หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 27.2 ครอบครัวสี่คน ลูกชายเรียกพ่อ (2)
หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวกินอาหารเย็นกันอย่างมีความสุข ลุงใหญ่ก็ให้อวี๋ซงพาเด็กเล็กทั้งสองไปหาสือโถวที่บ้านนายพราน
“ทำไมเป็นข้าอีกแล้ว?” อวี๋ซงบ่นอุบ อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่าคนในบ้านจะปิดประตูคุยธุระกัน เขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ อายุมากกว่าอาหวั่นเสียด้วยซ้ำ! เหตุใดคนที่ต้องเป็นผู้นำเหล่าเด็กเล็กต้องเป็นเขาด้วยเล่า?
“พี่รองอย่างอแง เอ้า ข้าให้ขนม” อวี๋หวั่นยัดกล่องขนมที่ซื้อมาจากเมืองหลวงใส่มืออวี๋ซง พลางมองเขาด้วยสายตาเอ็นดูประหนึ่งกำลังมองลูกสุนัข
อวี๋ซง…อวี๋ซงโมโหจนกินขนมจนหมดกล่อง ไม่เหลือให้น้องชายและน้องสาวแม้แต่ชิ้นเดียว!
หลังจากที่เด็กๆ ออกไป ลุงใหญ่ก็เอ่ยขึ้นว่า “น้องสาม สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ลุงใหญ่เลี้ยงอวี๋เซ่าชิงมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เชื่อเป็นอันขาดว่าอวี๋เซ่าชิงจะหน้ามืดตามัวทำเรื่องพรรค์นั้นเพียงเพราะความโลภ
อวี๋เซ่าชิงไม่รู้ว่าควรเริ่มเล่าจากตรงไหนดี
ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถาม “ใช่แล้ว น้องสาม วันที่เจ้าหายไป พวกเราตกใจแทบแย่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ที่ว่าการว่าอย่างไร?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่รู้จักคุกหลวง รู้เพียงว่าสถานที่ที่ใช้คุมขังคนทำผิดเรียกว่าที่ว่าการ
อวี๋เซ่าชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด เว้นเอาไว้เพียงเรื่องที่ตนได้รับความอยุติธรรมในค่ายทหาร และเรื่องประสบการณ์หฤโหดขณะข้ามเขาหิมะด้วย
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “เช่นนี้ก็หมายความว่าแม่ทัพกุยเต๋อหลางอะไรนั่นแย่งความดีความชอบของอาสามไป เขาได้รับตำแหน่ง แต่อาสามกลับต้องเข้าคุก”
“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง? ทำไมชื่อนี้คุ้นหูจัง?” อวี๋หวั่นชะงัก เธอมองหน้าอวี๋เฟิง ทั้งสองคนรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
“ท่านพ่อ แม่ทัพกุยเต๋อหลางเป็นมาอย่างไรกัน?” อวี๋หวั่นถาม
อวี๋เซ่าชิงตอบ “เป็นลูกชายแม่ทัพเจิ้นเป่ยคนก่อน”
จวนแม่ทัพเจิ้นเป่ย…อย่างนั้นเขาก็คือพ่อของเหยียนหรูอวี้ไม่ใช่หรือ?
ลูกสาวหน้าไม่อาย พ่อยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่ แย่งความดีความชอบทางทหารก็ยังทำได้ลงคอ ชั่วช้าสามานย์จริงๆ!
แต่จะว่าไป อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเหยียนโหวคือพ่อของเหยียนหรูอวี้ก็มิใช่เรื่องแปลก แต่เยี่ยนจิ่วเฉาย่อมต้องรู้เรื่องนี้ กระนั้นเขากลับยืนอยู่ข้างท่านพ่อของเธอโดยไม่สนสิ่งใด หมายความว่าระหว่างเหยียนโหวและพ่อของเธอ เขาเลือกที่จะเชื่อพ่อของเธอ
เมื่อรู้เช่นนี้ อวี๋หวั่นก็พลันรู้สึกดีใจขึ้นมา
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย มองไปยังบิดา “ท่านลุงอู๋ไปตามหาโจวไหว ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องหาเจอ เมื่อหาโจวไหวเจอ ก็จะเปิดโปงแผนการของเหยียนโหวได้ ท่านพ่อก็จะพ้นผิด!”
ดึกแล้ว ทั้งสามคนกลับบ้านไป ส่วนอวี๋ซงพาเถี่ยตั้นตามกลับไป
อวี๋หวั่นไปต้มน้ำร้อนหม้อใหญ่ในห้องครัว เมื่อออกมาก็พบว่าเถี่ยตั้นน้อยกำลังนั่งอยู่บนธรณีประตูห้องโถง เขาดูเหงาหงอยและน่าสงสาร
อวี๋หวั่นหอบฟืนเดินมานั่งลงข้างๆ เขา “เป็นอะไรหรือ?”
เถี่ยตั้นน้อยดึงมือขวาไปด้านหลัง
มีพิรุธ!
อวี๋หวั่นหัวเราะพลางมองเขา “ไม่ต้องซ่อนแล้ว! ไม่ใช่หินหรอกหรือ? พี่ไม่อยากได้ของเจ้าหรอก”
เถี่ยตั้นน้อยตอบว่า “ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดาสักหน่อย!”
อวี่หวั่นคิ้วกระตุก “อ้อ งั้นเป็นหินอะไรล่ะ?”
เถี่ยตั้นน้อยไม่ตอบ
อวี๋หวั่นเอื้อมไปหยิบหินจากมือของเขามา
“ไอ้หยา!” เถี่ยตั้นน้อยตกใจ รีบยื่นมือไปแย่งกลับมา
อวี๋หวั่นเอี้ยวตัวหลบมือน้อยๆ ของเขา แล้วยกหินก้อนนั้นขึ้นมาส่องกับแสงจันทร์ “เจ้าขัดเองหรือ?”
ผิวหยาบของหินก้อนนี้ถูกขัด ไม่รู้ว่าขัดให้เป็นรูปอะไร ดูไม่สวยงามเอาเสียเลย แต่ว่าเด็กน้อยนั่งที่พื้น ค่อยๆ ขัดออกมาเช่นนี้ ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายและเวลาเป็นอย่างมาก
“คืนข้ามานะ!” เถี่ยตั้้นน้อยแย่งก้อนหินคืนมา
อวี๋หวั่นถามเขาว่า “ขัดได้สวยขนาดนี้ เจ้าจะเอาไปให้ใครหรือ?”
เถี่ยตั้นน้อยเบือนหน้าไปทางอื่น “ไม่ให้ท่านหรอก”
อวี๋หวั่นถามเล่นๆ ก็เท่านั้น แต่เขาตั้งใจจะนำหินไปให้คนจริงๆ ด้วย เธอจึงเย้าหยอกเขาว่า “ให้ท่านพ่อหรือ?”
“มะ…ไม่ใช่!” เถี่ยตั้นน้อยหูแดง แต่ก็ปฏิเสธ
“ใช่”
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
อวี๋หวั่นใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไปบนอกของเถี่ยตั้นน้อยเบาๆ “โกหกไปก็ไม่มีประโยชน์ ในใจเจ้าย่อมรู้ดี พี่ได้ยินหมดแล้ว”
เถี่ยตั้นน้อยใช้มือกุมหน้าอกของตน “ไอ้หยา ท่านได้ยินได้อย่างไร?”
สารภาพออกมาเองเลย
เด็กเล็กนี่หลอกง่ายจริงๆ
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “ไม่บอกเจ้าหรอก”
เถี่ยตั้นน้อยกัดฟันกรอด อวี๋หวั่นสะกิดไหล่เถี่ยตั้นน้อย “ท่านพ่ออยู่ในสวนหลังบ้าน”
“ขะ…ข้า…ข้า…ข้าสนที่ไหนกันล่ะ?” เถี่ยตั้นน้อยยืนขึ้น แล้วเดินตรงไปหลังบ้าน
อวี๋เซ่าชิงกำลังทำกรงไก่อันใหม่ กรงไก่เดิมพังไปแล้วหนึ่งอัน ไก่สองตัวถูกขังอยู่ในกรงเดียวกัน ก็มักจะตีกันอยู่เสมอ ทั้งยังจิกไข่ของอีกตัวจนแตก อวี๋เซ่าชิงจึงคิดว่าจะทำกรงไก่ให้เสร็จก่อนเข้านอน
เถี่ยตั้นน้อยยืนอยู่ที่ประตูหลังของโถงกลางบ้าน มองไปยังท่านพ่อซึ่งทำงานจนเหงื่อตกอยู่หลังบ้าน
ท่านพ่อขยันและเก่งกาจ ทั้งยังทำกับข้าวเป็น ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่หยิ่งยะโส ที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าตาหล่อเหลา
“เถี่ยตั้นน้อยมาแล้วหรือ?” อวี๋เซ่าชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังลูกชายสุดที่รัก แล้วก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู
เถี่ยตั้นน้อยรีบก้มหน้างุด
เขาวางกรงที่เพิ่งทำไปได้เพียงครึ่งเดียวลง แล้วเข้าไปอุ้มเถี่ยตั้นน้อยขึ้นมา
เถี่ยตั้นน้อยมิใช่ไม่เคยถูกคนอุ้ม ท่านพี่ก็อุ้มเขา พี่ใหญ่และพี่รองก็อุ้มเขา แต่ว่าไม่เหมือนกับบุรุษคนนี้
เหมือนกับว่า…เหมือนกับว่าเขากลัวความมืด แต่ว่าตอนนี้เขาไม่กลัวอีกแล้ว
อวี๋เซ่าชิงอุ้มเขาเข้าไปในบ้าน ชี้ไปยังกล่องสองใบบนโต๊ะ “เปิดดูสิ”
เถี่ยตั้นน้อยเปิดกล่องดู
กล่องด้านซ้ายมีพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่งฝนหมึก ส่วนกล่องด้านขวามีกระบี่ไม้ซึ่งมีขนาดกำลังพอดีและทำออกมาได้อย่างประณีตงดงาม
สายตาของเถี่ยตั้นน้อยถูกของเหล่านี้ดึงดูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ท่านพ่อรับปากเอาไว้ ว่าจะซื้อของขวัญมาให้เขาสองชิ้น ท่านพ่อก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
อวี๋เซ่าชิงซื้อของเหล่านี้หลังออกมาจากคุกหลวงและกำลังจะเดินทางกลับหมู่บ้าน แม้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น เขาก็ไม่เคยลืมสัญญาที่ให้เอาไว้กับบุตรชาย
อวี๋เซ่าชิงมองเถี่ยตั้นน้อยแล้วพูดว่า “พ่อไม่รู้ว่าเจ้าชอบเรียนหนังสือ หรือว่าชอบฝึกวิทยายุทธ์ หากเจ้าอยากเรียนวิทยายุทธ์ พ่อจะสอนให้เจ้าเอง แต่ถ้าเจ้าอยากเรียนหนังสือ พ่อก็จะส่งเจ้าไปโรงเรียน”
เถี่ยตั้นน้อยก้มหน้า
“นั่นอะไรน่ะ?” อวี๋เซ่าชิงสังเกตเห็นก้อนหินที่เถี่ยตั้นน้อยวางเอาไว้บนโต๊ะโดยไม่ทันระวัง
“ไม่มีอะไร!” เถี่ยตั้นน้อยรีบเข้าไปคว้าก้อนหิน
อวี๋เซ่าชิงหัวเราะ “เช่นนั้นพ่อไปทำงานก่อน”
พูดจบ อวี๋เซ่าชิงก็ลูบศีรษะของเถี่ยตั้นน้อยเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
เถี่ยตั้นน้อยมองด้านหลังของเขา แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “หลัง…หลังจากนี้ท่านอย่ามีเรื่องแล้วได้ไหม?”
อวี๋เซ่าชิงหันไปมองอย่างไม่เข้าใจนัก
คนในครอบครัวต่างก็ปิดเรื่องที่คุกหลวงกับเด็กทั้งสอง แต่เด็กคนนี้สังเกตเห็นความผิดปกติอย่างนั้นหรือ?
“กว่า…กว่าข้าจะมีท่านพ่อสักคนได้ ถ้าอยู่ๆ หายไปละก็…” เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายเสียงก็หายไปประหนึ่งถูกเขากลืนลงท้อง
ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้อวี๋เซ่าชิงทำตาโต “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าเปล่า” เถี่ยตั้นน้อยกอดอก
อวี๋เซ่าชิงดีใจเหลือเกิน เขาสาวเท้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของบุตรชาย นั่งยองอยู่ในระดับเดียวกับเขา สีหน้าปกปิดสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ “เรียกอีกครั้งหนึ่งสิ!”
“ไม่เรียก” เถี่ยตั้นน้อยตอบ
“ครั้งเดียว” อวี๋เซ่าชิงกล่าว
“ไม่เรียก!”
อวี๋เซ่าชิงดึงเขาเข้ามากอด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอน “เด็กดี เรียกพ่อสักครั้งเถิด”
“ใครจะเรียกท่านกัน?” เถี่ยตั้นน้อยดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของเขา แล้ววิ่งเตาะแตะออกไป!
วิ่งออกไปแล้ว แต่ก็จำต้องวกกลับมาหยิบกล่องของขวัญสองใบ แล้ววิ่งออกไปอีกครั้ง!
ย่างเข้ากลางดึก คนทั้งหมู่บ้านต่างหลับใหล อวี๋หวั่นเองก็หายใจอย่างสม่ำเสมอ
เถี่ยตั้นน้อยซึ่งนอนอยู่ข้างเธอลืมตาขึ้น ค่อยๆ ปีนข้ามตัวพี่สาว เขาลงจากเตียง สวมรองเท้า แล้วเดินไปยังห้องฝั่งตรงข้าม
เขาเขย่งปลายเท้า แล้วนำก้อนหินซึ่งถืออยู่ในมือจนอุ่นใส่ไว้ใต้หมอนของอวี๋เซ่าชิง
จากนั้นเขาก้มหน้า พูดกับอวี๋เซ่าชิงซึ่งกำลังหลับสบายว่า “ท่านพ่อ”
…………………………………………