หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 231 ความโชคดีที่สวนทางสวรรค์
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้ยินเห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวถึงบุตรชายของตัวเอง จากสายตาของเขา อวี๋หวั่นมองเห็นความปลาบปลื้มที่ไม่อาจปิดบังได้ แม้ไม่ใช่บุตรแท้ๆ แต่เขาก็รักมาก…
อวี๋หวั่นนึกถึงเซียวเจิ้นถิง แต่สถานการณ์ของเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็แตกต่างจากเซียวเจิ้นถิงเป็นอย่างมาก ซั่งกวนเยี่ยนไม่เคยทรยศเซียวเจิ้นถิง เซียวเจิ้นถิงก็ยอมรับนางกับบุตรของนาง ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในเวลาหลายปี จากไม่มีจนมี สะสมจากน้อยจนมาก แต่เห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกสวมหมวกเขียวในวันแต่งงาน ภายใต้ความโกรธนั้น เขาจะยังรัก ‘สายพันธุ์ชั่ว’ ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ?
หรือว่านางถานไม่เคยทำผิดจริงๆ? เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อของเขาเองหรือ?
หากเป็นเช่นนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงจะรู้หรือไม่?
ความรักบิดาและบุตรที่เขามีต่อเห้อเหลียนเซิงถูกสลักลงในกระดูก แม้ว่าเขาจะถูกหลอกแต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจเดิม หรือเขารู้ความจริงทั้งหมด และรู้ว่านั่นเป็นลูกชายของเขาเอง?
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ามาที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกครั้ง เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็กินโจ๊กลูกเดือยไปแล้วครึ่งชามภายใต้ ‘การบีบบังคับ’ ของอวี๋หวั่น ความอยากอาหารของเขาไม่ดีนัก แต่อวี๋หวั่นบอกว่าเธอปรุงก๋วยเตี๋ยวไว้ให้แล้ว เห้อเหลียนเป่ยหมิงหวาดกลัวจนรีบถามว่าในครัวมีสิ่งใดให้กินอีกหรือไม่ อวี๋หวั่นก็ตอบว่าพ่อครัวปรุงโจ๊กลูกเดือยของตนเองเอาไว้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงรีบบอกว่าเขาอยากกินโจ๊กทันควัน!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกินโจ๊กไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งที่ประตู นั่นคือฮูหยินผู้เฒ่า
ตนเองสลบไปนานหลายวัน ท่านแม่คงกังวลแย่แล้ว
ทำให้ท่านแม่เป็นห่วง เขาอกตัญญูยิ่งนัก
เห้อเหลียนเป่ยหมิงถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด “สองสามวันมานี้ทำให้ท่านแม่…”
“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขัด เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเขากำลังกินโจ๊ก ยามนี้จึงเชื่อว่าเขาไม่เป็นไรจริงๆ นางกังวลใจมาก ฮูหยินผู้เฒ่าเลื่อนเท้าข้างหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้องกลับไป “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ข้าจะไปหาเหลนน้อยๆ ของข้าละ!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงผงะ “…”
ข้า ข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ หรือ?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้ตื่นอยู่นานนัก ไม่นานเขาก็รู้สึกอ่อนล้าและหลับสนิทลงอีกครั้ง
ชีพจรของเขาดีขึ้นมาก ทว่าพลังชี่ของเขาสูญเสียไปมาก เขาต้องพักฟื้นอย่างระมัดระวัง
อวี๋หวั่นเรียกผู้ติดตามของเห้อเหลียนเป่ยหมิง “แม้ว่าลุงใหญ่จะผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปแล้ว ทว่าเขาต้องการพักผ่อน พยายามอย่าให้เขาได้รับความกระทบกระเทือนในระยะนี้ เรื่องมือสังหารและนายท่านรองใหญ่ อย่าได้พูดกับท่านลุง”
คนอื่นไม่อาจเดาได้ว่ามือสังหารคือเยี่ยนจิ่วเฉา แต่มีหรืออวี๋กังจะเดาไม่ได้? เขาเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาหยิบกริชนั้นไปกับตาตัวเอง และท้ายที่สุดกริชนั้นก็ไปอยู่ที่ท้องของนายท่านรองใหญ่ แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
สำหรับสาเหตุที่เยี่ยนจิ่วเฉาลอบสังหารนายท่านรองใหญ่ อวี๋หวั่นไม่ได้อธิบายกับอวี๋กัง เธอเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบาย หนามยอกเอาหนามบ่ง หลักการนี้ อวี๋กังก็คงเข้าใจ
อวี๋กังไม่ได้เปิดโปงเยี่ยนจิ่วเฉา ซึ่งหมายความว่า เขาเข้าใจแล้วว่านายท่านรองใหญ่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเห้อเหลียนเป่ยหมิง
แม้แต่อวี๋กังยังคิดได้อย่างง่ายดาย เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็คงไม่จำเป็น
นั่นเป็นอารองของเขา เขาจะรับแรงระเบิดนี้ได้หรือ?
นายท่านรองใหญ่ทำเรื่องชั่วร้ายนี้เรื่องเดียวก็เกินพอแล้ว แต่หากไม่ใช่เท่านี้ละ? เรื่องของนางถานกับเห้อเหลียนเซิง เรื่องบุตรชายคนเล็กของฮูหยินผู้เฒ่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนายท่านรองใหญ่หรือไม่?
สิ่งที่เธอคิดได้ ก็เชื่อว่าอวี๋กังคิดได้เช่นกัน ทว่าตอนนี้ไม่มีหลักฐาน ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดา
อวี๋กังพยักหน้า “อวี๋กังเข้าใจ อวี๋กังจะไม่พูดอะไร”
อวี๋หวั่นมองเห้อเหลียนเป่ยหมิงที่กำลังหลับใหลและกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าต้องปิดบังเขาตลอดไป ทว่ารอให้แผลดีขึ้น และไม่มีเลือดไหลซึมออกมา บอกเขาเมื่อนั้นก็ยังไม่สาย”
“ขอรับ” อวี๋กังตอบรับ
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน “ข้าจะกลับไปที่สวนอู๋ถงก่อน หากมีเรื่องอะไรก็เรียกข้า”
“คุณหนูใหญ่!” อวี๋กังเรียกอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นหันไปมองเขา “มีอะไรหรือ?”
ดวงตาของอวี๋กังสั่นไหว “ขอบ ขอบคุณมากขอรับ”
ขอบคุณที่ปกป้องแม่ทัพใหญ่
ต่อไป อวี๋กังก็จะปกป้องพวกท่านเช่นกัน
อวี๋หวั่นกลับไปที่สวนอู๋ถง
เด็กน้อยทั้งสามคนไปที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า เยี่ยนจิ่วเฉาก็นั่งชมทิวทัศน์ข้างหน้าต่างคนเดียวอย่างมีความสุข
อวี๋หวั่นเดินไปหา “ท่านลุงตื่นแล้ว”
“อื้อ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างสบายๆ ราวกับว่าไม่ได้สนใจความเป็นความตายของเห้อเหลียนเป่ยหมิง และไม่รู้ว่าคนที่ฆ่านายท่านรองใหญ่ให้ตายไปครึ่งหนึ่งเพื่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงผู้นั้นเป็นใคร
เขาก็เป็นแบบนี้ละ ไม่มีทางพูด ทำแล้วก็ทำเหมือนไม่ได้ทำ
อวี๋หวั่นอมยิ้มพร้อมกับนั่งลงข้างๆ เขา “มองสิ่งใดอยู่หรือ?”
“ทิวทัศน์” เขากล่าว
“สวยหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
ลานด้านหน้าของเขา อวี๋หวั่นก็มองเห็นได้เช่นกัน แต่สิ่งที่มองเห็นในสายตาของแต่ละคนล้วนเป็นทิวทัศน์ที่แตกต่าง
“ไม่งดงามเท่าข้า” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
อวี๋หวั่นสำลัก
นี่พูดกลับกันหรือไม่?
มิใช่ควรพูดว่า ‘ไม่สวยเท่าเจ้า’ หรอกหรือ?
สตรีที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ตรงหน้า แต่เขากลับหลงตัวเองหรือ?
“มาสิ มาสิ! จับข้าสิ! แบร่ แบร่ แบร่!”
เสียงน่าตีหาใดเปรียบของเสี่ยวเป่าดังมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
อวี๋หวั่นเห็นมุมปากของเยี่ยนจิ่วเฉาโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เส้นโค้งนั้นบางเบา แม้ตัวเขาก็ไม่ทันสังเกต
มันคือความรักที่ฝังลงในกระดูก ไม่อาจลบล้าง ไม่อาจสูญสลาย
อวี๋หวั่นนึกถึงมีดไม้เล็กๆ ในมือของเห้อเหลียนเป่ยหมิง “เยี่ยนจิ่วเฉา”
“หือ?”
อวี๋หวั่นถาม “ท่านคิดว่าเห้อเหลียนเซิงเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ “ใช่”
“เอ๋?”
ยามนี้อวี๋หวั่นเกิดความสงสัย นี่ข้าหาได้ล้อเล่นกับท่าน ท่านจะไม่คิดก่อนตอบข้าเลยสักนิดหรือ?
“ข้าหมายถึงเป็นบุตรชายแท้ๆ” อวี๋หวั่นกล่าว “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ยินท่านลุงเอ่ยถึงเห้อเหลียนเซิง ข้ารู้สึกว่าในน้ำเสียงนั้น เขายังรักเด็กคนนั้นมาก”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “บุตรชายของเขา ก็ต้องรักอยู่แล้ว”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างครุ่นคิด “ไม่ได้บอกว่านางถานมีความสัมพันธ์กับชายอื่น และเห้อเหลียนเซิงเป็นสายเลือดของคนอื่นหรอกหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดชะงัก “หือ มีคำพูดเช่นนี้ด้วยรึ”
อวี๋หวั่นมองไปที่เขา “เช่นนั้นท่านคิดว่า แบบใดเป็นความจริง?”
“ไม่รู้” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
อวี๋หวั่นใบหน้ามืดมน “เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านไม่ได้บอกหรือว่าเห้อเหลียนเซิงเป็นบุตรชายของท่านลุง!”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไร้เดียงสา “เดา”
อวี๋หวั่น “…”
หัวข้อสนทนาที่จริงจังเช่นนี้ ท่านก็ยังเดาได้หรือ?
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ เล่นกับปลายนิ้วเรียวของเขา “ข้าก็หวังให้ท่านเดาถูก”
เยี่ยนจิ่วเฉามองนิ้วที่ถูกเธอหักพลางกล่าวว่า “จะใช่หรือไม่ แค่ไปถามก็มิใช่ว่ารู้แล้วหรือ?”
อวี๋หวั่นกะพริบตา “ถามผู้ใด? คงไม่ใช่ท่านลุงกระมัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “นางถาน”
นางถานเป็นมารดาของเห้อเหลียนเซิง นางรู้ดีที่สุดว่าเห้อเหลียนเซิงเป็นบุตรของเห้อเหลียนเป่ยหมิงหรือไม่
หลังอาหารกลางวัน อวี๋หวั่นใช้การไปซื้อถังหูลู่เป็นข้ออ้างเพื่อออกจากจวน ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นด้วยในตอนแรก “…มือสังหารยังจับไม่ได้ หากเจอมันจะทำอย่างไร? ครอบครัวเราไม่ควรมีใครเกิดเรื่องขึ้นอีก”
อวี๋หวั่นเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ท่านสร้างเรื่อง ท่านก็ต้องเก็บกวาด
เยี่ยนจิ่วเฉาต้องโกหกว่ามือสังหารถูกประหารชีวิตแล้ว
นี่คือความจริง เห้อเหลียนเซิงตัวปลอมที่ลอบสังหารเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ตายไปแล้วจริงๆ เขาชิงตายอย่างรวดเร็วจนพวกเขาไม่ทันถามได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เหตุใดถึงลอบสังหารเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ต้องกล่าวว่า จัดการเรื่องมาถึงจุดนี้ได้ นายท่านรองใหญ่นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต เห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกช่วยชีวิตโดยอวี๋หวั่นและชุยเฒ่า ส่วนนายท่านรองใหญ่ แผนแรกไม่สำเร็จก็คิดแผนรอง สุดท้ายก็ชนกับปากกระบอกปืนของเยี่ยนจิ่วเฉา และถูกเยี่ยนจิ่วเฉามองเห็นทะลุปรุโปร่ง
คำกล่าวที่ว่า สวรรค์มีทางไม่เดิน นรกไร้ประตูกลับพังเข้าไป ก็คือเช่นนี้ละ
เมื่อได้ยินว่ามือสังหารตายแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมั่นใจว่าอวี๋หวั่นจะออกจากบ้านอย่างปลอดภัย
อวี๋หวั่นเคยไปที่สำนักแม่ชีของนางถาน สำนักแม่ชีอยู่ใกล้กับวัดพิษซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปทองของราชินีสัตว์พิษ อวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน เธอให้สารถีจอดรถไว้ที่เชิงเขาวัดพิษ และตัดสินใจเดินเท้าขึ้นไปยังสำนักแม่ชี
เพียงแต่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนรู้จักที่นี่
“ใต้เท้าราชครู เชิญทางนี้!”
สาวกวัดพิษคำนับด้วยมือข้างหนึ่ง และนำรถม้าอีกคันออกมาต้อนรับราชครู
ในยามนี้อวี๋หวั่นอยู่ห่างจากรถม้าของเธอแล้ว สายเกินกว่าจะหันหลังกลับ แต่เธอกำลังจะได้พบกับราชครู แม้ว่าเธอจะแต่งตัวเป็นบุรุษ ทว่าใบหน้าก็ยังคงเป็นใบหน้าของเธอ หากราชครูเห็นต้องจำเธอได้แน่
อวี๋หวั่นหมุนตัวหันหลัง เปิดพัดบังใบหน้าฝั่งขวา
ราชครูถูกผู้คนรายล้อมเดินไปด้านหลังของเธอ
เธอรีบเปลี่ยนมือถือ มาบังใบหน้าด้านซ้ายอีกครั้ง
ตอนแรกราชครูหาได้สนใจชายหนุ่มข้างถนน ทว่าเมื่อเขาเดินผ่านไป ทันใดนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด เขาก้าวไปหาอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นอาศัยแสงสว่างเหลือบมองเงาร่างของเขา ทางมืดดูท่าไม่ดี สวรรค์จะฆ่าข้า!
ทันใดนั้น สตรีผู้งดงามมากเสน่ห์ก็เดินเข้ามาคว้าข้อมือของอวี๋หวั่น และกล่าวอย่างหึงหวง “เจ้ามันคนล้อเล่นกับใจสตรี! ในที่สุดข้าก็จับได้แล้ว! ยังคิดจะแอบอีกรึ? แม้เจ้ากลายเป็นขี้เถ้าข้าก็ยังจำได้! นางนั่นละ? ไยไม่อยู่กับเจ้าด้วย? อ้อ ข้ารู้แล้ว นางเดินตามรอยเท้าข้า! พวกผู้ชายน่ารังเกียจเช่นเจ้า ไม่มีอะไรดีแม้แต่น้อย! มานี่เลยนะ! ดูซิว่าวันนี้ภรรยาจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!”
อวี๋หวั่นเพียงแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายลากเข้าไปในป่าไผ่เล็กใกล้ๆ
ผู้คนที่ได้ชมความตื่นเต้นต่างพากันส่งเสียงหัวเราะ
ราชครูคิดว่าตัวเองคงคิดมากเกินไป พลันส่ายหัว เดินไปที่วัดพิษพร้อมกับสาวก
หลังจากวิกฤตคลี่คลาย อวี๋หวั่นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พลันถอนมือออกและกล่าวกับอีกฝ่ายอย่างสุดซึ้ง “ขอบคุณแม่นางต่งสำหรับการช่วยเหลือของท่าน”
ใช่แล้ว สตรีที่ลากบุรุษหลายใจออกไปจากถนน หากไม่ใช่ต่งเซียนเอ๋อร์ จะเป็นผู้ใด?
ต่งเซียนเอ๋อร์มองวี๋หวั่นด้วยรอยยิ้ม ปลายนิ้วยกคางเรียบเนียนขึ้นและกล่าวอย่างมีเสน่ห์ “สามีตัวน้อย ท่านตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากยิ่งนัก”
…………………………………………