หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 254 จดจำได้
ผู้ที่มาเปิดประตูคือข้าราชสำนักฝ่ายในแต่งกายเป็นบ่าว
เขามองดูผู้มาเยือน เมื่อเห็นดรุณีนางหนึ่ง มีทรงผมการแต่งกาย ท่วงท่าสง่าสาม ใบหน้าสะคราญไม่เหมือนผู้ใด ความหวาดระแวงในใจพลันลดลงเล็กน้อย เขาถามเธอว่า “ฮูหยินท่านนี้ มีธุระอะไรหรือ?”
องค์ประมุขกำลังปิดบังตัวตน แต่เพราะเป็นเช่นนี้ จึงต้องปฏิบัตต่อผู้อื่นเฉกเช่นคนปกติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้มาเยือน ข้าราชสำนักฝ่ายในจึงไม่อาจมีท่าทีหมางเมินได้
อวี๋หวั่นเอ่ยถามด้วยความเกรงใจว่า “ข้าอยู่จวนข้างๆ ลูกชายข้ามุดโพรงสุนัขลอดมายังจวนของพวกท่าน ไม่รู้ว่าท่านเห็นเด็กอายุสองสามขวบบ้างหรือไม่?”
คฤหาสน์ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ไหนเลยจะปิดเรื่องต่างๆ ได้เล่า? ตั้งแต่ขันทีหวังเข้าไปยกของกินให้เจ้าเด็กน้อยและองค์ประมุข เรื่องของแขกตัวน้อยก็แพร่สะพัดไปทั่วจวน ทุกคนยังฉงนใจว่าแขกตัวน้อยนี้มาได้อย่างไร ที่แท้ก็มุดโพรงมานี่เอง
ดูเหมือนว่าแขกตัวน้อยคนนี้จะได้รับความเอ็นดูจากองค์ประมุขพอสมควร เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินอวี๋หวั่นบอกว่าเป็นมารดาของเขา ข้าราชสำนักฝ่ายในท่านนี้จึงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจอวี๋หวั่นไปด้วย
ข้าราชสำนักฝ่ายในค้อมกายแล้วบอกว่า “โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรายงาน…นายท่าน”
“ขอบคุณ” อวี๋หวั่นพยักหน้า
ตามหลักแล้ว การไม่เชิญแขกเข้าไปนั้นนับว่าเสียมารยาท แต่อย่างไรเสียด้านในก็เป็นองค์ประมุข หากไม่มีรับสั่ง
พวกเขาก็ไม่กล้าเชิญผู้ใดเข้าไปด้านใน จึงทำได้เพียงปล่อยให้อวี๋หวั่นรออยู่หน้าประตูใหญ่
อวี๋หวั่นกังวลเรื่องที่ลูกตนบุกเข้าไปในบ้านของผู้อื่นมากกว่า เธอยังไม่ทันได้ขอโทษด้วยซ้ำ แน่นอนว่าย่อมไม่มาสนใจเรื่องมารยาท
อวี๋หวั่นยืนรอด้านนอกอย่างใจเย็น
ข้าราชสำนักฝ่ายในกระวีกระวาดไปกราบทูลองค์ประมุข พระองค์และเด็กน้อยเปลี่ยนทำเลเสียแล้ว พวกเขากำลังตรงไปยังสวนผลไม้ในคฤหาสน์
ผลสาลี่และผลส้มในสวนนั้นสุกได้ที่ ส่งกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ ก่อนหน้านี้องค์ประมุขก็เดินผ่านที่นี่ ทว่าไม่เคยเข้าไปสักที
ต้าเป่าคิดว่าตนยังอยู่ในจวนสกุลเห้อเหลียน และคิดว่าที่นี่เป็นสวนผลไม้บ้านตน จึงจูงมือองค์ประมุขเข้าไปในเขตเรือน แล้วบุ้ยใบ้ให้เขาเด็ดผลไม้อย่างใจกว้าง
องค์ประมุขเด็ดผลไม้จริงๆ เสียด้วย
องค์ประมุขผู้ซึ่งได้แต่เรียกใช้ผู้อื่น ไม่คาดคิดเลยว่าจะวันที่เขาถูกเด็กน้อยอ้วนจ้ำม่ำเรียกใช้ ขันทีหวังคิดว่าชีวิตตนใกล้ถึงคราวหาไม่แล้วกระมัง ทันทีที่องค์ประมุขตั้งสติได้ว่าตนทำอะไรลงไป อย่างน้อยจักต้องฆ่าล้างตระกูลทุกคนที่เห็นความน่าอัปยศของพระองค์เป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ ขันทีหวังจึงแอบกินผลไม้ซึ่งปกติแล้วไม่กล้ากิน
ไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว ยังไม่ให้กินผลไม้อีกหรือ?
“ขันทีหวัง” ข้าราชสำนักที่เฝ้าหน้าประตูเข้ามาแจ้ง
“มีเรื่องอะไร?” ขันทีหวังถามอย่างไม่สบอารมณ์
ข้าราชสำนักฝ่ายในหนุ่มชะงักไป ขันทีหวังเป็นอะไรไป? ท่าทางโมโหควันออกหูอย่างกับมีคนมายืมเงิน
“ข้าถามว่ามีอะไร!”
ขันทีหวังซึ่ง ‘ใกล้ตาย’ ระเบิดอารมณ์ออกมา
ข้าราชสำนักฝ่ายในหนุ่มตั้งสติได้ จึงรีบเล่าให้เขาฟังว่ามารดาของแขกตัวน้อยมา
“นางเป็นคนบ้านไหน?” ขันทีหวังถาม
ข้าราชสำนักฝ่ายในหนุ่มร้อง ‘ไอ้หยา’ แล้วตอบว่า “เมื่อครู่ข้าตกใจ จน…จนลืมถาม…”
แม้แต่สถานะของอีกฝ่ายยังไม่รู้ อยากให้เขาตายตาไม่หลับหรืออย่างไร? ขันทีหวังรู้สึกว่าหัวใจของเขาหนัก
อึ้ง เมื่อเห็นองค์ประมุขซึ่งกำลังเก็บผลไม้ราวกับคนเสียสติ ก็คิดว่าหากเข้าไปตอนนี้ตนอาจเข้าไปขัดจังหวะคนชรา และนั่นอาจทำให้เขาได้รับโทษหนักกว่าเดิมก็เป็นได้
ดังนั้นขันทีหวังจึงรออีกสักพัก
โชคดีที่ต้าเป่าเริ่มง่วง เขาหาวหวอด และเริ่มคิดถึงแม่
ต้าเป่ามองซ้ายมองขวา มองไปรอบๆ ก็ไร้วี่แววของท่านแม่ ขันทีหวังจึงอาศัยจังหวะนั้นเดินเข้าไป และกราบทูลเรื่องมารดาของเด็กน้อยให้องค์ประมุขฟัง
องค์ประมุขมองไปยังเด็กน้อยซึ่งใช้มือข้างหนึ่งจับมือของพระองค์ อีกข้างหนึ่งกำละขยี้ตาเบาๆ
หากถามขันทีหวังแล้ว เด็กคนนี้คงจะไม่ธรรมดา ไม่เพียงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู นิสัยยังน่าสนใจ ตัวก็อ้วนกลมน่ารัก ไม่ร้องไห้งอแง ทั้งยังทำให้องค์ประมุขยิ้มได้ดีด้วย…กระมัง?!
องค์ประมุขมองไปยังเด็กน้อย “พาไปส่งเถิด ดูให้ดีว่าเป็นแม่ของเขาจริงหรือไม่”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังพาเด็กน้อยซึ่งจูงมือองค์ประมุขไป
ไอ้หยา! ข้าก็ใจอ่อนเหมือนกัน
ขันทีหวังอดไม่ได้ที่จะบีบแขนนิ่มๆ ของเขา
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าองค์ประมุขมีสีหน้าถมึงทึงขึ้นเล็กน้อย ขันทีหวังจึงจัดแจงจูงต้าเป่าให้เหมาะสม
จะบีบนิดหน่อยก็ไม่ได้ องค์ประมุขใจแคบเสียจริง!
ขันทีหวังจูงต้าเป่าไปยังทิศของประตูใหญ่
เป็นเพราะรู้ว่ากำลังจะได้พบท่านแม่ ต้าเป่าจึงไม่งอแง และให้ขันทีหวังจูงไปแต่โดยดี
เด็กน้อยซึ่งเมื่อครู่ตามติดเขาแจ บัดนี้กลับยอมไปกับคนอื่นอย่างว่าง่าย ทำให้องค์ประมุขรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง
ขันทีหวังจูงเด็กน้อยเดินไปตลอดทาง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดองค์ประมุขจึงได้หลงใหลเด็กคนนี้ เขานั้นว่าง่ายเหลือเงิน เห็นได้ชัดว่าง่วงจะแย่แล้ว เดินสัปหงกราวกับไก่กำลังจิกเมล็ดข้าว แต่ก็ยังไม่ร้องไห้งอแง
โอ้ เขาเองก็ชอบเด็กคนนี้!
ข้าราชสำนักฝ่ายในลอบคิดว่า หากผู้ที่มานั้นไม่ใช่แม่ของเด็กน้อยจริง เขาจะได้ให้เด็กคนนี้อยู่ทีนี่อย่างเปิดเผย
ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่ความคิดนี้แล่นปราดเข้ามาในสมองเด็กน้อยก็ลืมตาตื่น ปล่อยมือจากเขา แล้ววิ่งเตาะแตะออกไป
ต้าเป่าโผเข้าหาอ้อมอกของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นอุ้มต้าเป่าขึ้นมา
มือเล็กของต้าเป่าเกาะแขนของอวี๋หวั่น ศีรษะน้อยๆ พิงหัวไหล่ของอวี๋หวั่นผล็อยหลับไป
เด็กน้อยคลานเข้าไปในโพรงสุนัขลอดโดยไม่บอกกล่าว เดิมทีอวี๋หวั่นคิดจะสั่งสอนเขาสักหน่อย แต่เมื่อเห็นเขาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ หัวใจของเธอก็แทบจะหลอมเหลวเป็นน้ำอย่างไรอย่างนั้น
อวี๋หวั่นหอมหน้าผากของเขา “คิดถึงแม่แล้วหรือ?”
ต้าเป่าพยักหน้า มือน้อยของเขากอดอวี๋หวั่นแน่นกว่าเดิม
คนผู้นี้คือแม่แท้ๆ ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ขันทีหวังรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะอะไร เขาต้องการพาเด็กคนนี้กลับบ้านจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน
เขาก็อยากรู้ว่ามารดาของเด็กคนนี้คือใคร
สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย
เมื่อไม่เห็นก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ทันทีที่เห็น เขากลับรู้สึกคุ้นหน้า…ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
อวี๋หวั่นเห็นว่ามือน้อยของลูกชายถูกล้างจนสะอาด ท้องก็กลม ในใจเธอคิดว่าลูกชายเข้ามาในบ้านของผู้อื่นเช่นนี้ อาจถูกกล่าวโทษบ้าง แต่แท้จริงแล้วกลับได้รับการต้อนรับจากเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณขันทีหวังด้วยความจริงใจ ทั้งยังบอกด้วยว่าตนอยู่จวนข้างๆ ภายภาคหน้ามีเรื่องอะไรสามารถไปหาเธอได้ เธอชื่อว่าเยี่ยนหวั่น
เยี่ยนหวั่นหรือไม่เยี่ยนหวั่น ขันทีหวังมิได้นำมาใส่ใจ เขากำลังขบคิดว่าตนเคยเห็นใบหน้านี้ที่ใดมาก่อน
“ขันทีหวัง เป็นอะไรหรือ? ฮูหยินท่านนั้นมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลหรือ? ตั้งแต่ท่านเห็นนางก็สติเตลิด” ข้าราชสำนักฝ่ายในที่เฝ้าประตูเอ่ยถาม
ขันทีหวังถลึงตาใส่เขา “ไปๆๆๆ! ใครสติเตลิดกัน? พวกเราเป็นขันที หากสิ่งที่เจ้าพูดแพร่งพรายออกไป จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”
แต่ท่านสติเตลิดจริงๆ นี่ ข้าราชสำนักฝ่ายในหนุ่มแอบคิดในใจ
ขันทีหวังกลับไปกราบทูลองค์ประมุข เมื่อครู่ยังเป็นท่านปู่ใจดี บัดนี้กลับมานั่งหัวเดียวกระเทียมลีบท่าทางซึมเซาเหงาหงอยในคฤหาสน์
พระองค์นั่งอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงหน้าเป็นผลไม้ที่เด็กน้อยเด็ดให้เขา
“กลับไปแล้วหรือ?” องค์ประมุขถาม
“กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทันทีที่เด็กน้อยเห็นแม่ ก็โผเข้าหาเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังอธิบายโดยละเอียด
องค์ประมุขนึกภาพของต้าเป่า จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา
พระองค์ชอบหัวเราะ แต่ผู้ที่เข้าใจจะไม่มีใครชอบรอยยิ้มของพระองค์ เพราะเมื่อใดที่พระองค์หัวเราะ นั่น
หมายความว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เหล่าขุนนางต่างลอบตั้งสมญานามให้ว่า ‘รอยยิ้มดุจพยัคฆ์’
เพราะฉะนั้นรอยยิ้มดุจพยัคฆ์นี้ก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน?
ขันทีหวังไม่เข้าใจ และไม่กล้าถามอีกด้วย
ขณะที่กำลังอยู่ในห้วงความคิดอยู่นั้น ข้าราชสำนักฝ่ายในหนุ่มก็วิ่งกระหืดกระหอบมา เหล่าข้าราชสำนักฝ่ายในถูกองค์ประมุขรับสั่งให้สวมชุดของสามัญชน ทว่าข้าราชสำนักฝ่ายในคนนี้กลับสวมชุดขุนนางเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งมาจากวังหลวง
“ถวายพระพรฝ่าบาท” ข้าราชสำนักฝ่ายในคุกเข่าคำนับ
ขันทีหวังจำเขาได้ เขาแซ่จาง ไม่ใช่คนขององค์ประมุขหรือฮองเฮา แต่เป็นคนสนิทของคนผู้นั้น
ขันทีจางกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท อวิ๋นเฟยป่วยอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นางป่วยก็ไปหาหมอ มาหาเราทำไม?” องค์ประมุขตอบ
องค์ประมุขพระองค์นี้แตกต่างจากองค์ประมุของค์ก่อน พระองค์ใจแข็ง ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ค่อยโอ้อวดถึงความสามารถของพระองค์ น้อยครั้งมากที่จะได้ยินพระองค์เรียกแทนตนเองว่า ‘เรา’ ทุกครั้งที่พระองค์เรียกตนเองเช่นนี้ ก็มักจะตามมาพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ขันทีจางกัดฟันพูดออกไปว่า “อวิ๋นเฟยไม่กินอะไรมาสามวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ อวิ๋นเฟยบอกว่าฝ่าบาททรงไม่ไปพบนาง นางก็จะยังไม่กินข้าว”
ในสายตาของผู้คนทั่วไป อวิ๋นเฟยยินดีย้ายเข้าไปในหอบูชาเทพเจ้า บูชาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งวัน แต่ในความจริงแล้วนางถูกฝ่าบาทขังไว้ที่นั่น นางจะอาละวาดทุกสองสามวัน ฝ่าบาททรงรำคาญนานแล้ว
ขันทีหวังมององค์ประมุข เป็นอย่างที่คิด พระองค์ไม่ขยับเปลือกตาเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ตรัสนิ่งๆ ว่า “เจ้าไปบอกนาง เราจะไม่ไปพบนาง นางอยากกินหรือไม่ จงไปเตือนนางอีกครา เหล่าสนมที่ปลิดชีพตนเองจะถูกประหารทั้งโคตร”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีจางเดาได้แต่แรกแล้วว่าองค์ประมุขจะไม่ยี่หระ ทว่าเขาเป็นข้ารับใช้ หากไม่รุดมาที่นี่ อวิ๋นเฟยก็คงฆ่าเขาตาย ขันทีจางรีบกลับตำหนักไปรายงาน
หลังจากเล่นกับเด็กน้อยมาตลอดทั้งบ่ายจนอารมณ์ดี บัดนี้ได้ถูกอวิ๋นเฟยทำให้หม่นหมองเสียแล้ว องค์ประมุขรู้สึกเดือดดาล “นางมีปัญหามานับสิบปี ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ? ไม่ว่าอย่างไรเราก็ไม่ยอมรับเด็กนั่น นางโวยวายไปแล้วทำอะไรได้?”
เด็กนั่น?
ตี้จีองค์โต?
ขันทีหวังตบหน้าผากตนเองอย่างแรง “ไอ้หยา!”
สตรีคนเมื่อครู่ หน้าตาเหมือนตี้จีองค์โตราวกับถอดแบบกันออกมาเลยมิใช่หรือ?
……………………………..