หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 26.2 พี่จิ่วรับผิด ท่านพ่อออกจากคุก (2)
ฟ้าสว่างแล้ว เรื่องที่อวี๋เซ่าชิงกลับมายังคุกหลวงก็ได้แพร่สะพัดออกไป ว่ากันว่าพบตัวผู้ร้ายแล้ว เป็นนักโทษประหารในคุกหลวงคนหนึ่ง เขาติดสินบนพัศดีในคุกหลวง ทั้งสองร่วมมือกันพาอวี๋เซ่าชิงออกมา กล่าวกันว่าที่นักโทษคนนี้ทำเช่นนี้ ก็เพราะอวี๋เซ่าชิงเคยมีบุญคุณกับเขา เขาจึงเสี่ยงชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนเป็นถึงนักโทษประหาร หลบหนีพ้นก็นับว่าเป็นโชค หากถูกจับได้ก็คงหนีความตายไม่พ้น
คำบอกเล่าเหล่านี้คนอื่นคงเชื่อ แต่เยี่ยนไหวจิ่งไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะว่าหลังจากที่เขาเจอกับเยี่ยนจิ่วเฉา เขาและจวินฉางอันก็สะกดรอยตามไป เห็นกับตาตนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาพาอวี๋เซ่าชิงไปส่งยังคุกหลวง หลังจากนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาก็เข้าวัง และภายหลังก็มีข่าวลือเรื่องผู้ร้ายแพร่ออกไป
“เขาเป็นคนช่วยอวี๋เซ่าชิงกลับมา หากอวี๋เซ่าชิงถูกนักโทษประหารจับไปจริง เขาก็ควรจะจับนักโทษคนนั้นกลับมาด้วย แต่ข้าเห็นเพียงอวี๋เซ่าชิง ไม่เห็นนักโทษคนนั้นเลย”
ในตำหนักของเสียนเฟย เยี่ยนไหวจิ่งเล่าถึงความสงสัยของตนให้มารดาฟัง
สวี่เสียนเฟยกำลังจัดดอกไม้ ตัดก้านดอกไม้พลางกล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้ ในใจเจ้ารู้ดีก็พอแล้ว”
เยี่ยนไหวจิ่งชะงักไป “เสด็จแม่หมายความว่าอย่างไร?”
สวี่เสียนเฟยหยิบดอกโบตั๋นสวยสดขึ้นมาปักลงในแจกัน “ในใต้หล้า มีผู้ใดที่จะยอมให้เสด็จพ่อของเจ้าปกปิดเรื่องนี้ให้?”
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว “คนที่ลักพาตัวอวี๋เซ่าชิงไป…ก็คือเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ? เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานเขายังไปตามหาคน เมื่อได้ยินว่าอวี๋เซ่าชิงหายตัวไป สีหน้าตกใจของเขามิได้เสแสร้ง”
สวี่เสียนเฟยยิ้มน้อยๆ “หากไม่ใช่เขา ก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเขา”
เยี่ยนไหวจิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง “บุกคุกหลวงมีโทษถึงประหาร เหตุใดเสด็จพ่อถึงยังตามใจเขาอยู่?”
สวี่เสียนเฟยเลือกดอกโบตั๋นมาดอกหนึ่ง “เขาเหลือเวลามีชีวิตอยู่อีกแค่สองปี เสด็จพ่อเจ้าตามใจเขาแล้วอย่างไร? อย่างไรเสีย ที่ชีวิตเขาสั้นถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะเสด็จพ่อของเจ้า”
“เขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดหรือ?” สวี่เสียนเฟยไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงเรื่องอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉาสักเท่าไร ดังนั้นเยี่ยนไหวจิ่งจึงไม่ค่อยรู้เรื่องนี้
สวี่เสียนเฟยวางดอกโบตั๋นไว้ด้านข้าง แล้วเลือกดอกเสาเย่าขึ้นมาดอกหนึ่ง “เจ้าเด็กโง่ พวกเราเป็นราชวงศ์ ทายาทของราชวงศ์เรามีคนที่ร่างกายอ่อนแอโดยกำเนิดหรือไม่เล่า? มีแต่คนที่ตายตั้งแต่ยังไม่คลอดและคนที่เลี้ยงไม่โต”
เรื่องของวังหลัง เยี่ยนไหวจิ่งไม่ค่อยอยากรู้เท่าไรนัก
สวี่เสียนเฟยตัดดอกโบตั๋นดอกใหญ่ที่สุด แล้วนำดอกเสาเย่าในมือปักเข้าไป “บางเรื่องเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจนัก ขอเพียงเจ้าจำเอาไว้ว่าเสด็จพ่อของเจ้ารู้สึกผิด จึงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกอิจฉาเขา”
เยี่ยนไหวจิ่งเงียบ เป็นเพราะรู้สึกผิดเท่านั้นหรือ? เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเหตุผลไม่ได้มีเพียงเท่านี้กันเล่า?
……
คุณชายเยี่ยนซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาปล่อยให้ผู้อื่นยอมรับผิดแทน หลังจากเข้าห้องทรงพระอักษรไปได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ครานี้ก็ต้องแบกรับความผิดมากกว่าที่ทำมาทั้งชีวิตเสียอีก
เพราะฉะนั้น ทำสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นย่อมคืนสนอง
ฮ่องเต้โกรธอย่างถึงที่สุด หากไม่ได้ขันทีวังช่วยเกลี้ยกล่อมว่าคุณชายไม่สบาย ไม่รู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ ฮ่องเต้คงอดรนทนไม่ได้ สั่งประหารเยี่ยนจิ่วเฉาไปเสียแล้ว
กระนั้น ต่อให้พ้นโทษประหาร แต่ก็ยังต้องได้รับโทษสถานอื่น เยี่ยนจิ่วเฉาถูกหักเงินเป็นเวลาหนึ่งปี ปิดประตูทบทวนตนเองหนึ่งเดือน ถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ ทว่าเขาเป็นคนป่วย องครักษ์จึงรับโทษนี้แทน
อิ่งสือซันถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ ถูกโบยจนเขาร้องโอดโอย เมื่อโบยเสร็จ เขาก็เดินหัวทิ่มหัวตำ โซซัดโซเซไปยังคุกหลวง
แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคุกหลวงจะได้รับการ ‘เปิดเผยความจริง’ อวี๋เซ่าชิงก็ยังมิได้รับการชำระมลทิน เขายังคงเป็นนักโทษประหารที่ขัดคำสั่งแม่ทัพเซียว ขโมยรายชื่อสายลับ และหลอกลวงฮ่องเต้ มีเพียงโจวไหวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะยืนยันได้ว่า ตั้งแต่แม่ทัพเซียวได้รับรายชื่อนั้นจนจากโลกนี้ไป เขายังไม่เคยพบกับเหยียนฉงหมิงเป็นการส่วนตัว
ขอเพียงยืนยันได้ว่าทั้งสองยังไม่เคยไปมาหาสู่กัน ก็จะพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เหยียนฉงหมิงอ้างว่าแม่ทัพเซียวมอบรายชื่อให้ตนนั้นล้วนเป็นความเท็จ
เพียงแต่ในตอนนี้โจวไหวหายตัวไป และคงไม่อาจตามเขาพบอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น
“ช่วงนี้คงมีการเคลื่อนไหวภายในกองทัพ” ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้เอ่ยถามเสนาบดีกรมทหาร
หลังจากชนะสงคราม ทหารปลดประจำการกลับบ้านเกิดไปแล้ว ส่วนทหารที่ยังไม่ปลดประจำการก็ยังคงอยู่ในค่ายต่างๆ ของเมืองหลวง ทหารจำนวนไม่น้อยรู้จักอวี๋เซ่าชิง สำหรับพวกเขาแล้ว อวี๋เซ่าชิงไม่ใช่คนที่จะเป็นขโมยอย่างแน่นอน
เสนาบดีกรมทหารกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี?” ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ไม่มีผู้ใดคิดว่าอวี๋เซ่าชิงถูกใส่ร้ายเลยหรือ?”
เสนาบดีกรมทหารกล่าวว่า “อวี๋เซ่าชิงประจำการในค่ายใหญ่ซีเป่ยมายาวนานที่สุด เขารู้จักคนในค่ายจำนวนมาก ทว่าค่ายใหญ่ซีเป่ยถูกบุกโจมตีกลางดึกคืนหนึ่ง ทหารที่มีชีวิตรอดกลับมายี่สิบสามสิบคนล้วนกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว…ได้ยินว่า พวกเขากำลังตามหาหลักฐานมายืนยันว่าอวี๋เซ่าชิงบริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
ยี่สิบสามสิบคนนั้นมิได้อยู่ในสายตาของฮ่องเต้ กองทัพไม่มีการเคลื่อนไหว ก็หมายความว่าเซียวเจิ้นถิงสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง และยังหมายความว่าอวี๋เซ่าชิงอะไรนี่มิได้น่ากลัวอย่างที่ตนจินตนาการ
“แต่ว่า…” เสนาบดีกรมทหารพูดแล้วก็หยุด ราวกับว่ามีสิ่งใดในใจ
ฮ่องเต้กล่าวว่า “แต่ว่าอันใด? เจ้าพูดมาอย่าได้ปิดบัง เราละเว้นโทษเจ้า”
เสนาบดีกรมทหารเป็นญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้ ซื่อสัตย์และภักดี ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
เสนาบดีกรมทหารกล่าวว่า “เหยียนโหวไม่เพียงสังหารอูเหิงอ๋อง ทั้งยังนำเหล่าทหารข้ามหุบเขามรณะ นำรายชื่อมาถึงโยวโจวได้อย่างไม่กลัวตาย เรียกได้ว่ามีทั้งความอาจหาญและกลยุทธ์ อีกทั้งเหยียนโหวยังเกิดในตระกูลแม่ทัพ…”
ฮ่องเต้กล่าวอย่างหมดความอดทน “พูดภาษาคน”
เสนาบดีกรมทหารฝืนใจพูดต่อไปว่า “ในกองทัพลือกันว่า…เหยียนโหวอาจเป็นแม่ทัพใหญ่เซียวคนต่อไป”
“ไร้สาระ!” ฮ่องเต้ใช้กำปั้นทุบโต๊ะ
เซียวเจิ้นถิงเป็นเหมือนหนามยอกอกของฮ่องเต้มาโดยตลอด สังหารก็ไม่ได้ เลื่อนตำแหน่งก็ไม่ดี หากสังหารเขาเสีย ก็อาจเกิดเรื่องทั้งในและนอกราชสำนัก หากไม่สังหาร เซียวเจิ้นถิงก็จะมีอำนาจเหนือพระองค์
เพราะฉะนั้น คำพูดจำพวกการเทียบชั้นเหยียนโหวและเซียวเจิ้นถิงนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยขึ้นเป็นที่สุด
วันต่อมา ฮ่องเต้ได้รับฎีกาจากเหล่าขุนนาง ส่วนใหญ่ก็ขอร้องให้พระองค์สั่งประหารอวี๋เซ่าชิงโดยเร็ว และยกยอปอปั้นเหยียนฉงหมิงยกใหญ่ เรียกร้องให้พระองค์เลื่อนตำแหน่งให้เขาเพิ่ม
ฮ่องเต้แค่นหัวเราะด้วยความโกรธ “เราให้เขาเป็นท่านโหวแล้ว ยังอยากได้ตำแหน่งสูงกว่านี้อีกหรือ? คงจะไม่ได้ เราต้องให้ตำแหน่งใดเขาดีเล่า แม่ทัพใหญ่หรือผู้บัญชาการทัพ?”
ฝูงชนช่วยกันเติมฟืน บางครั้งอาจมิได้มาพร้อมกับเปลวไฟที่โชติช่วง แต่มาพร้อมกับมีดที่มองไม่เห็น
เช้าวันที่สี่ ขุนนางคนหนึ่งซึ่งปกติมักจะสงบเสงี่ยมไม่พูดจากลับลุกขึ้นยืน แล้วทูลฮ่องเต้ว่า “รายชื่อนั้นแท้จริงแล้วส่งให้ผู้ใด ทั้งสองฝ่ายต่างมีคำพูดของตนเอง ในเมื่อไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าอวี๋เซ่าชิงไร้ความผิด และไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าอวี๋เซ่าชิงมีความผิด จะใช้คำบอกเล่าของเหยียนโหวจับอวี๋เซ่าชิงเข้าคุกหลวง ออกจะไม่เหมาะเท่าไรนัก ตามความเห็นของกระหม่อม ทั้งสองล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย หากจะจับก็จับไปด้วยกัน เหยียนโหวก็สมควรเข้าคุกเช่นกัน!”
“เจ้า…” เหยียนฉงหมิงโทสะพลุ่งพล่าน
“จับวีรบุรุษสงครามเข้าคุกหลวงเช่นนั้นย่อมต้องทำให้ประชาชนเศร้าโศก…แต่ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล…” ฮ่องเต้เผยสีหน้าขมขื่น
เสนาบดีกรมทหารลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน “ฝ่าบาท มิสู้ปล่อยตัวอวี๋เซ่าชิงออกมาก่อน รอจนมีหลักฐานเพียงพอแล้วค่อยจับเขามาลงโทษ เช่นนี้ก็จะไม่เป็นข้อครหาแก่ประชาชนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………………………