หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 22.2 พี่จิ่วมาแล้ว (2)
ทุกคำขอของน้องสาว เขาย่อมต้องปฏิบัติตาม แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจรับปากได้
องค์ชายรองกล่าวด้วยความจริงใจว่า “หมิงจู เขาแย่งความดีความชอบของผู้อื่น ทั้งยังหลอกลวงฮ่องเต้ ในต้าโจว นับว่าเป็นคดีหลอกลวงเบื้องสูง มีโทษประหาร เจ้าไปเลือกองครักษ์คนอื่นเถิด จะเลือกเท่าไรก็ย่อมได้”
องค์หญิงซยงหนูยังคงตอแยไม่เลิก “ข้าไม่สน! ข้าต้องการเขา!”
องค์ชายรองมีสีหน้าจริงจัง “อย่ามากความ!”
นางสะบัดแส้ฟาดลงบนพื้น “ข้าจองเขาแล้ว! ข้าต้องการให้เขารอด! ท่านพี่หากท่านไม่สนใจ ข้าก็จะหาวิธีเอง!”
พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปโดยไม่แม้จะหันหลังกลับมา
“หมิงจู…หมิงจู” องค์ชายรองเรียกนางไว้ไม่ทัน
ราชสำนักซยงหนูบุรุษมากสตรีน้อย องค์หญิงแห่งซยงหนูนับว่างามชั้นหนึ่ง ได้รับความรักความเอ็นดูจากบิดาและท่านลุงอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้นางเสียนิสัย หัวรั้น องค์ชายรองมักจะควบคุมนางไม่ได้
องค์ชายรองสั่งองครักษ์ว่า “รีบไปตามองค์หญิงเร็ว อย่าให้นางสร้างปัญหาอีก!”
“ทราบ!”
องครักษ์ชาวซยงหนูสองคนรุดตามไป
……
ทางด้านขององค์หญิงซยงหนู นางออกจากวังหลวงไปหมายจะไปพบอวี๋เซ่าชิงที่คุกหลวง ไม่คาดคิดว่าจะพบกับสตรีคุ้นหน้าคุ้นตาหน้าประตูวัง
“อวี้เอ๋อร์ถวายบังคมองค์หญิง” เหยียนหรูอวี้ค้อมตัวเล็กน้อย
องค์หญิงซยงหนูนึกได้ “เป็นเจ้านี่เอง!”
เหยียนหรูอวี้เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “องค์หญิงจดจำอวี้เอ๋อร์ได้ เป็นเกียรติของอวี้เอ๋อร์เหลือเกิน”
“ผู้ใดจำเจ้าได้กัน?” องค์หญิงซยงหนูกลอกตา ไม่ได้ถามว่าเหยียนหรูอวี้คือใคร มาทำอันใดที่วังหลวง
เหยียนหรูอวี้เห็นว่าองค์หญิงรีบเร่งร้อนรน มุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย “องค์หญิงจะไปคุกหลวงหรือเพคะ?”
องค์หญิงซยงหนูกำลังเหยียบขึ้นไปบนโกลนก็พลันชะงัก
เหยียนหรูอวี้ยิ้มน้อยๆ “หากข้าเป็นองค์หญิง ข้าจะไม่ไปยุ่มย่ามกับเจ้าคนพรรค์นั้น อวี๋เซ่าชิงได้รับโทษประหาร องค์หญิงจากบ้านมาไกล ก็เพื่อหลบเลี่ยงโทษเหล่านี้ หากทำให้ฮ่องเต้ต้าโจวไม่พอพระทัยอีก เช่นนั้นก็คงจะยุ่งยากเสียแล้ว องค์หญิงคิดว่าอย่างไรเพคะ?”
องค์หญิงซยงหนูมองเหยียนหรูอวี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ
เหยียนหรูอวี้ยิ้มน้อยๆ ท่านพ่อของนางสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ได้พระราชทานยศเป็นท่านโหว บัดนี้นางเป็นคุณหนูจวนท่านโหว นางไม่เกรงกลัวองค์หญิงจากประเทศผู้แพ้สงครามอีกต่อไป
จะว่าไปแล้ว องค์หญิงผู้นี้ต้องอ้อนวอนขอร้องต้าโจวของพวกนางเสียด้วยซ้ำ
องค์หญิงซยงหนูแค่นเสียงขึ้นจมูก สะบัดมือ ตวัดแส้ใส่เหยียนหรูอวี้!
ครานี้มิได้ใช้แรงน้อยๆ เพียงเพื่อตีผ้าคลุมหน้าของนาง
เหยียนหรูอวี้รีบขยับตัวหลบ แม้จะหลบเลี่ยงจุดสำคัญไปได้ แต่แส้กลับฟาดลงบนหน้าผากของนางจนเกิดเป็นปากแผลมีเลือดไหล
องค์หญิงซยงหนูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เขาตายหรือไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? หากยังพูดพล่อยอีก ข้าจะเปลื้องผ้าเจ้าแล้วเฆี่ยนอีกสิบแส้ต่อหน้าผู้คน!”
เหยียนหรูอวี้จิกเล็บลงไปในผิวหนัง
“องค์หญิง!” องครักษ์ตามมาทันพอดี
องค์หญิงซยงหนูกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ ให้คนจูงม้ามา แล้วควบม้าออกไป
เหยียนหรูอวี้แตะบนหน้าผากของตน เห็นรอยเลือดบนปลายนิ้ว “เจ้าจะต้องชดใช้ เฮ่อเหลียนหมิงจู”
ท้ายสุดแล้ว องค์หญิงชาวซยงหนูผู้โอหังก็ไม่อาจเข้าไปในคุกหลวงได้ คุกหลวงประหนึ่งสร้างกำแพงทองสัมฤทธิ์เพิ่มอีกชั้นหนึ่ง แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็เข้าไปไม่ได้
“น่าโมโห! น่าโมโหที่สุด!” องค์หญิงพบกับเรื่องขัดใจ ทันทีที่เข้าไปในสวนดอกไม้ ก็ใช้แส้ฟาดดอกไม้ล้ำค่าในสวนจนเละเทะ
เยี่ยนไหวจิ่งผ่านมา และได้ยินเสียง จึงมองไปยังองค์หญิงซยงหนู แล้วเอ่ยถามขันทีว่า “นั่นไม่ใช่องค์หญิงจากซยงหนูหรอกหรือ? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ขันทีก้าวไปด้านหน้าพลางสูดหายใจเข้า กล่าวว่า “กราบทูลองค์ชาย นักโทษที่ถูกฝ่าบาทรับสั่งให้นำไปขังในคุกหลวงวันนี้ เป็นองค์รักษ์ที่องค์หญิงซยงหนูขอมาจากแม่ทัพใหญ่เซียว องค์หญิงซยงหนูช่วยเขาไม่สำเร็จ จึงรู้สึกร้อนรนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนไหวจิ่งครุ่นคิด “คนที่ขโมยรายชื่อจากเหยียนโหวน่ะหรือ?”
ขันทีตอบ “มิผิด เป็นเขา ได้ยินว่าแซ่อวี๋ เป็นหัวหน้ากองพัน”
“อวี๋?” เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกกระมัง…
……
หลังจากที่อวี๋หวั่นเดินออกมาจากคุกหลวง ก็เริ่มขบคิดว่าจะทำอย่างไรดี
“ท่านลุงอู๋” อวี๋หวั่นครุ่นคิด “ท่านไปตามหาโจวไหวได้หรือไม่? พาพี่น้องทหารไปได้ยิ่งดี ท่านพ่อข้าไม่ใช่ผู้มีพระคุณกับพวกเขาหรอกหรือ? วันนี้พ่อข้ามีเคราะห์หนัก รบกวนพวกเขาตามหาโจวไหวแทนพ่อข้าที”
“ข้าไปแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” อู๋ซันถามด้วยความเป็นห่วง
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างขมขื่น “ทำไมท่านเหมือนป้าสะใภ้ใหญ่เลย? ลุงอู๋ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ทำเรื่องโง่ๆ หรอก ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”
ดรุณีน้อยคนหนึ่งบอกว่ารู้จักขีดจำกัดของตนเองดี หากเป็นเมื่อก่อนอู๋ซันก็คงหัวเราะ ทว่าในตอนนี้นอกจากการตามหาโจวไหวให้เจอโดยเร็วที่สุดแล้ว ก็ดูเหมือนว่าไม่มีเรื่องใดที่เขาสามารถทำให้อวี๋เฒ่าได้อีก แม้ว่าความหวังจะเลือนราง แต่ก็อยากลองดูสักครั้ง
อู๋ซันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ ข้าจะไปติดต่อเหล่าพี่น้องทหาร เจ้ารักษาตัวด้วย! อย่าทำเรื่องโง่ๆ เป็นอันขาด พ่อเจ้าให้ความสำคัญกับพวกเจ้ามากกว่าชีวิตของตัวเอง เขายินดีตาย แต่ไม่อยากให้พวกเจ้ารนหาที่ตายเพื่อเขา”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
อู๋ซันสูดหายใจเข้าลึก แล้วควบม้าออกไป
อวี๋หวั่นหลุบตาลง เพื่อพ่อของเธอ จะรนหาที่ตายแล้วอย่างไร?
อวี๋หวั่นบอกกับสารถีรถม้าว่า “ไปจวนแม่ทัพใหญ่เซียว”
สารถีขับรถม้าไปยังจวนสกุลเซียว
ครั้งก่อนซั่งกวนเยี่ยนให้เธอมาที่นี่ แต่เธอไม่มา วันนี้กลับต้องมาด้วยตัวเอง
อวี๋หวั่นมองไปยังป้ายหรูหราโอ่อ่าด้านหน้า จับกระโปรงเดินลงจากรถม้า
องครักษ์หน้าประตูเห็นอวี๋หวั่นเดินขึ้นบันไดมา จึงหยุดนางไว้แล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
อวี๋หวั่นยืนอยู่บนขั้นบันได เงยหน้ามององครักษ์ซึ่งมีสีหน้าระแวงเธอ แล้วกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “พ่อข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เซียว มีเรื่องจะขอพบแม่ทัพใหญ่เซียว รบกวนพี่ใหญ่องครักษ์นำเรื่องไปเรียนท่านแม่ทัพใหญ่สักหน่อยได้หรือไม่?”
องครักษ์มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “นายท่านไม่อยู่ พ่อเจ้าชื่ออะไร? รอนายท่านกลับมา แล้วข้าจะบอกเขาว่าเจ้ามาที่นี่”
อวี๋หวั่นจ้องเขาเขม็ง คิดว่าเขาไม่ได้โกหก จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้ารอที่นี่จนกว่าเขากลับมาได้หรือไม่?”
องครักษ์ตอบ “เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าคงต้องรอนานเสียแล้ว นายท่านบ้านข้าออกไปข้างนอกกับฮูหยิน อย่างเร็วก็คืนหนึ่ง อย่างช้าก็สิบวัน!”
นานขนาดนั้นเลยเหรอ!
กว่าจะถึงตอนนั้นพ่อของเธอคงหัวหลุดจากบ่าไปแล้ว!
“ข้าถามได้หรือไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด?”
องครักษ์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายท่านกับฮูหยินบ้านข้าไปไหน ไยต้องบอกให้คนนอกรู้ด้วย?”
อวี๋หวั่นกำหมัดแน่น นัยน์ตาประหนึ่งมีเปลวไฟปะทุ “แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ท่านพ่อข้ามีอันตรายอยู่ตรงหน้า เรื่องนี้เกี่ยวกับนายท่านบ้านท่านด้วย ท่านพ่อต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา!”
องครักษ์ชะงักไป “เจ้า…เจ้าพูดพล่อยอะไร!”
อวี๋หวั่นพูดต่อด้วยโทสะ “ท่านพ่อข้านำคำพูดสุดท้ายของแม่ทัพเซียวเหยี่ยนมาแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่เซียว บัดนี้แม่ทัพใหญ่เซียวรับความดีความชอบเอาไว้เอง คิดจะข้ามแม่น้ำแล้วเผาสะพานทิ้ง ใครๆ ก็บอกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นวีรบุรุษ วีรบุรุษที่ไหนส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปตาย แล้วตัวเองก็หนีไปเสวยสุขกันล่ะ!”
องครักษ์โมโหจนชักกระบี่ออกมา
องครักษ์อีกคนหนึ่งวิ่งออกมาจากจวน หยุดเขาเอาไว้ แล้วกล่าวกับอวี๋หวั่นว่า “แม่ทัพใหญ่เซียวไม่อยู่จริงๆ เขาไปที่ใดพวกข้าไม่รู้ หากเป็นเรื่องด่วน เจ้าไปหาคุณชายห้าที่ถนนชิงเหอเถิด”
อวี๋หวั่นหันหลังเดินออกไป
แต่ยังเดินออกไปได้ไม่ถึงสองก้าว เขาก็ได้ยินองครักษ์คนที่สองกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่เซียวไม่เคยส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปตาย เขาไม่ทำอะไร ก็คงหมายความว่าเขาทำอะไรไม่ได้”
อวี๋หวั่นหันไปมอง ไมได้พูดอะไร แล้วเดินขึ้นรถม้าไป
“แม่นาง ฝนจะตกแล้ว”
“ไปถนนชิงเหอ” อวี๋หวั่นบอกเขา
“แต่ว่า…”
สารถีกำลังจะเอ่ยปาก อวี๋หวั่นก็โยนเงินหยวนเป่าให้เขา
สารถีเงียบลงด้วยความขุ่นเคือง แล้วขับรถม้าไปยังถนนชิงเหอ
จวนของคุณชายห้าสกุลเซียวหาไม่ยาก สิ่งที่ยากก็คือเขาเองก็ไม่อยู่เช่นกัน
อวี๋หวั่นหายใจเข้าลึกๆ ระงับความหุนหันพลันแล่น แล้วเอ่ยถามบ่าวว่า “ขอถามหน่อย คุณชายห้าอยู่หรือไม่?”
บ่าวคนนี้ติดตามคุณชายห้าไปงานเลี้ยงที่จวนสกุลเว่ย จึงเคยเห็นหน้าค่าตาอวี๋หวั่น และรู้ว่าอวี๋หวั่นรู้จักกับนายท่านบ้านตน เขาจึงไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับเธอ “ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยปวดศีรษะมาก นายท่านไปดูนาง เพิ่งจะออกไป หากแม่นางมาเร็วกว่านี้สักครึ่งถ้วยชาก็คงได้พบ”
“ขอบคุณมาก…” อวี๋หวั่นพยายามไม่ทำคิ้วขมวด เธอขึ้นรถม้า “ไปจวนฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย”
สารถีเงยหน้ามองเมฆดำบนท้องฟ้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบังคับรถม้าออกไปด้วยสีหน้าย่ำแย่
ไปได้ครึ่งทาง สิ่งที่เขากังวลบังเกิดขึ้นแล้ว เสียงฟ้าร้องดังก้องกัมปนาท จากนั้นก็มีฝนห่าใหญ่ตกซู่ลงมาราวกับท้องฟ้าแตกเป็นโพรงใหญ่ ห่าฝนตกลงบนรถม้า ตกลงบนพื้นดิน สาดกระเซ็นจนเป็นหมอกขาว
บนถนนล้วนสับสนอลหม่าน
สารถีนำเสื้อคลุมมาสวม แล้วบังคับรถม้าต่อ ทว่าล้อรถกลับเข้าไปติดในซอกหิน รถม้ากระเด้งอย่างแรงจนล้อหลุดออกไป
รถม้าที่ปราศจากล้อไม่อาจรักษาความสมดุล จึงเอนล้มลงไปด้านหนึ่ง
อวี๋หวั่นกระเด็นออกมาจากรถม้า
สารถีนั่งอยู่ด้านนอก จึงกระโดดออกมาทัน แต่ม้าของเขาวิ่งเตลิดไป เขาจึงทิ้งอวี๋หวั่นเอาไว้ แล้ววิ่งตามม้าไป
อวี๋หวั่นนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฝนเม็ดใหญ่ร่วงลงบนตัวของเธออย่างมิได้ยำเกรง จนเสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ความเจ็บปวดแล่นปราดมาจากข้อเท้าของเธอ น่าจะข้อเท้าแพลงเสียแล้ว
เธอนั่งนิ่งบนพื้นท่ามกลางน้ำฝนอันหนาวเหน็บ เนื้อตัวเปียกโชกประหนึ่งลูกไก่ตกหม้อน้ำแกง
ทันใดนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนมาหยุดด้านหลัง
มีคนเดินลงมาจากรถม้า
คนผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อคลุมสีขาว ในห่าฝนไร้ซึ่งแสงใด เขากลับเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์
เขากางร่มกระดาษอาบไขเหนือศีรษะของเธอ
มือซึ่งถือร่มนั้น มีนิ้วที่ยาวสวย เห็นข้อต่อชัดเจน
อวี๋หวั่นร่างเปียกโชก ฝนหยุดลงอย่างฉับพลัน กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยระคนกับกลิ่นของฝน
เธอค่อยๆ หันไป เงยหน้าขึ้น เป็นใบหน้าชุ่มน้ำฝนซีดเผือด ไม่รู้ว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา ดูน่าสงสารจับใจ
นัยน์ตาของบุรุษผู้นั้นสั่นเล็กน้อย
อวี๋หวั่นไม่เคยรู้สึกเศร้าใจ เพียงแต่รู้สึกเพียงว่าตนโชคร้ายเหลือเกิน ทันที่เห็นผู้ชายคนนี้ เธอก็พลันรู้สึกเศร้าใจจนพูดจาตะกุกตะกัก “เยี่ยนจิ่วเฉา พ่อข้าถูกจับไป…”
……………………………………….