกเหิม ปลุกเยว่โกวและเจียงไห่ หยิบผ้าดำมาคลุมใบหน้า เดินไปทางปราสาท
เมื่อพวกเขามาถึงมุมกำแพง ก็พบว่าปราสาทนั้นสูงกว่าที่พวกเขาเห็นจากระยะไกล
ตามแผนเดิม คือเจาะกำแพงขึ้นไป แต่ด้วยความสูงระดับนี้ เกรงว่าพวกเขาไม่ทันเจาะขึ้นไป คนเฝ้ายามก็คงจะมาเสียแล้ว
ขณะนั้นเอง เจียงไห่ก็ดึงกล่องที่มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อยออกมาจากอ้อมแขน
“นี่คือสิ่งใด?” ชิงเหยียนถาม
เจียงไห่กล่าว “เครื่องเคลื่อนย้าย ซื่อจื่อให้ข้านำติดตัวมาด้วย” ก่อนออกเดินทาง เยี่ยนจิ่วเฉาได้มอบเครื่องเคลื่อนย้ายให้กับเขา
ชิงเหยียนหัวเราะเยาะ “สิ่งของล้ำค่าถึงเพียงนี้ ซื่อจื่อไม่กลัวเจ้าขโมยหนีไปเรอะ”
เจียงไห่เหลือบมอง “อิจฉาก็บอกตรงๆ”
ฮึ่ย น่าอิจฉายิ่งนัก! เขาห่วงใยเสี่ยวจิ่วขนาดนี้ แต่เสี่ยวจิ่วกลับไม่เคยให้ของสิ่งใดกับเขาเลย
เจียงไห่เห็นเขาอิจฉาก็รู้สึกโล่งใจ ให้ตายอย่างไรเจียงไห่ก็ไม่มีทางบอกชิงเหยียนว่า เดิมทีเยี่ยนจิ่วเฉาต้องการมอบให้ชิงเหยียน แต่เขาบังเอิญไปพบก่อน เยี่ยนจิ่วเฉาคิดว่าให้เขาก็ไม่ต่างกัน จึงให้เขานำมันมา
“พวกเจ้าจะไม่ขึ้นไปแล้วใช่ไหม?” อาเว่ยวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “หากไม่ขึ้นแล้วก็รอข้าอยู่ข้างล่างนี่!”
ชิงเหยียนตบศีรษะด้านหลังของอาเว่ย “ไอ้เด็กนี่ ถึงคราวที่เจ้าต้องพูดแล้วเรอะ!”
เจียงไห่เปิดเครื่องเคลื่อนย้าย ยิงปลายตะขอเกี่ยวขึ้นไปแขวนที่ขอบกำแพง คนทั้งสี่สวมถุงมือสีเงิน จับเชือกเหล็กที่ติดกับตะขอปีนขึ้นไปบนปราสาท
ระหว่างที่ปีนอยู่นั้น ชิงเหยียนบังเอิญเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง พลันถามหยั่งเชิงกับอาเว่ย “อย่าบอกนะว่าเจ้าคนผู้นั้นอาเจียนมาด้านนอก”
อาเว่ยตอบ “ก็ใช่น่ะสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะได้ยินได้อย่างไร?”
ชิงเหยียนกระอักกระอ่วน!
เมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงปราสาท เหล่าผู้คุมก็เมามายหมดสติ
พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ด้านนอกทางเดิน
ไม่นาน ผู้คุมที่มาเฝ้าเวรแทนสองคนก็เดินออกมาบริเวณทางเดิน คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างขยะแขยง “ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก เพียงสุราหนึ่งชามก็เละเทะได้ถึงเพียงนี้! เอาละๆ เจ้าให้คนมาเอาตัวลงไปเถิด คืนนี้ข้าจะเฝ้าแทนเขาเอง หากมีใครถาม ก็บอกแค่ว่าเขาไม่สบาย อย่าได้บอกว่าดื่มจนเมาเชียว”
“ทราบ” เพื่อนอีกคนเดินจากไป
ผู้คุมทดแทนแบกร่างผู้คุมที่เมาไม่ได้สติอยู่บนพื้นขึ้นหลัง พวกเจียงไห่ทั้งสี่ใช้โอกาสจากช่องโหว่ที่คนทั้งสองกำลังวุ่นวายเดินเข้าไปในทางเดินอย่างรวดเร็ว และเดินลงบันไดวนไปยังด้านล่างของป้อม
ชิงเหยียนมองไปรอบๆ และกล่าวว่า “วิหารราชครูกว้างใหญ่ยิ่งนัก วั่นซูเก๋ออยู่ที่ใดกันแน่?”
“ตามข้ามา” เจียงไห่กล่าว
ชิงเหยียนถึงกับผงะ บุรุษผู้นี้เป็นใครกันแน่? ไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับจวนของประมุขหญิง แต่ยังคุ้นเคยกับพื้นที่ภายในวิหารราชครูอีกด้วย
“มัวนิ่งอึ้งอะไร?” เจียงไห่ถาม
“ไม่มีอะไร” ชิงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นหูของเขาก็ขยับ “มีคนกำลังมา!”
คนทั้งสี่รีบซ่อนตัวด้านหลังเสาขนาดใหญ่ กลั้นหายใจไม่ให้ผุดเล็ดลอดออกมา
บุรุษผู้นี้เดินเข้าใกล้เข้ามา พวกเขาถึงมองเห็นลักษณะได้อย่างชัดเจนว่าที่แท้เขาก็เป็นราชครูที่เคยพบในหนานจ้าว
“เป็นราชครู” ชิงเหยียนมุบมิบปากอย่างไร้เสียง ทำสัญลักษณ์ให้พวกเขากดกลั้นลมหายใจอย่างระมัดระวังมากขึ้น
พวกเขาเข้าใจความหมายดี แม้แต่แรงเต้นของชีพจรก็ยังกดไว้เช่นกัน
ราชครูท่าทางร้อนรนราวกับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น จึงไม่ทันสังเกตเห็นกลุ่มคนที่หลบอยู่หลังเสา
จนกระทั่งราชครูเดินจากไป ชิงเหยียนและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่ช้าเจียงไห่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ข้ารู้จักราชครู เพราะฮูหยินเคยช่วยเหลือศิษย์ของราชครูมาก่อน ราชครูเคยไปเยี่ยมเยียนถึงจวน แล้วพวกเจ้ารู้จักราชครูได้อย่างไร? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”
“ราชครูก็เคยไปที่หมู่บ้านเหลียนฮวานะ” ชิงเหยียนกล่าว
“ตอนที่เขาไป เขาบอกว่าตนเองเป็นราชครูแห่งหนานจ้าวรึ?” เจียงไห่ถามด้วยความสงสัย
“…” แน่นอนว่าไม่เป็นเช่นนั้น อาม่าจำเขาได้ แต่คำกล่าวนี้ชิงเหยียนย่อมไม่อาจบอก ไม่เช่นนั้นเกรงว่าสถานะเผ่าปีศาจของพวกเขาจะปกปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไป
ชิงเหยียนตะลึงงันกับคำถามของเจียงไห่สองวินาที ก่อนจะเชิดคางขึ้น “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเราไม่ควรแทรกแซงเรื่องของกันและกัน? ข้ายังไม่ถามเจ้าเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงคุ้นเคยกับวิหารราชครู แต่เจ้ากลับอยากรู้ว่าเรารู้จักราชครูได้อย่างไร”
เจียงไห่หุบปาก
และเจียงไห่ก็เอ่ยอีกครั้ง “พวกเจ้าน่าสงสัยยิ่งนัก!”
ชิงเหยียนจ้องถมึง “ไม่น่าสงสัยเท่าเจ้าหรอก!”
อาเว่ย “พวกเจ้านี่โวยวายเก่งจริง”
ชิงเหยียนและเจียงไห่เอ่ยประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน “ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กอย่าขัด!”
อาเว่ย “…”
ความคุ้นเคยของเจียงไห่ที่มีต่อวิหารราชครูหาได้สูงอย่างที่ชิงเหยียนคาด เจียงไห่ทราบเพียงทิศทางโดยคร่าวของวั่นซูเก๋อ ทว่าเขาก็ไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่ใด หลังจากใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วยามในวิหารราชครู ในที่สุดก็พบกับห้องใต้หลังคาที่ดูไม่สะดุดตา
ในห้องใต้หลังคาไม่มีแม้กระทั่งป้ายคำขวัญบนประตู
ชิงเหยียนย่นคิ้วเข้าหากัน “เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือวั่นซูเก๋อ?”
“ใช่” เจียงไห่กล่าวพร้อมกับจ้องมองห้องใต้หลังคาในคืนอันมืดมิด
“หาพบง่ายดายเพียงนี้ ข้าว่ากลไกหรืออันตรายต่างๆ ก็ไม่ได้คุ้มกันแน่นหนาเท่าจวนประมุขหญิง” ชิงเหยียนกล่าวเบาๆ พลางเอื้อมมือผลักประตูห้องใต้หลังคา ทันใดนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน ลูกศรแหลมคมพุ่งเข้ามาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เรียวคิ้วของชิงเหยียนกระตุกขึ้น เขารีบชักดาบขึ้นสกัด ทว่ามันช้าเกินไป
ในช่วงวิกฤตินั้น เข็มเงินเรียงถี่ราวตาข่ายขนาดใหญ่พุ่งไปหาลูกศร ทำให้ลูกศรเหล่านั้นถูกสับ ชิงเหยียนได้มีชีวิตรอดอีกครั้ง
แผ่นหลังชิงเหยียนเปียกชุ่ม
เขามองเจียงไห่ที่อยู่ด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญแขวน
เจียงไห่เขย่าเครื่องเคลื่อนย้ายในมือ “ไม่ต้องขอบคุณ หากจะขอบคุณก็ไปขอบคุณซื่อจื่อ”
หลังจากเกิดเรื่องครั้งนี้ ชิงเหยียนก็ไม่กล้ากระทำการชะล่าใจอีก
“เข้าไปกันเถิด” เจียงไห่กล่าว
ทั้งสี่เข้าไปในห้องใต้หลังคา
ทว่าอีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งซึ่งไม่ได้สติมาหลายวัน ในที่สุดก็ฟื้นคืนสติ เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองนอนอยู่ในที่พักที่ถูกแบ่งส่วนมาจากจวนประมุขหญิง เขาสลบไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ คิดได้ว่าตนสลบไปภายในรถม้าที่กำลังเดินทางกลับจวน
เขาคิดว่าคงเป็นสารถีรถม้าที่ส่งเขากลับมา
ไม่รู้เลยว่าตนเองสลบมานานเพียงใด แล้วประมุขหญิงทรงทราบเรื่องคางคกหิมะหรือยัง?
หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา เห็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งที่กำลังลืมตากว้างความคิดล่องลอย พลันเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้าเมิ่งท่านตื่นแล้วหรือ? ข้าจะไปรายงานฝ่าบาท!”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งหมายจะยั้งนางไว้ ทว่านางก็กลับตัวเดินจากไปเสียแล้ว
ประมุขหญิงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท” ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งรีบยกผ้าห่มขึ้น คิดจะลงไปก้มคำนับนางที่พื้น
ประมุขหญิงยื่นมือพยุงเขา “ใต้เท้าเมิ่งมิต้องมากพิธี ใต้เท้าเมิ่งสลบไปหลายวัน ทำข้ากังวลแทบแย่ ท่านอย่าเพิ่งขยับเลย ประเดี๋ยวข้าจะให้หมอหลวงมาตรวจดูชีพจรท่าน”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งโค้งกาย “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ประมุขหญิงทำมือให้หญิงรับใช้ในห้องไปพาหมอหลวงมา หมอหลวงได้จับชีพจรของปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งและกล่าวกับประมุขหญิง “กราบทูลฝ่าบาท ใต้เท้าเมิ่งมีอาการตกใจมากเกินไป ชีพจรไม่คงที่ กระหม่อมสั่งยาสงบจิตหนึ่งชุดให้ใต้เท้าเมิ่ง สามวันห้าวันอาการก็จะดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รบกวนหมอหลวงหวังแล้ว” ประมุขหญิงพยักหน้าเล็กน้อย
“เป็นหน้าที่ของกระหม่อม” หมอหลวงหวังคำนับและถือล่วมยาเดินออกไป
ประมุขหญิงชำเลืองมองข้ารับใช้ในห้องและตรัสว่า “พวกเจ้าทุกคนถอยออกไป”
“เพคะ” ทุกคนเดินเรียงกันออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน ประมุขหญิงมองปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งอย่างจริงจังพร้อมตรัสว่า “เกิดอันใดขึ้นที่เขาพิษ? แล้วคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งก้มหน้าด้วยความอับอาย “กระหม่อมทำภารกิจล้มเหลว ฝ่าบาทโปรดลงโทษ”
ประมุขหญิงตอบ “นี่หาใช่เวลาที่จะเอ่ยเรื่องนี้ เจ้าเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขาพิษมาให้ข้าฟัง”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งกล่าว “เดิมทีคางคกหิมะมาถึงมือกระหม่อมแล้ว ทว่าทันใดนั้นก็มียอดฝีมือคนหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่ามาจากที่ใด สังหารยอดฝีมือที่ฝ่าบาทจัดไว้ให้กระหม่อมทั้งหมดภายในพริบตาเดียว แล้วคางคกหิมะก็ถูกเขาขโมยไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ประมุขหญิงก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ยามเห็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งถูกแบกกลับมา นางก็พอเดาได้ว่าภารกิจล้มเหลว แต่นางคิดเพียงล้มเหลวเพราะไม่อาจจับคางคกหิมะมาได้เท่านั้น คางคกหิมะยังอยู่ที่เขาพิษ หาได้คิดว่ามีคนชิงมันไปเสียแล้ว
ประมุขหญิงตรัสด้วยสายตาเย็นชา “คนผู้นั้นเป็นใครกัน ถึงสังหารยอดฝีมือจำนวนมากได้ในคราเดียว?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งส่ายหัว “กระหม่อมก็ไม่แน่ใจ วิธีการของเขาโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่เพียงแต่สังหารคนของเรา แต่ยังสังหารปรมาจารย์พิษอีกหลายคนที่เข้าไปเก็บแมลงพิษในเขานั้นด้วย กระหม่อมไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ทำของสำคัญเช่นนั้นหายไป”
“อย่าได้โทษตัวเองเลย หน้าที่ของท่านคือการตามหาคางคกหิมะ ท่านก็ตามหามันพบแล้ว การนำคางคกหิมะกลับมาอย่างปลอดภัยเป็นหน้าที่ของพวกเขาเหล่านั้น ข้าประมาทเอง” ประมุขหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ทว่านิ้วเรียวกลับกำแน่น จิกเล็บเข้าไปในเนื้อของตนเอง
…………………………………………