หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 262 ซิวหลัวแห่งเผ่าปีศาจ
อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนอย่างรวดเร็ว
ทว่าหนานกงหลีและราชครูซึ่งอยู่ในสำนักราชครูยังไม่รู้ว่ามีเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้น
ถึงตาราชครูเดินหมาก แต่เขากลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หนานกงหลีเข้าใจว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ยังคงยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ราชครูกังวลเรื่องใดหรือ”
“ไม่มีอะไร” ราชครูหลุดจากภวังค์ หยิบหมากมาวาง
หนานกงหลีชี้ไปยังที่ว่างด้านข้าง “หากเมื่อครู่ราชครูวางตรงนี้ หมากตานี้ข้าก็คงแพ้ไปแล้ว แต่ท่านพลาดไป ราชครูย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ราชครูยอมให้ข้า หรือว่าแท้จริงแล้วไม่อยากเดินหมากกับข้ากันแน่?”
“องค์ชายคิดมากไปแล้ว” ราชครูตอบ
องค์ชายน้อยกลับมิได้รีบร้อนเดินหมากจนราชครูหมดหนทางรอด เขาวางหมากลงบนตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้อง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ราชครูกำลังนึกถึงเจ้าโจรนั่นอยู่หรือ?”
ราชครูไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “ข้าคิดไม่ออกว่าเขาเป็นใคร มาทำอะไรที่สำนักราชครู”
หนานกงหลีแค่นเสียง ‘หึ’ แล้วบอกว่า “หากไม่ได้มาสืบข้อมูลก็ขโมยของ ราชครูมีของอะไรหายไปหรือไม่?”
ราชครูส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่กระจ่าง”
สำนักราชครูใหญ่เพียงนี้ หากไม่ใช่คนหายไป ไหนเลยจะตรวจสอบได้ง่ายๆ?
หนานกงหลีมิได้รบเร้า “ไม่ต้องรีบร้อน รอให้จับโจรได้ก่อนแล้วค่อยตรวจสอบให้ละเอียด”
ทันทีที่พูดจบ ลูกศิษย์สำนักราชครูคนหนึ่งก็วิ่งหัวหกก้นขวิดเข้ามา “ราชครูขอรับ!”
ราชครูเห็นท่าทางร้อนเช่นนี้ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น”
ลูกศิษย์อ้าปากพะงาบ มองไปยังราชครู จากนั้นก็มองไปยังหนานกงหลี เขาไม่รู้ว่าควรบอกว่าอย่างไรดี
หนานกงหลีเอ่ยขึ้นว่า “มีอะไรก็ว่ามาตามตรง พวกเขาถูกจับได้หรือว่าหนีไปได้?”
ลูกศิษย์กัดฟันพูดออกไปว่า “นะ…หนีไปแล้วขอรับ…”
“หนีไปแล้ว?” หนานกงหลีตะลึงงัน
“พวกเจ้าไม่ได้ตามไปรึ?” ราชครูถาม
“ตามแล้วขอรับ! แต่ว่า…” ลูกศิษย์เหลือบมองหนานกงหลีอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หนานกงหลีจึงบอกว่า “เลิกอมพะนำสักที มีอะไรก็พูดมาตามตรง”
“ขอรับ!” ลูกศิษย์ก้มหน้างุด “หน่วยกล้าตายที่ส่งไป…ตะ…ตายหมดแล้วขอรับ…”
อีกทั้งยังตายอย่างอนาถอีกด้วย ซากศพก็ไม่สมบูรณ์ เขาไปดูในป่ามาแล้ว สภาพน่าเวทนาจนมิอาจทนดูได้ ลูกศิษย์สำนักราชครูหลายคนกลัวจนอาเจียนออกมา เขายังนับว่าจิตแข็ง แต่เมื่อหวนนึกถึงภาพนั้น เขาก็อดขาสั่นขึ้นมาไม่ได้
“ตายหมดแล้ว? ไม่เหลือเลยสักคน?” ราชครูมีสีหน้าย่ำแย่ หน่วยกล้าตายที่ส่งไปเหล่านั้นล้วนเป็นหัวกะทิของสำนักราชครู เจ็ดแปดคนในนั้นยังเป็นหน่วยกล้าตายหน้ากากทอง ตายง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“ใครฆ่า?” หนานกงหลีถาม
“เป็น…ใต้เท้าท่านนั้น…ที่องค์ชายพามาขอรับ…” ลูกศิษย์ทำใจดีสู้เสือ
ราชครูมองไปยังหนานกงหลีด้วยสีหน้าเย็นชา หนานกงหลีหยิบหมากเก็บใส่กล่อง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “นำทาง”
ลูกศิษย์ตอบว่า “ขอรับ!”
ด้วยการนำทางของลูกศิษย์คนนี้ หนานกงหลีและราชครูก็ควบม้ามาถึงจุดเกิดเหตุ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งระคนกับกลิ่นดินและต้นหญ้าถูกพัดตามลมเหนือแผ่นน้ำมาแตะจมูกของพวกเขา
ทุกคนต่างรู้สึกคลื่นเหียนราวกับอวัยวะภายในกำลังบิดวน ลูกศิษย์บางคนถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที
ราชครูจับจ้องไปยังเศษซากที่กองอยู่บนพื้นหญ้า ฝ่ามือใหญ่กำแน่น
เขาสูดหายใจเข้าลึก “องค์ชาย…”
หนานกงหลียกมือขึ้น “ข้าเข้าใจ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะข้า หน่วยกล้าตายที่ตายไป ข้า
จะชดใช้ให้ทั้งหมด”
พูดจบ หนานกงกลีก็ไม่สนใจราชครูอีก เขาเพียงเดินไปยังริมน้ำ
ซิวหลัวนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีเลือดของเขาจับจ้องไปยังผิวน้ำซึ่งทอประกายใต้แสงจันทร์
“เจ้าเป็นอะไร” หนานกงหลีเดินเข้าไป คำพูดของเขาฟังดูคล้ายกับถามว่าซิวหลัวเป็นอย่างไร แต่ก็ฟังดูคล้ายกับถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ทว่าซิวหลัวไม่ตอบ สายตายังคงจ้องมองผิวน้ำเบื้องหน้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เขาถูกขังมานาน และยังทนทุกข์ทรมานมานานเหลือเกิน เพิ่งออกมาได้ไม่เท่าไรก็ลงมือสังหารคนที่ไม่ควรสังหาร แต่ต่อมาหนานกงหลีก็สามารถควบคุมซิวหลัวได้ และไม่เกิดปัญหาตามมาอีก
วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หน่วยกล้าตายนับสิบคนถูกเขาสังหารทั้งหมด
อย่าว่าแต่ราชครูที่เจ็บใจเลย เขาเองก็เจ็บใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ซิวหลัวก็มีค่ามากกว่าหน่วยกล้าตายเหล่านั้นไม่รู้เท่าไร เพราะฉะนั้นต่อให้หนานกงหลีจะเจ็บใจมากเท่าไร เขาก็ไม่คิดจะกำจัดซิวหลัวเป็นอันขาด
แน่นอนว่าหนานกงหลีไม่รู้เหตุผลแท้จริงที่ซิวหลัวเกิดโทสะ เขาคิดว่าซิวหลัวควบคุมตนเองไม่ได้ เขายื่นมือออกไปแตะไหล่ของซิวหลัวเบาๆ พร้อมกับกล่าวปลอบว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ข้าจะพาเจ้ากลับไป ก่อน”
ซิวหลัวลุกขึ้นยืน
หนานกงหลีพาเขากลับในทางเดียวกับที่พวกเขาเข้ามา
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซิวหลัวก็หันหลัง มองไปยังป่าทึบ
“เจ้ามองอะไร?” หนานกงหลีถามด้วยความแปลกใจ
ซิวหลัวมิได้สนใจ เดินดุ่มๆ ออกไป
ซิวหลัวกำลัง…โศกเศร้าอยู่หรือ? หนานกงหลีพลันรู้สึกตกตะลึง ซิวหลัวเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร เขาปราศจากอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป มีเพียงบ้าคลั่งและไม่บ้าคลั่ง ดังนั้นพวกความรู้สึกโศกเศร้าอะไรเทือกนั้น เขาคงเข้าใจผิดไปเอง
หนานกงหลีพาซิวหลัวกลับจวนประมุขหญิง ตรงไปยังเรือนซึ่งให้คนเก็บกวาดเรียบร้อย เดิมทีคืนนี้เขาไม่คิดจะพาซิวหลัวมาด้วย เพิ่งจะออกมาจากจวนก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าโจรนั่นมีพรรคพวก และมีความเป็นไปได้ว่าพรรคพวกของเขาจะต้องบุกเข้าไปในคุก เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงพาซิวหลัวไปด้วย
ไหนเลยจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น จับโจรก็ไม่ได้ แถมยังสังหารหน่วยกล้าตายของสำนักราชครูไปเกือบหมด
หนานกงหลีรู้สึกคับอกคับใจเหลือเกิน
หนานกงหลีคิดว่าตนจำต้องคุยกับซิวหลัวสักหน่อย ตอนที่พาซิวหลัวออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามในเผ่าปีศาจนั้น หนานกงหลีได้ทำข้อตกลงกับเขาไว้แล้ว เขาต้องเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นหนานกงหลีก็จะไปเรียกเผ่าปีศาจมาจับเขากลับไป
ซิวหลัวกลับห้องของตนไป
เมื่อหนานกงหลีระงับความรู้สึกของตนได้แล้ว ก็เดินกลับเรือนไปหายาบำรุงมาให้ซิวหลัว
ซิวหลัวผู้นี้เป็นซิวหลัวที่รักความสะอาด ห้องของเขาเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีคนเข้าพักมาก่อน เตียงนอนก็ปราศจากรอยยับย่น แตกต่างกับตัวเขายามสังหารคนจนเลือดสาดราวฟ้ากับดิน
หลังจากที่เขากลับห้องมาก็อาบน้ำชำระร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นั่งนิ่งๆ อยู่ที่เก้าอี้
เมื่อก่อนเขาก็นั่งนิ่ง แต่ในวันนี้ไม่เหมือนเดิม ทว่าไม่เหมือนเดิมอย่างไรนั้น หนานกงหลีก็บอกไม่ถูก
หนานหงหลีตั้งสติ ส่ายหน้าแล้วหัวเราะเย้ยหยันตนเอง ไม่ใช่แค่เครื่องมือสังหารหรอกหรือ? ไฉนตนต้องมองว่าเขาเป็นคนด้วย?
“ซิวหลัว” หนานกงหลีเดินเข้าไปนั่งลงข้างซิวหลัว เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ปะทุอยู่ในร่างของซิวหลัว ทว่าพลังเหล่านี้เบาลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
เขาส่งขวดยาใบเล็กให้ซิวหลัว “ให้เจ้า”
ในขวดยาบรรจุยาสำหรับบรรเทาความเจ็บปวดของซิวหลัว เมื่อกินเข้าไป พลังอันบ้าคลั่งในร่างของซิวหลัวจะง่ายต่อการควบคุมมากขึ้น หากเป็นเมื่อก่อน ซิวหลัวจะหยิบมาดื่มทันที แต่ครั้งนี้เขาแทบไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ซิวหลัว” หนานกงหลีเรียกเขา
ซิวหลัวค่อยๆ หันหน้ามา มองไปยังขวดยา ยื่นมือขาวซีดดุจกระดูกออกมา ดึงจุกขวด และเทยาเม็ดสีชาดใส่มือ
กินเพียงสามเม็ดต่อวัน
วันนี้ยังไม่ได้กิน ยายังอยู่ครบสามเม็ด
หนานกงหลีคิดว่าเขาคงจะหยิบทั้งสามเม็ดมากินอย่างรวดเร็ว ไหนเลยจะรู้ว่าซิวหลัวกลืนเข้าไปเพียงเม็ดเดียว เขาแลบลิ้นออกมา หลังจากนั้นก็โยนยาที่เหลืออีกสองเม็ดออกไปด้วยความสะอิดสะเอียน
หนานกงหลีชะงักไป “ทำไมเจ้าไม่กินแล้วละ? รสชาติแย่หรือ?”
ซิวหลัวรู้สึกรำคาญใจ เขาล้มตัวลงกอดหมอนบนเตียง
หนานกงหลีเก็บยาที่ซิวหลัวโยนทิ้งขึ้นมาดม แล้วพึมพำด้วยสีหน้ามึนงง “เป็นยาที่เสวี่ยเหลียนทำขึ้นมาไม่ผิดแน่…ทำไมอยู่ๆ เจ้าก็ไม่กินขึ้นมาเล่า? หรือว่าไม่เจ็บแล้ว? หรือว่ากินจนเบื่อแล้ว?”
หนานกงหลีคิดอยากพูดคุยกับซิวหลัวอีก แต่ซิวหลัวกลับปิดม่านลง เขากำลังบอกว่า ‘หนานกงหลีไสหัวไปได้แล้ว’
หนานกงหลีส่ายหน้า แล้วเดินถือยาออกไปอย่างจนปัญญา
……
หลังจากที่พวกอวี๋หวั่นมุ่งหน้ากลับจวนด้วยความเร็วอย่างกับจะรีบไปเกิดใหม่
“ไม่ได้ตามมาใช่ไหม?” ชิงเหยียนหันหลังกลับไปมองตรอกมืดด้านหลังด้วยใจประหวั่นพรั่นพรึง
เจียงไห่ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “คงจะไม่ได้ตามมาแล้ว ไม่…ไม่ยักเห็นมีคนตามมา!”
ชิงเหยียนตบอก พลางถอนหายใจยาวๆ “ไม่มีก็ดีแล้ว! ไม่มีก็ดีแล้ว…เจ้านั่นน่ากลัวเหลือเกิน ข้าหวังว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องเจอเขาอีก!”
ราตรีเงียบสงัด
ซิวหลัวเบิกตาโพลงท่ามกลางความมืด
เขาหยิบขวดนมใบน้อยซึ่งทำจากหนังแพะมาจากด้านหลัง จับไปจับมาอย่างวางไม่ลง
……………………………….